ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1390 ลูกชายของคุณ

บทที่ 1390 ลูกชายของคุณ

ฉินสือโอวเอาตั๋วรางวัลส่งให้เชอร์ลี่ย์ จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “เมื่อกี้เธอพลาดมาก เธอไม่ได้เห็นสีหน้าของเจ้าของร้าน มันตลกมาก เขาแทบจะตกตะลึงไปเลยล่ะ”

วินนี่ยักไหล่ใส่และพูดว่า “เจ้าของร้านคนนี้ก็ฉลาดเหมือนกันนะคะ เขารู้ว่าจะซ่อนตั๋วรางวัลที่หนึ่งไว้ที่ด้านบนของกล่องจับรางวัล สุดท้ายก็จะไม่มีใครจับรางวัลที่หนึ่งได้แน่นอน แต่การกระทำแบบนี้มันดูถูกคนอื่นเกินไป”

ฉินสือโอวมองไปที่เธอและพูดว่า “คุณล้อเล่นหรือเปล่า? แบบนี้เรียกว่าฉลาดเหรอ? นี่มันเรียกว่าโง่ต่างหาก!”

“ใช่ คนมีเล่ห์เหลี่ยมมักจะเอารัดเอาเปรียบใช่ไหมคะ?” เชอร์ลี่ย์พูดเสริม

ฉินสือโอวจึงมองไปที่โลลิต้าและสุดท้ายก็ถามเธอว่า “เธอไม่รู้มาก่อนใช่ไหมว่าสามารถทำแบบนี้ได้? นี่คือการโกงการสุ่มจับฉลากที่อยู่ในระดับต่ำสุด”

วินนี่พูดอย่างงุนงงว่า “ระดับต่ำเหรอ? ถ้าเป็นฉันล่ะก็ คงคิดไม่ออกแน่นอน”

เชอร์ลี่ย์พยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “หนูรู้สึกว่านี่เป็นวิธีโกงที่ฉลาดมาก”

ฉินสือโอวไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ใช่ว่ากองทัพของเขาแข็งแกร่งเกินไป แต่ศัตรูนั้นโง่เกินไปต่างหาก

มีกิจกรรมมากมายในสถานจัดแสดงแห่งนี้ และยังมีคอสเพลย์ที่ถ่ายภาพโดยช่างภาพมืออาชีพ และยังมีซุ้มเกมขายของ ทั้งได้เล่นเกมและยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มีไว้สำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ก็ยังมีการตั้งแผงขายสินค้าของใช้สำหรับเด็ก หลักสูตรชั้นเรียนที่น่าสนใจและอื่นๆ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วทุกขอบเขตสำหรับเด็กๆ

สุดท้ายฉินสือโอวก็ไปหากอร์ดอนและคนอื่นๆ เพื่อเตรียมเรียกพวกเขาให้ออกมา แต่เมื่อมาถึงที่ที่พวกเขาตั้งแผงขายของ ก็เห็นผู้ปกครองบางคนกำลังชี้นิ้วมาที่พวกเขา แต่เด็กทั้งสามคนก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยและยังวิ่งเพ่นพ่านไปมาอย่างสนุกสนาน

เมื่อเห็นฉินสือโอว กอร์ดอนชี้ไปที่ของเล่นและขนมกองหนึ่งที่วางตรงหน้าอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ดูสิ พวกเรามีพรสวรรค์ในด้านธุรกิจใช่ไหมล่ะครับ?”

ในขณะที่ฉินสือโอวกำลังจะชื่นชมพวกเขา เชอร์ลี่ย์ที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “พวกนายนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ รังแกเด็กแบบนี้สนุกมากเหรอ? หลอกเอาของของเด็กไม่อายบ้างเหรอไง?”

กอร์ดอนพูดอย่างไม่พอใจว่า “หลอกอะไรกัน? เราเรียกมันว่าการล่อลวงต่างหาก!”

แผงขายของที่กำลังตั้งอยู่ข้างๆ พาวลิสและมิเชล เจ้าของแผงนั้นคือหนุ่มน้อยผมบลอนด์อายุประมาณห้าถึงหกขวบและมีรถขุดของเล่นขุดวางอยู่ตรงหน้าหนึ่งชิ้น

มิเชลหยิบอมยิ้มออกมาและอ้าปากเลีย ‘แผล่บๆ’ ด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม จึงทำให้หนุ่มน้อยคนนั้นรู้สึกอยากกินไปด้วย พาวลิสจึงถือโอกาสหยิบออกมาอีกอันและถามหนุ่มน้อยคนนั้นว่าอยากได้ไหม ถ้าอยากได้ก็เอารถขุดมาแลกกัน

ในสายตาที่กังวลของพ่อแม่ หนุ่มน้อยจึงส่งรถขุดให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นถืออมยิ้มขึ้นมาเลีย หลังจากเลียได้คำสองคำก็เบื่อและส่งให้พ่อแม่กิน

ฉินสือโอวจึงมองอย่างตกตะลึง ไม่แปลกใจที่เชอร์ลี่ย์จะดูถูกพวกเขา ตอนนี้เขาเองก็ทนไม่ได้แล้วเหมือนกัน

เขาจึงเดินไปข้างหน้าเพื่อให้ทั้งสามคนเก็บข้าวของและกลับไป กอร์ดอนจึงพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไมนะ? ธุรกิจของเราเพิ่งจะเริ่ม ฉันก็ต้องการจะหารายได้อีกแล้ว”

ฉินสือโอวจึงส่งสายตาให้พวกเขาหันกลับมามองและกัดฟันพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ ตอนนี้ผู้ปกครองที่อยู่ที่นี่อยากจะจัดการพวกนายจะแย่แล้ว เข้าใจไหม? จะทำอะไรอย่าให้มันมากจนเกินไปเข้าใจไหม? รีบไปเลย! ไม่อย่างนั้นคืนพรุ่งนี้พวกนายไม่ต้องแต่งตัวเป็นผีเลย!”

เด็กๆ วัยรุ่นทั้งสามคนจึงหันหน้ามองไปรอบๆ จากนั้นท่ามกลางสายตาอันเศร้าหมองของกลุ่มผู้ปกครองก็ทำให้พวกเขาตัวแทบสั่น จึงรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งสามคนก็รวมตัวกันและพูดคุยปรึกษากันสักพัก และตามคืนของเล่นให้เด็กคนอื่นๆ ทีละคน

พ่อแม่ของเด็กๆ ต่างพากันประหลาดใจ ฉินสือโอเองก็ประหลาดใจมากเช่นกันจึงถามว่า “ทำไมพวกนายถึงเอาของเล่นไปคืนล่ะ?”

กอร์ดอนยักไหล่และพูดว่า “เราก็แค่เล่นกับเด็กๆ พวกนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาของเล่นของพวกเขาจริงๆ นอกจากนี้ เรายังให้บทเรียนกับพวกเขาอีกด้วย ธุรกิจไม่ใช่แค่การสร้างรายได้ ถ้าพวกเขาต้องการเพิ่มประสบการณ์ทางธุรกิจจริงๆ ก็จะต้องทำธุรกิจกับคนอย่างเรา”

พ่อแม่ที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูด จึงแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา จากนั้นก็พูดกับฉินสือโอวว่า “นี่คุณ ลูกชายของคุณพูดถูก เขาเป็นเด็กดี วันนี้เขาได้ให้บทเรียนที่มีชีวิตชีวาแก่พวกเด็กๆ”

ฉินสือโอวกลอกตาไปมา นี่คุณตาบอดเหรอ? ผมยังอายุน้อยขนาดนี้ คุณคิดได้อย่างไรว่าผมจะมีลูกโตขนาดนี้แล้ว?

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ฉินสือโอวจึงขับรถไปหาแบรนดอนเพื่อทำเรื่องกู้ยืม แบรนดอนบอกเขาว่าเงินจากแร่ทองคำไม่สามารถจ่ายให้เขาได้จนกว่าจะถึงวันปีใหม่ ทองคำนี้ค่อนข้างลำบากในการจัดการ เขาและเบลคก็ช่วยกันหาสาเหตุมาจัดการแก้ไข

ฉินสือโอวไม่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่อดทนรอต่อไป

ชื่อที่ลงนามในชุดใบเสร็จและกดลายนิ้วมือ ในที่สุดก็จัดการเสร็จเรียบร้อย ฉินสือโอวถอนหายใจพร้อมกับโยนเช็คจำนวนมากแล้วพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันก็จะเป็นลูกหนี้เหมือนกันแล้ว”

แบรนดอนเก็บเอกสารอย่างระมัดระวังพลางพูดไปด้วยว่า “ฉันพนันได้เลยว่า เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของชาวแคนาดาต้องการเป็นหนี้เหมือนกับนาย”

ฉินสือโอวตบเช็คเบาๆ ไปมาและพูดว่า “แต่ฉันไม่อยากเป็น รอก่อนเถอะ ขอเวลามากสุดแค่ครึ่งปี ฉันจะจ่ายหนี้ห้าร้อยล้านให้หมด”

ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้ แบรนดอนคงต้องคิดว่าคนโง่กำลังพูดเพ้อเจ้ออยู่แน่ๆ แต่หลังจากได้ยินฉินสือโอวพูดแล้ว เขากลับรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาและพูดอย่างมีความสุขว่า “นายเตรียมไปขุดซากเรืออับปางหรือยัง?”

ฉินสือโอวพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ หลังวันฮาโลวีนผ่านไปแล้ว ฉันจะรีบปล่อยวาฬเบลูกาตัวน้อยของฉันออกไปและพยายามหาเรืออับปางให้ได้มากที่สุดและหาเงินมาคืน”

แบรนดอนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับทุบหน้าอกเบาๆ และบอกว่าเขายินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง ตามสัดส่วน ถ้าฉินสือโอวได้เงินห้าร้อยล้านดอลลาร์แคนาดา เขาก็จะได้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบล้านด้วย

ในช่วงเย็นแบรนดอนจะจัดงานเลี้ยงจึงเชิญฉินสือโอวและวินนี่ด้วย เขาบอกว่าตั้งแต่ทั้งสองคนแต่งงานกัน เขาก็ยังไม่เคยได้เลี้ยงข้าวเลย

ฉินสือโอวปฏิเสธแบรนดอนอยู่หลายครั้ง เขาจึงทำได้เพียงทิ้งพวกเด็กๆ ไว้แล้วไปรับประทานอาหารราคาแพงในภัตตาคารสุดหรู

เขาไม่ค่อยชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้เท่าไรนัก นอกจากสภาพแวดล้อมจะหรูหราแล้ว เขายังไม่เห็นว่าร้านอาหารสามระดับมิชลินนี้จะมีรสชาติดีอะไรขนาดนั้น รสชาติของอาหารก็แค่นั้นและยังสู้อาหารที่พ่อแม่ทำอยู่บ้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ในความเป็นจริงนี่คือความแตกต่างของวัตถุดิบ เนื้อและผักเกือบทั้งหมดในฟาร์มปลาล้วนได้รับการปรับปรุงโดยพลังโพไซดอน รสชาติของตัวมันเองจึงอร่อยกว่าเนื้อและผักจากข้างนอกมาก

ในขณะที่ทานอาหารอยู่ เอ็นแอลซีซีก็โทรศัพท์เข้ามาและพูดแสดงความยินดีเรื่องที่ฟักทองของเขาได้สร้างสถิติการปลูกฟักทองของนิวฟันด์แลนด์ ครั้งนี้รางวัลจึงตกเป็นของเขาและขอให้เขามารับรางวัลในวันรุ่งขึ้น

ในวันที่ 31 ฉินสือโอวจึงขับรถไปที่ตลาดเกษตร จากนั้นประธานของเอ็นแอลซีซีจึงออกใบรับรองและเซ็นเช็คให้เขาด้วยตัวเองและเขาก็ได้รับเงินห้าพันดอลลาร์แคนาดา

หลังจากมอบรางวัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนถามฉินสือโอวว่าฟักทองลูกนี้ขายไหม ฉินสือโอวจึงถามกลับว่าให้ราคาเท่าไร คนคนนั้นจึงบอกว่าหนึ่งพันดอลลาร์แคนาดา

เดิมทีเขาขี้เกียจที่จะขนฟักทองกลับ ถ้าราคาเหมาะสมพอใช้ได้ แต่หนึ่งพันดอลลาร์แคนาดาราคานี้มันต่ำเกินไปไหม? ฉินสือโอวรู้สึกว่าขนกลับไปทำพายฟักทองยังจะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธ

เขานำฟักทองขึ้นเรือข้ามฟากและกลับเข้าไปในเมือง ซึ่งขณะนี้ในเมืองก็จัดเตรียมงานฮาโลวีนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากพากันเปลี่ยนเป็นชุดฮาโลวีนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทุกครัวเรือนจะนำฟักทองมาวางไว้ที่หน้าประตู พอตกกลางคืนก็จะสามารถใช้เป็นโคมไฟฟักทองได้

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท