ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1387 คำเชิญของเอ็นแอลซีซี

บทที่ 1387 คำเชิญของเอ็นแอลซีซี

คาปาไลต้อนรับอย่างเอาใจใส่มาก ชาวคิวบามีความประทับใจต่อชาวจีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสังคมนิยม ไม่อย่างนั้นคาปาไลและซ่งชิงชาน คนแปลกหน้าสองคนก็คงจะไม่ไปด้วยกันจนสนิทสนมกันขนาดนี้

ในขณะที่ทั้งรับประทานอาหารและพูดคุยไปด้วยนั้น ซ่งชิงซานก็ยังคงยิ้มพร้อมกับพูดคุย เมื่อคาปาไลเห็นเขาในตอนแรก จึงเรียกเขาออกไปว่าเพื่อนยาก ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเรียกคำว่า ‘สหาย’ คำนี้แทน จึงทำให้ไม่คุ้นชินกับมัน

คาปาไลพูดอย่างเขินอายว่า “เมื่อก่อนตอนที่อยู่โรงกลั่นไวน์ หัวหน้าวิศวกรของเราก็เป็นเพื่อนชาวจีน พวกเราจึงพากันเรียกเขาแบบนั้นกัน”

คำว่า ‘สหาย’ คำนี้คาปาไลออกเสียงเป็นภาษาจีน เพราะภาษาจีนกลางเขาพูดได้ค่อนข้างเป็นมาตรฐาน และได้มาตรฐานมากกว่าพ่อและแม่ฉิน

สำหรับมื้อนี้ ฉินสือโอวพอใจกับอาหารมากและเขายังได้เห็นวิธีการทำอาหารใหม่ๆ อีกด้วย

โดยเฉพาะจานที่ชื่อว่า ‘ราชินีแห่งทะเลแคริบเบียน’ จานนี้ทำจากกุ้งมังกร โดยนำมานึ่งจนสุก เมื่อแกะเนื้อกุ้งออกจะใช้เปลือกกุ้งมาประกอบกันเป็นรูปดอกไม้ จากนั้นก็นำเนื้อกุ้งมาสับกับหอมใหญ่และโรสแมรีผสมกับเครื่องเครื่องปรุงอื่นๆ สุดท้ายก็ตักใส่ช้อนแล้วก็กิน

นอกจากนี้ยังมีอาหารหลักที่ชื่อว่ากงรี เป็นอาหารที่ใช้ข้าวขาวและถั่วหลากสีมาต้มเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเติมน้ำมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวอมหวาน พอฉินสือโอวกินเข้าไปก็รู้สึกสดชื่นมาก เขาจึงตัดสินใจว่าจะกลับไปทำ

คาปาไลบอกว่าอาหารจานนี้เป็นราชาแห่งอาหารคิวบา มันดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วทำยากมาก เขาพูดว่า “ภรรยาของผมทำอาหารอร่อย แต่น่าเสียดายที่ผมไม่เคยเรียนรู้งานฝีมือจากเธอเลย ผมเสียดายมากที่มักจะขี้เกียจเวลาที่อยู่บ้าน จึงไม่ได้เรียนรู้วิธีศิลปะการเข้าครัวเลย”

ฉินสือโอวมองไปที่อาหารแสนอร่อยบนโต๊ะ จากนั้นก็มองไปที่ซ่งชิงซาน ซ่งชิงซานจึงยืนขึ้นอย่างมีสติและพูดว่า “พวกคุณคุยกันไปเลย ผมจะไปทำความสะอาดก่อน”

เมื่อทานเสร็จ ฉินสือโอวต้องการจะกลับ แต่คาปาไลขอให้เขารอสักครู่และหยิบกล่องสี่เหลี่ยมออกมา หลังจากเปิดออกมาแล้วก็พบว่าข้างในนั้นก็คือซิการ์

“ผมนำสิ่งนี้มาจากบ้านเกิด ไม่ใช่ของแบรนด์เนมอะไร แต่พี่ชายของผมม้วนมันเองกับมือ ซิการ์ที่เขาม้วนมีชื่อเสียงมากในฮาวานาและเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คุณฉินนี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผม หวังว่าหลังอาหารมื้อนี้คุณจะเพลิดเพลินกับมันได้” เขากล่าว

วินนี่จึงช่วยรับไว้แทนฉินสือโอว จากนั้นทิ้งหมายเลขเอ็มเอสเอ็นของเธอไว้และพูดว่า “ให้เอลิซาเพิ่มฉันเป็นเพื่อน ถ้าเธอมีข้อสงสัยอะไร ฉันสามารถช่วยได้”

เย็นวันนั้นผ่านไปอย่างมีความสุข เมื่อฉินสือโอวขับรถออกมาได้ไกลแล้ว จึงมองกลับก็พบว่าคาปาไลและซ่งชิงซานยังคงโบกมืออยู่ที่ประตู

วันรุ่งขึ้น ฉินสือโอวก็พาเด็กๆ วัยรุ่นไปเริ่มซื้ออุปกรณ์และของขวัญสำหรับวันฮาโลวีนในอินเทอร์เน็ต

เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น หลังจากรับสายแล้วฝั่งนั้นก็พูดว่า “สวัสดีครับคุณฉิน เราคือคณะกรรมการการทำปุ๋ยหมักแห่งนิวฟันแลนด์ สวนผักของคุณเก็บเกี่ยวฟักทองได้ถึงสองพันปอนด์ใช่ไหมครับ?”

คณะกรรมการการทำปุ๋ยหมักแห่งนิวฟันแลนด์? นี่มันอะไรกัน? ฉินสือโอวรู้สึกงงในใจจึงตอบกลับไปว่า “ไม่ถึงสองพันปอนด์หรอก แต่น่าจะมากกว่าหนึ่งพันเก้าร้อยปอนด์ ทำไมเหรอครับ?”

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา คนฝั่งนั่นก็ตกใจและร้องเสียงสูงกันแล้วพูดว่า “เป็นอย่างนี้นี่เอง คุณฉิน เราจะจัดการแข่งขันการชั่งน้ำหนักฟักทองภายในบริเวณนิวฟันด์แลนด์ จึงอยากจะเชิญชวนให้คุณเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ สถานที่จัดงานอยู่ที่ตลาดเกษตรปากิลาในเซนต์จอห์น ไม่รู้ว่าคุณจะสนใจไหม?”

ฉินสือโอวจึงให้พวกเขารอสักครู่และถามว่า “คณะกรรมการการทำปุ๋ยหมักแห่งนิวฟันแลนด์คืออะไร?”

เออร์บักอธิบายว่า “NLCC มีชื่อเต็มว่า Composting Council of Newfoundland & Labrador ซึ่งเป็นสมาคมพื้นเมืองที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลส่วนกลาง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมีในการทำการเกษตร”

ฉินสือโอวพูดถึงคำเชิญของพวกเขา เออร์บักจึงพูดว่า “ไม่มีปัญหา กิจกรรมแบบนี้จัดขึ้นทุกปี เพราะเป็นหนึ่งในกิจกรรมวันฮาโลวีนและนี่ยังสามารถทำการบันทึกรับรองได้อีกด้วย ราชาฟักทองของทุกปีจะได้ใบรับรอง นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ยังขึ้นอยู่กับเมืองเป็นหลักและยังสามารถส่งเสริมเมืองของเราได้”

หลังจากเข้าใจแล้ว ฉินสือโอวจึงตอบกลับว่า “โอเค ผมคิดว่าผมจะเข้าร่วม”

บุคคลในโทรศัพท์พูดว่า “ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ ผมขอแนะนำอะไรก่อนสักหน่อย ตอนที่ปลูกฟักทองนี้ ปุ๋ยที่ใช้คือปุ๋ยหมักอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี? เคยนำเข้าสารอาหารฉีดเข้าต้นกล้าฟักทองไหมครับ? ปลูกอยู่นอกบ้านหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวตอบว่า “อืม ผมใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์และไม่มีการฉีดสารอาหารใดๆ เข้าไปเลย ส่วนสถานที่เพาะปลูกนั้นก็ต้องปลูกนอกบ้านอยู่แล้ว”

หลังจากได้รับคำตอบจากเขา ทางฝั่งนั้นก็ส่งคำเชิญให้อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็บอกเขาว่าให้นำฟักทองไปเข้าร่วมการแข่งขันในวันที่ 30 ตุลาคม แต่ควรนำเถาฟักทองหรือแม้แต่รากและดินที่ปลูกด้วยกันมาด้วย

วันฮาโลวีนจะจัดขึ้นปลายเดือนตุลาคม ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ นี่เป็นเทศกาลที่สำคัญอีกวันหนึ่ง โดยเฉพาะวันที่ 31 ตุลาคมของปีนี้ตรงกับวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่ดีและกำหนดการจัดงานก็มีชีวิตชีวามากกว่าปีก่อนๆ ดังนั้นทุกครอบครัวจึงเริ่มเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่ตอนนี้ หลายๆ องค์กรและเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดกิจกรรมแล้ว

ในช่วงสองปีที่ผ่านมาฉินสือโอวไม่ได้สนใจกับเทศกาลนี้เลย เพราะฟาร์มปลาของเขาอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก ถ้าเขาไม่ได้ไปติดต่องานด้วยตัวเองก็จะไม่รู้เรื่องข่าวสารเหล่านี้ ปีนี้จึงลองจับตาดูเป็นพิเศษและพบว่ามีกิจกรรมมากมาย

กิจกรรมเฉลิมฉลองในสวน การแข่งขันฟักทอง การแข่งขันแกะสลักฟักทองหรือแม้แต่การแข่งขันเรือฟักทองก็ยังมี

ปลูกฟักทองที่ปลูกในฟาร์มปลามีจำนวนมาก มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เด็กๆ วัยรุ่นก็ต่างพากันเก็บมันกลับมาด้วยความตื่นเต้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแต่ละคนก็กำลังยุ่งกับการแกะสลักโคมไฟฟักทองและรูปปั้นฟักทอง

แน่นอนว่าการเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดก็คือปาร์ตี้แต่งหน้าในช่วงเย็น เมืองแฟร์เวลจะจัดงานอย่างสนุกสนานขึ้นทุกปี โดยเฉพาะหลังจากที่ตลาดนักท่องเที่ยวเปิดให้บริการ จะมีนักท่องเที่ยวได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย ถึงอย่างไรทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นรายได้จำนวนมาก

ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าเธอจะแต่งตัวอะไร วินนี่มองเขาด้วยสายตาที่สดใสและถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วคุณล่ะที่รัก?”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างพอใจและพูดว่า “ผมยังไม่บอกคุณหรอก”

“แล้วคุณคิดว่าฉันจะบอกคุณไหม?”

ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ ก็จริง ทำไมตัวเองถึงซื่อบื้อขนาดนี้นะ พูดว่าแกล้งวินนี่ยังจะดีกว่า

วินนี่หยิกแก้มของเขา จากนั้นปลายเท้าก็กระดกขึ้นและจูบลงไปที่เขาอย่างอ่อนหวานแล้วพูดว่า “ฉันชอบที่คุณดูซื่อบื้อแบบนี้จัง โอเค เชิญเศร้าต่อไปเถอะค่ะ พอถึงเวลาฉันจะทำให้คุณรู้สึกเห็นโลกกว้างเอง”

ในวันที่ 30 บรรยากาศฮาโลวีนก็เริ่มคึกคักขึ้น ชาวแคนาดาจะให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้มากและลักษณะการปฏิบัติของพวกเขาก็แทบจะเหมือนกับเทศกาลคริสต์มาสทุกอย่าง ร้านค้าจะเริ่มจัดโปรโมชั่นสินค้าต่างๆ เหมือนกับต้องการจะขายของที่ค้างอยู่ในร้านออกให้หมด

ในตอนเช้าฉินสือโอวพาวินนี่และเด็กๆ ไปที่ตลาดเกษตรปากิลา คราวนี้เขาจะไปรับสถิติด้วย แม้ว่ากินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจะไม่มีเงินรางวัล แต่สถิติของเอ็นแอลซีซีจะมีรางวัลเพิ่มให้อีกห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก

หลังจากที่บูลรู้ก็นึกถึงแต่เงินรางวัลมาโดยตลอด ถ้าเลือกได้ เขาคงจะยอมปลูกฟักทองขนาดใหญ่แบบนี้เองและเอาสถิติแตงกวาให้ฉินสือโอวแทน

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท