ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1393 จินตนาการ

บทที่ 1393 จินตนาการ

เมื่อค่ำคืนค่อยๆ มืดลง ปาร์ตี้ในคืนวันฮาโลวีนก็ยิ่งบ้าคลั่ง

ฮิวจ์คนน้องนั่งอยู่ข้างถนนอย่างโศกเศร้า กลุ่มมนุษย์หมาป่าก็นั่งยองๆ ลงข้างๆ เขาและพูดปลอบเขาว่า “ไม่เป็นไรนะ ก็แค่โดนหมีสีน้ำตาลเลียเท่านั้นเอง ไม่ได้โดนผสมพันธุ์สักหน่อย” “ถ้าโดนผสมพันธุ์ก็ไม่ต้องกลัวหรอก มันมีการแยกการสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นจึงตั้งท้องไม่ได้”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างสะใจอยู่ข้างๆ สิ่งที่เชอร์ลี่ย์เพิ่งโยนไปนั้นคือน้ำเชื่อมเมเปิลหนึ่งซอง หลังจากที่มันหกใส่ฮิวจ์คนน้อง ฉงต้าที่ได้กลิ่นหอมหวานเลยกระโจนใส่เขาอย่างสุดกำลัง ทำให้ฮิวจ์คนน้องกรีดร้องอย่างน่าเวทนา

ฉงต้านั่งยองๆ ลงข้างๆ และเชอร์ลี่ย์ที่กำลังจะกลับไป จึงกวักมือเรียกมันแต่มันก็ไม่สนใจและเข้าไปหาฉินสือโอวแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น โลลิต้าก็ยังคงตะโกนว่า ‘เจ้าหมีดำ เจ้าหมีดำ’ อยู่ตรงนั้น ฉงต้าที่ไม่สนใจจึงเดินมาหาฉินสือโอว

ฉินสือโอวที่ยิ้มๆ อยู่ก็แทบจะยิ้มไม่ออก เมื่อเขามองเห็นสายตาของฉงต้าก็รู้สึกว่าสายตาของเจ้าตัวนี้ดูไม่พอใจเล็กน้อย

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นทันที ไม่ใช่ว่าขนที่หนาและนุ่มของเขาในตอนนี้ดูเหมือนกับหมีควาย? พูดอีกอย่างแม้ว่าเขาจะร่างกายกำยำล่ำสัน แต่ถึงอย่างไรเอวนั้นก็เป็นเอวของมนุษย์ การใส่ชุดหมีควายก็น่าจะถือว่าเป็นเอวเล็กๆ ของหมีตัวเมียและฉงต้าอาจจะเข้าใจผิดใช่ไหม?

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ฉินสือโอวจึงรีบถอดชุดออกทันทีและเข้าไปใกล้ๆ ฉงต้า “ฉงต้า ฉันเอง ฉันไง พ่อของแก แกอย่าทำอะไรตามอำเภอใจสิ”

ฉงต้าเลียไหล่ของเขา จากนั้นก็จากไปอย่างเงียบเหงา

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องไปหาหมีตัวเมียตัวน้อยให้มันบนเขาและให้พวกมันรู้จักกัน เขากล้าสาบานเลยว่าหลังจากที่เขาเปิดหัวออกมา เห็นได้ชัดว่าสายตาของฉงต้าดูผิดหวังเป็นอย่างมาก!

เด็กๆ ต่างก็เติบโตกันแล้ว ฉินสือโอวจึงถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ ก่อนหน้านี้เป็นหู่จือและเป้าจือ แต่ตอนนี้เป็นฉงต้า

ในช่วงเทศกาลฮาโลวีน หลายคนยังคงขายของ โดยเฉพาะเบอร์เกอร์ เครื่องดื่มและไอศกรีม ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหลายๆ คนที่นี่ถึงทั้งตะโกนและกรีดร้องและกระโดดโลดเต้นไปด้วย มันต้องง่ายต่อการทำอะไรไม่ดีแน่ๆ ในคืนนี้ฉินสือโอวจึงซื้อน้ำมาดื่มแค่สองขวด

เสียงดนตรีโหยหวนเหล่านั้นกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งบนท้องถนนและมีบางคนเอาเสียงในภาพยนตร์สยองขวัญจากอินเทอร์เน็ตมา มักจะมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น แต่ก็ผู้คนจำนวนมากก็ไม่มีใครกลัว

เมื่อเวลาสิบสองนาฬิกา ผู้คนบนถนนก็เริ่มลดลง ฉินสือโอวรู้สึกอบอ้าวจนเหงื่อออก จึงลากวินนี่กลับบ้านและวินนี่ก็ง่วงนอนแล้วด้วย ดังนั้นจึงอุ้มลูกสาวขึ้นรถอย่างเชื่อฟัง

เมื่อกลับมาถึงวิลล่า ฉินสือโอวก็ฮัมเพลงธีม ‘โฉมงามกับเจ้าชายอสูร’ พร้อมกับโยนเสื้อคลุมขนฟูตัวนี้ทิ้งแล้ววิ่งไปล้างหน้าล้างตา

หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินออกมาอย่างมีความสุขและเดินไปที่ข้างๆ เตียง จึงเห็นว่าวินนี่หลับไปพร้อมกับอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ สาวสวยสองคนคนหนึ่งตัวใหญ่และตัวเล็กกำลังนอนกรนไปด้วยกัน ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ลมทะเลเบาๆ ในยามค่ำคืนอบอุ่นขึ้นมาทันที

หลังจากจูบลงบนหน้าผากของสาวสายทั้งสองแล้ว ฉินสือโอวก็นอนลงบนเตียงเช่นกันและปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปเดินเล่น ตามหาสมบัติที่จมอยู่ใต้น้ำ

งานในวันนั้นมีมากมายและทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เหมือนว่าเขาจะค้นพบเรืออับปางลำหนึ่งในขณะที่สะลึมสะลือ แต่ด้วยความที่เขาง่วงเกินไป เขาจึงไม่สนใจและดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมาจากนั้นก็นอนหลับสนิท

รายงานหลังวันฮาโลวีนล้วนเกี่ยวข้องกับเทศกาล ฉินสือโอวดูข่าวในตอนเช้า ก็พบว่าตำนานสัตว์ประหลาดในทะเลและหายนะของเรือผีที่เขาสร้างขึ้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อคืนนี้สถานีโทรทัศน์หลายแห่งตั้งใจออกอากาศและแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาด้วยความตั้งใจ

ในขณะที่ดูข่าวผ่านๆ อยู่ ทันใดนั้นเขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนขึ้นว่า หลังวันฮาโลวีนจะมีฟักทองจำนวนมากถูกทิ้งลงบนถนนและเต็มถังขยะในหลายเมือง ยังมีฟักทองขนาดใหญ่จำนวนมากในพื้นที่ชนบทบางแห่งที่ยังไม่เก็บออกไปจึงทำได้เพียงทิ้งให้เน่าเสีย

ในขณะรับประทานอาหารเขาก็ทำเป็นพูดเล่นๆ ออกมา หลังจากวินนี่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มคิดต่าง แล้วพูดว่า “ฟักทองลูกใหญ่มากมายขนาดนี้มีที่ไว้เหรอ? บางทีเราอาจจะจัดกิจกรรมขึ้นมาได้นะ การแข่งเรือฟักทองไง เป็นอย่างไรบ้าง?”

เธอพูดเป็นภาษาจีน ฉินสือโอวจึงรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินและถามว่า “โจ๊กฟักทอง? แค่ให้ทุกคนร่วมต้มโจ๊กด้วยกันและดูว่าใครทำอาหารได้อร่อยเหรอ?”

วินนี่ยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่เรือเล็ก แต่เป็นเรือฟักทองเล็กเราสามารถจัดการแข่งขันแบบนี้ได้ไหม? และยังสามารถโปรโมตเมืองได้อีกด้วย”

ฉินสือโอวได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีและเห็นด้วยกับความคิดของเธอ “แบบนี้ก็โอเคนะ แต่ต้องเป็นเด็กๆ เท่านั้นที่จะพายเรือได้ ที่รัก คุณจัดการเถอะ เรายังมีฟักทองขนาดใหญ่อีกหลายลูกในไร่ มีเพียงฟาร์มปลาของเราที่จะสามารถจัดกลุ่มแข่งขันได้”

เชอร์ลี่ย์พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พวกเราเป็นอย่างไรบ้าง? ฟาร์มปลามีเด็กแปดคน เราก็สามารถออกเรือได้แปดลำใช่ไหมคะ?”

วินนี่ยิ้มพร้อมกับบีบแก้มของโลลิต้าและพูดว่า “แน่นอนไม่มีปัญหา พี่จะกลับไปวางแผนประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเงินรางวัล จากนั้นก็สามารถประกาศให้ทุกคนรู้ได้”

รอยยิ้มบนใบหน้าของโลลิต้าหายไป เธอเกลียดการถูกบีบแก้มมาก ได้โปรด ทุกคนใกล้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วโอเค?

วินนี่ทำงานไม่ผัดวันประกันพรุ่งเหมือนกับฉินสือโอว เธอทำงานได้อย่างรวดเร็วและวันรุ่งขึ้นแผนงานก็ออกมาแล้ว

การแข่งขันแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือการแข่งขันวิ่งผลัดสองร้อยเมตร และอีกประเภทคือการแข่งขันวิ่งผลัดสองคูณหนึ่งร้อยเมตร ผู้เข้าร่วมต้องเป็นเด็กอายุระหว่างแปดถึงสิบสี่ปีเท่านั้น

ระบบการแข่งขันแต่ละประเภทจะแบ่งออกเป็นรางวัลที่หนึ่ง สองและสาม บังเอิญที่เชอร์ลี่ย์ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการท่องเที่ยว จึงสามารถเปลี่ยนได้ สองรางวัลแรกคือแพ็กเกจท่องเที่ยวแบบครอบครัว รางวัลที่สองคือคูปองช้อปปิ้งมูลค่าสองพันดอลลาร์แคนาดาและรางวัลที่สามคือของขวัญมูลค่าหนึ่งพันดอลลาร์แคนาดา

หลังจากเห็นรางวัลฉินสือโอวถึงกับส่ายหัวและบอกว่าวันฮาโลวีนเพิ่งจะจบไป ทุกคนก็เข้าร่วมการแข่งขันมากมายขนาดนี้เลยเหรอ เงินรางวัลดังกล่าวไม่น่าสนใจสำหรับพวกเขา ถ้าจะเล่นต้องเล่นให้ใหญ่ไปเลย รางวัลที่สามคือแพ็กเกจท่องเที่ยวแบบครอบครัวมูลค่าสามพันดอลลาร์แคนาดา รางวัลที่สองเป็นคูปองช้อปปิ้งมูลค่าห้าพันดอลลาร์แคนาดาและรางวัลที่หนึ่งคือเงินสดหนึ่งหมื่นดอลลาร์แคนาดา ตรงๆ ไปเลย!

ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ฉินสือโอวจึงจัดหาสปอนเซอร์มาครึ่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์อาหารทะเลต้าฉิน

วินนี่รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดี รายได้ทางการเงินของเมืองก็มีมากเพียงพอที่จะรองรับกิจกรรมการแข่งขันนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา

ดังนั้นฉินสือโอวจึงเริ่มเตรียมการสู้รบ การแข่งขันนี้กำหนดขึ้นหลังสองสัปดาห์ เขาต้องทำเรือฟักทองแปดลำในระหว่างสองสัปดาห์นี้

การแข่งขันเรือฟักทองเป็นการแข่งขันประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากการวิจัยแรงลอยตัวพบว่าฟักทองที่มีเนื้อที่ขุดเนื้อออกได้มากกว่าหนึ่งพันปอนด์สามารถรองรับน้ำหนักของผู้ใหญ่ที่นั่งพายเรืออยู่ข้างในนั้นได้ถึงสองพันปอนด์

แต่สำหรับครอบครัวส่วนใหญ่แล้ว พวกเขายังไม่สามารถปลูกฟักทองขนาดพันปอนด์ได้ ดังนั้นวินนี่จึงปรับเปลี่ยนเล็กน้อย จึงเปลี่ยนเป็นงานสำหรับเด็กๆ ดังนั้นจึงจะสามารถดึงดูดให้ครอบครัวมาเข้าร่วมและเพิ่มขอบเขตของผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้

รวมทั้งราชาแตงที่เคยสร้างสถิติ ฉินสือโอวยังหาฟักทองขนาดใหญ่มาได้ทั้งหมดแค่แปดลูกเท่านั้น จากนั้นจึงเรียกชาร์คและคนอื่นๆ มาและพูดว่า “พวกเรา สองวันข้างหน้านี้เราจะไม่ออกทะเล ดังนั้นไปทำเรือฟักทองแปดลำให้ฉันซะ!”

ซีมอนสเตอร์ถนัดลงมือ เขาลูบที่เคราไปมาและยิ้มอย่างมั่นใจแล้วพูดว่า “เอาฟักทองลูกที่ใหญ่ที่สุดมาให้ผม แล้วผมจะสร้างเรือรบขั้นสุดยอดให้คุณเอง!”

ฉินสือโอวจึงเลือกฟักทองออกมาหนึ่งลูกและชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “อย่าโม้นะซีมอนสเตอร์ สิ่งที่ฉันต้องการสร้างคือยานอวกาศ เรามาลองเปรียบเทียบกันดูสิ”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน