ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1388 ตลาดเกษตรปากิลา

บทที่ 1388 ตลาดเกษตรปากิลา

เรือออกจากท่าเรือ ฝ่าคลื่นและแล่นตรงไปทางเซนต์จอห์น

บนดาดฟ้าเรือ นักท่องเที่ยวผู้หญิงสองสามคนกำลังมองไปที่หัวเรืออย่างไม่พอใจหรือไม่ก็แอบมองอย่างเงียบๆ อยู่

ฉินสือโอวที่ยืนคิดอะไรเงียบๆ พิงรั้วอยู่ตรงนั้น ลมพัดเสื้อผ้าไปมา ใบหน้าของเขาหล่อเหลา รูปร่างที่สูงยาวและยังมีนิสัยที่ได้จากการปลูกฝังให้ต่อสู้กับคลื่นทะเลอีก มองอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่หล่อและดูดี

ฉินสือโอวก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน จากนั้นเขาก็คิดอะไรเงียบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับทำท่าชูสองนิ้วถ่ายเซลฟี่ตัวเอง ‘แชะๆๆ’ สองสามครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนท่า เอียงหน้ามองฟ้าทำมุมสี่ห้าองศาพร้อมกับทำสีหน้ากลุ้มใจและถ่ายเซลฟี่ตัวเองต่อไป

เมื่อเห็นรูปถ่ายในโทรศัพท์ก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลย ฉินสือโอวจึงเดินออกจากดาดฟ้าอย่างพึงพอใจและเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวผู้หญิงสองสามคนยืนมองอย่างอัดอั้นตันใจอยู่อย่างนั้น

วินนี่กำลังอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ก็สอนให้เธอพูดว่า “…หลุนฉวน ไม่ใช่หลุนหลุน หลุนฉวน ไม่ใช่ช้วนช้วน มันคือคำว่าเรือนะ…”

ฉินสือโอวบีบใบหน้าอันอวบอ้วนของลูกสาวด้วยความเอ็นดู เด็กหญิงตัวน้อยจึงจ้องเขาด้วยความโกรธ ปากเล็กๆ ของเธอก็เริ่มพ่นฟองออกมา

“น่ารักจริงๆ เลย เหมือนกับปูที่ถูกจับได้เลยนะ?” ฉินสือโอวหัวเราะโง่ๆ ออกมา จากนั้นก็บีบแก้มอ้วนของลูกสาวพร้อมกับถ่ายเซลฟี่อีกครั้ง

วินนี่ส่ายหัวไปมา เธอรู้สึกว่าต่อจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวและพ่อคงจะไม่ปรองดองกันแล้ว ดังนั้นในฐานะที่เธอเป็นแม่ก็คงต้องลำบากแล้ว

เด็กหญิงร้องตะโกน วินนี่จึงอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนและหลีกเลี่ยงเท้าของฉินสือโอวแล้วพูดว่า “เอาล่ะเอาล่ะ เลิกแกล้งเธอได้แล้ว อุปกรณ์ที่ยืมมาพร้อมหรือยังคะ? ไปตรวจสอบอีกครั้งเลยนะ จะได้ไม่ต้องมาแกล้งลูกสาวอีก”

คราวนี้ฉินสือโอวจะไปที่เซนต์จอห์น ไม่เพียงแต่เข้าร่วมการแข่งขันฟักทองเอ็นแอลซีซีเท่านั้น แต่ยังไปติดต่อพูดคุยกับแบรนดอนเรื่องกู้เงินห้าร้อยล้านจากธนาคารมอนทรีออลอีกด้วย

ฉินสือโอวตบกระเป๋าเป้ด้วยความมั่นใจ จากนั้นเขาก็พูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มต่อว่า “มาเถอะที่รัก เรามาถ่ายรูปคู่ด้วยกันเถอะ นานแล้วที่ไม่ได้นั่งเรือข้ามฟาก เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ”

คราวนี้พวกเขานั่งเรือข้ามฟากตรงไปที่เซนต์จอห์นเพราะต้องไปหลายที่ ต้องจัดการหลายเรื่องและยังต้องนำฟักทองหนักหนึ่งตันมาด้วยอีก จริงๆ ขับรถไปก็ได้ แต่เรือยอชต์ในฟาร์มไม่สามารถรองรับฟอร์ดเอฟหกร้อยห้าสิบที่รุนแรงได้

แต่วินนี่กลับไม่รู้สึกแปลกใหม่อะไร ตอนนี้การนั่งเรือข้ามฟากกลายเป็นวิธีการคมนาคมที่สำคัญที่สุดในเมืองแล้ว นักท่องเที่ยวยังต้องพึ่งมันเพื่อต่อจากเกาะเล็กๆ ไปเซนต์จอห์น ดังนั้นหลังจากที่วินนี่รับตำแหน่ง เธอจึงได้นั่งเรือเฟอร์รี่หลายครั้งเพื่อสัมผัสดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุง

จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องปรับปรุงก็ยังมี ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเรือลำเล็กๆ ลำนี้มันเก่ามากเกินไปแล้ว เธอจึงถอนหายใจแล้วพูด “ฉันหวังจริงๆ ว่าปีนี้จะหมดไปเร็วๆ หลังจากที่คุณจ่ายภาษีประจำปี ฉันต้องซื้อเรือใหม่แล้วล่ะ”

“ซื้อเรืออะไร? ในฟาร์มปลาก็ไม่ใช่ว่ามีเรืออยู่หลายลำเหรอ?” ฉินสือโอวถาม

“ฉันกำลังพูดถึงเรือที่ใช้ข้ามฟาก คุณไม่รู้สึกว่าเรือลำนี้มันเก่ามากแล้วเหรอ? เรือข้ามฟากเป็นทางผ่านในการเข้าเมืองของเรา เป็นตัวแทนแรกที่แสดงภาพลักษณ์ของเมืองแฟร์เวลของเรา ดังนั้นเรือข้ามฟากลำนี้จึงแย่ไปหน่อย” วินนี่กล่าว

ฉินสือโอวจึงมองไปรอบๆ พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย เรือลำนี้ใช้งานมาสี่สิบห้าสิบปีแล้ว ตัวเรือก็เป็นสนิม ที่นั่งก็ไม่สม่ำเสมอกันและแรงขับก็ไม่ดี ไม่รู้ว่ามีการซ่อมแซมครั้งใหญ่มากี่ครั้งแล้ว คงจะต้องรีบเปลี่ยนใหม่จริงๆ

แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของวินนี่ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ทำไมต้องรอให้เขาจ่ายภาษีประจำปีด้วยล่ะ?

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ วินนี่ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก “ที่รัก คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ คุณคิดว่าถ้าเปลี่ยนเรือลำใหม่จะใช้เงินประมาณเท่าไร? จะเปลี่ยนเป็นเกรดไหนดีล่ะ? อู่ซ่อมเรือที่ไหนเหมาะสมที่สุด?”

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะตีเธอ แต่ก็ต้องบอกความจริงไปว่า “ถ้าคุณคาดหวังว่าฟาร์มปลาของเราจะต้องจ่ายภาษีเพื่อซื้อสิ่งนี้ เดาว่าเราคงจะต้องรออีกสองปี ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีจำนวนมากในปีนี้ ผมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมการกุศลมากมายขนาดนี้ บริจาคเงินก็จำนวนมากแล้วยังลงทุนให้กับบอมบาร์เดียร์อีกด้วย เพียงแค่การขอส่วนลดภาษีและการหลีกเลี่ยง คงจะเพียงพอที่จะหักล้างภาษีฟาร์มปลาได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้น วินนี่ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก ฉินสือโอวจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมคุณถึงทำท่าทางแบบนั้นล่ะ? ฟาร์มปลาเป็นสมบัติสาธารณะของสามีภรรยา เพื่อที่จะพัฒนาเมืองคุณถึงกับต้องทำร้ายผลประโยชน์ของเราเลยเหรอ?”

วินนี่ยักไหล่และพูดว่า “ขอโทษนะฉิน ตอนที่ฉันรับตำแหน่ง ฉันได้สาบานกับ “พระคัมภีร์ไบเบิล” และ “รัฐธรรมนูญ” ว่าจะละทิ้งครอบครัวเล็กๆ เพื่อมาเปลี่ยนแปลงทุกคนให้สมบูรณ์ เมื่อพูดแล้วก็ไม่สามารถคืนคำได้ แล้วใครให้คุณแต่งงานกับนายกเทศมนตรีหญิงล่ะค่ะ?”

ทั้งสองคนแทรกมุกตลกตลอดทางและเรือก็จอดเทียบท่าเรือเซนต์จอห์น ฉินสือโอวขับรถพาภรรยาลูกสาวและเด็กๆ วัยรุ่นไปตามทาง รถที่พวกเขาขับคือรถคาดิลแลควันและมีเอฟหกร้อยห้าสิบที่บรรทุกฟักทองลูกใหญ่ตามหลังมาติดๆ

ตลาดเกษตรปากิลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซนต์จอห์น ซึ่งห่างไกลจากท่าเรือมาก ที่ตั้งของท่าเรืออยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองและทั้งสองฝั่งตั้งอยู่ที่ขอบเขตของเมืองพอดี

ตลาดของเกษตรแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในเซนต์จอห์น ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าหนึ่งหมื่นสี่พันตารางเมตร มีห้องเย็นรักษาความสดของอาหารสองพันตารางเมตรและพื้นที่ค้าขายขนาดใหญ่ห้าพันตารางเมตร ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้ามากกว่าหกร้อยรายที่ทำการค้าขายที่นี่

วันฮาโลวีนใกล้เข้ามาแล้ว ตลาดของเกษตรจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของเทศกาลและมีผีอยู่ทุกหนทุกแห่ง สัตว์ประหลาดทะเลอัดลมและเรือผีลอยอยู่ที่จุดขายอาหารทะเล และแสงเลเซอร์สีแดงปล่อยลงบนพื้นที่อยู่จุดขายเนื้อสัตว์ ดูเหมือนกับเลือดสดๆ กำลังไหลออกมา

“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวอุทานเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ “นี่มันคือห้องสยองขวัญหรือตลาดผักกันแน่? ถ้ามีคนกลัวจนหัวใจวายใครจะรับผิดชอบ?”

กอร์ดอนเหลือบมองเขาและพูดว่า “คุณกลัวเหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะเยาะขึ้น “จะกลัวแค่สิ่งของพวกนี้ได้อย่างไร? ฉันแค่ถามไปเท่านั้นเอง นายไม่รู้ความกล้าของฉันเลยเหรอ?”

เชอร์ลี่ย์ที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มหวาน จากนั้นก็เปิดทวิตเตอร์ ให้ฉินสือโอวดูภาพตอนที่เขากลัวพี่น้องไฮเออร์จนไม่กล้าเข้าไปในครัว

จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นมือออกมา “พวกคุณก็มาเข้าร่วมการแข่งขันฟักทองใช่ไหม? ขอถามหน่อยได้ไหมว่าชื่ออะไร? ช่วยบอกฉันหน่อยนะ”

ฉินสือโอวจับมือเขาพร้อมกับแนะนำตัวเองไปด้วย คนคนนั้นจึงพูดอีกครั้งว่า “โอ้ คุณคือคุณฉิน เจ้าของฟาร์มปลาขนาดใหญ่แห่งเกาะแฟร์เวล? ฉันชื่นชมคุณมานานแล้ว ฉันได้ยินมาว่าคุณปลูกฟักทองลูกใหญ่ ใช่ลูกที่อยู่ข้างหลังนั้นไหมคะ? พระเจ้า มันใหญ่มากจริงๆ!”

ฉินสือโอวยักไหล่ให้วินนี่ ซึ่งเป็นการสื่อให้เธอดูว่า ตอนนี้เขาเป็นคนดังแล้ว

คนคนนั้นจึงสั่งให้พนักงานมาขนฟักทองลูกใหญ่นี้ไป เขาบอกฉินสือโอวว่า เถาฟักทองจะต้องตัดออกให้เหลือเพียงยี่สิบห้าเซนติเมตรและถามเขาว่าเขามีปัญหาอะไรไหม

ฉินสือโอวไม่มีปัญหา แต่เขารู้สึกงงเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมคุณถึงให้ผมเอาเถาวัลย์มาด้วยล่ะ?”

คนคนนั้นอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่า “เนื่องจากเราต้องตรวจสอบเถาวัลย์ เพื่อดูว่ามีร่องรอยเข็มหรือตำหนิหรือไม่ และการนำดินที่ปลูกมาด้วยก็เพื่อตรวจสอบว่าคุณใช้ปุ๋ยเคมีปลูกหรือไม่ เพื่อง่ายต่อการแบ่งกลุ่มแข่งขันค่ะ”

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท