ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1396 เขาถูกพิษ

บทที่ 1396 เขาถูกพิษ

หลังจากที่แบล็คไนฟ์เปิด ชาร์คและคนอื่นๆ ก็หัวเราะขึ้น พ่อฉินฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจจึงถามแปลกๆ ว่า “นี่มันเพลงอะไร? ฟังแล้วดูคล้องจองกันมากเลย”

ฉินสือโอวหัวเราะเจื่อนและพูดว่า “น่าจะเป็นเพลงพื้นบ้านของแคนาดา”

ชาร์คไม่เคยถูกดูถูกแบบนี้จึงส่ายหัวและพูดว่า “มันไม่ใช่เพลงพื้นบ้านของแคนาดา ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยฟัง”

แบล็คไนฟ์ว่า “นี่คือเพลงพื้นบ้านของคนผิวดำ เมื่อก่อนเคยร้องโดยทาสผิวดำ พวกคุณไม่รู้สึกเหรอว่าจังหวะมันร่าเริงมาก? อย่าให้เขามองฉันด้วยหน้าตาแบบนี้ เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีจริงๆ!”

“มาร้องเพลงกับฉัน! ลูกสาวตัวน้อยคนสวยมาเป็นเพื่อนกัน ปอกข้าวโพดแล้วป้อนให้ชายรูปร่างสูงใหญ่กิน อร่อยที่สุดในสามโลก แบ่งข้าวโพดก็มาป้อนให้ชายรูปร่างสูงใหญ่กิน ลูกสาวตัวน้อยคนสวยมาเป็นเพื่อนกัน ไวน์ที่กลั่นมีรสหวานมาก…” แบล็คไนฟ์ฮัมเพลงในลำคอ

เพลงประเภทนี้ร้องกันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา บีบีซวง ทริกเกอร์และออสเปรก็ร้องตามเพลงนี้ได้

เนื้อเพลงนั้นง่ายมาก เพียงแค่ร้องสี่หรือห้าประโยคซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนั้นไม่นานคนอื่นๆ ก็เห็นพวกทหารกำลังร้องเพลงกันอย่างร่าเริง พวกเขาจึงเริ่มร้องตาม

ฉินสือโอวส่ายหัวพร้อมกับมองไปที่พวกเขาและถอนหายใจแล้วพูดว่า “กลุ่มอันธพาลกันทั้งนั้น เพลงที่ร้องเพลงมันคือเพลงอะไร? ฉันแค่เคยพูดเรื่องตลกเท่านั้นเอง…ลูกสาวตัวน้อยคนสวยมาเป็นเพื่อนกัน ปอกข้าวโพดแล้วป้อนให้ชายรูปร่างสูงใหญ่กิน…”

คนกลุ่มหนึ่งร้องเพลงอย่างมีความสุขและก็ทำให้การทำงานมีความสุขและผ่อนคลายมากขึ้นจริงๆ แน่นอนว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับข้าวโพดเป็นอย่างมาก

ในช่วงบ่ายการเก็บเกี่ยวถั่วลิสงและถั่วอื่นๆ ฉินสือโอวจะรอจนกว่าพวกเด็กๆ จะเลิกเรียนแล้วค่อยมาทำ พร้อมกับประกาศเงินรางวัลให้พวกเขา เหล่านักล่าเงินรางวัลจะเริ่มปฏิบัติการอีกครั้ง

ในเมื่อยังไม่มีเครื่องจักร ข้างหน้าก็คือฉินสือโอวและอีกสองสามคนถือจอบตามา และมีพวกเด็กๆ นั่งยองๆ อยู่ข้างหลังกำลังก้านข้าวโพดออกมาใส่ในตะกร้า

ลอเรนซ์ลูกสาวของแลนซ์ที่ทำอยู่สักพักก็ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจพร้อมกับถือไข่สีเหลืองสลับสีขาวสองสามฟองไว้ในมือและตะโกนว่า “มาดูเร็ว นี่มันไข่อะไร?”

เมื่อก่อนไร่ถั่วลิสงที่บ้านของฉินสือโอว มักจะมีงูเคลื่อนไหวไปมาและที่นั่นก็จะมีไข่งูอยู่ แต่ไข่จะมีขนาดใหญ่ไปหน่อย จึงดูไม่เหมือนกับไข่งู แน่นอนว่าเกาะแฟร์เวลก็ดูเหมือนจะไม่มีงู

แต่เขาจึงเตือนว่า “ระวังหน่อยนะ มันอาจจะเป็นไข่งู”

หลังจากได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เด็กวัยรุ่นที่เดิมทีไม่ได้สนใจในอะไรก็เข้ามารวมตัวกัน “นี่มันคือไข่งูเหรอ? ฉันไม่เคยเห็นไข่งูมาก่อนเลย”

“เอากลับไปฟักไข่กันเถอะ เราจะได้เห็นว่างูน้อยหน้าตาเป็นอย่างไร”

ฉินสือโอวรู้สึกอึดอัดมาก จึงพูดว่า “พวกนายกำลังรนหาที่ตายเหรอไง? เคยได้ยินเรื่องการเพาะพันธุ์งูเป็นโรคไหม?”

กอร์ดอนพูดอย่างไม่สนใจว่า “มีอะไรเหรอ เมื่อก่อนเราก็เคยกินงูมาแล้ว ตัดหัวลอกหนังแล้วก็ตุ๋นกับน้ำซุป อร่อยมากเลยนะ หลังดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายอุ่น”

ชาร์คแสดงความเลื่อมใสออกมาและพูดว่า “นี่นาย นายแข็งแกร่งกว่าฉันอีกนะ!”

ไวส์ถามอย่างรีบร้อนว่า “น้ำดีงูล่ะ น้ำดีงูล่ะ? ใครจะกิน? มันสามารถเพิ่มกำลังภายในได้!”

“ของแบบนั้นจะกินได้อย่างไร? โยนทิ้งไปเลย” กอร์ดอนกล่าว

ไวส์พูดอย่างเสียดายว่า “แย่มาก นายนี่ไม่มีวัฒนธรรมเลย กอร์ดอน ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกว่านายโง่มากที่ทิ้งน้ำดีงูที่มีประโยชน์ไปและเลือกที่จะกินแต่เนื้องู…”

“นายพูดว่าใครโง่นะ?” กอร์ดอนถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

ไวส์มองไปที่เขาพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “กอร์ดอน ทำไมนายต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย? ฉันก็แค่ถามไปงั้นๆ เอง…”

“นายพูดว่าใครโง่นะ? ฉันก็แค่ถามนาย” กอร์ดอนยังคงถามอย่างต่อเนื่อง

ไวส์โยนตะกร้าในมือลงแล้วพุ่งไปข้างหน้าและชนกอร์ดอนล้มลงไปในไร่ถั่วลิสงและชกเข้าไปที่ขุมตาเขาก่อน จากนั้นกอร์ดอนโต้กลับ ทั้งสองจึงเริ่มกลิ้งไปมาบนพื้น

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ฉินสือโอวที่ทำงานอยู่ข้างหน้าก็กังวลและด่าว่า “ให้ตายเถอะ จะชกกันไปทำไม? พวกนายกำลังทำอะไร? พวกนายดูคนรอบๆ สิ?”

ชาร์คน้อยและซีมอนสเตอร์น้อยมองหน้ากัน จากนั้นก็วิ่งเข้าไปและตะโกนว่า “ไวส์สู้ๆ! เตะเขาเลย!” “กอร์ดอนนายเก่งที่สุด รวบพลังความแข็งแกร่งของนายออกมาสิ!”

ฉินสือโอว “…”

เมื่อดึงทั้งสองคนแยกออกจากกัน กอร์ดอนยังต้องการที่จะพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ยอมแพ้ ฉินสือโอวจึงพูดว่า “ใครยังคิดจะลงมืออีก ต่อไปนี้อย่าคิดจะมาเป็นนักล่ารางวัล ฉันจะไม่ให้พวกนายทำงานอีกแล้ว!”

หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้น กอร์ดอนและไวส์ก็หยุดลงมืออย่างไม่เต็มใจ เชอร์ลี่ย์มองไปที่กอร์ดอนด้วยความสงสารและพูดว่า “ตาซ้ายนายเขียวหมดแล้ว หมัดของไวส์นี่หนักจริงๆ เลย”

ประโยคนี้เกือบจะจุดชนวนให้เกิดสงครามอีกครั้ง

ฉินสือโอวเช็ดหน้าให้กอร์ดอน หมัดแรกของไวส์นั้นแข็งแกร่งจริงๆ จนทำให้ดวงตาของกอร์ดอนเขียวช้ำเป็นวง กอร์ดอนหยิบโทรศัพท์ออกมาดูและตะโกนว่า “ฉิน นี่จะทำอย่างไร? พรุ่งนี้ผมไม่มีหน้าไปโรงเรียนแล้ว ผมต้องแก้แค้น”

ฉินสือโอวจ้องมองเขาและพูดว่า “แก้แค้นอะไร? ตอนเย็นให้วินนี่ม้วนไข่ให้นายแล้วกัน เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”

หลังจากทำงานต่อไปเรื่อยๆ ก็พบไข่นกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา นอกเหนือจากไข่นกจมูกหลอดหางสั้นที่คุ้นเคยแล้วยังมีไข่นกอื่นๆ อีก ดูเหมือนว่าจะมีนกหลายตัวบินมาหาอาหารที่ไร่

ไข่สีสวยที่สุดในไข่นกคือไข่เป็ดป่า ซึ่งมีสีเขียวอ่อนและมีลวดลายสวยงาม แน่นอนว่าสิ่งนี้ยังมีรสชาติอร่อยที่สุดด้วย…

วินนี่กลับมาในตอนเย็นและวางรองเท้าส้นสูงลง เท้าบอบบางก้าวลงบนพรมจึงทำให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เธอจึงอุทานอย่างสบายอกสบายใจว่า “การจัดกิจกรรมนี่เหนื่อยมากจริงๆ พระเจ้า คุณกำลังทำร้ายฉันที่รัก”

ฉินสือโอวกอดเธอบนโซฟาพร้อมกับช่วยนวดเท้าให้เธอแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ผมไปทำร้ายคุณได้อย่างไร?”

วินนี่ทำเสียงสบายๆ พ่อฉินจึงกระแอมอยู่ข้างๆ วินนี่ปิดปากทันทีและทำหน้าตลกใส่ฉินสือโอว

“เป็นอะไรกันแน่?” ฉินสือโอวถาม

วินนี่กล่าว “เงินรางวัลของเราสูงไปหน่อยนะ มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก มีผู้ลงชื่อสมัครมากกว่าสองร้อยคนแล้ว นี่เป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ!”

ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณควรขอบคุณผมนะ กิจกรรมที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ยิ่งมีอิทธิพล และยิ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากเท่าไร เมืองก็จะยิ่งได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น ถึงเวลาก็สามารถสร้างรายได้ด้วยการตั้งแผงขายสินค้าได้”

วินนี่นั่งลงพร้อมกับจูบเขาและพูดว่า “จากมุมมองของนายกเทศมนตรี ฉันควรจะขอบคุณคุณ แต่กลับมาบ้านแล้วฉันเป็นภรรยาของคุณ ภรรยาของคุณถูกความคิดของคุณครอบงำเกินไปแล้ว”

ทั้งสองกำลังกะหนุงกะหนิงกันอยู่ คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์อยู่บ้างจะไม่รำคาญ แต่กอร์ดอนจงใจโน้มตัวเข้าไปใกล้

เมื่อเห็นวงกลมตาซ้ายม่วงช้ำเป็นวงของกอร์ดอน วินนี่ก็สะดุ้งก่อน จากนั้นลากเสียงยาวแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “กอร์ดอน นายมีเรื่องที่โรงเรียนอีกแล้วใช่ไหม?!”

ไวส์ที่อยู่ข้างหลังก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ครับ เขาแค่ถูกพิษ!”

วินนี่จ้องมองพวกเขาแต่ละคนและรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับไวส์ จึงให้เขาต้มไข่และเตรียมน้ำร้อน ดวงตาเป็นสิ่งที่อ่อนไหวง่ายมาก ไม่สามารถใช้น้ำยาฉีดพ่นลดอาการบวมได้ จึงทำได้เพียงใช้วิธีดั้งเดิมเท่านั้น

ไวส์ยิ้มเยาะและพูดว่า “เตรียมเรียบร้อยแล้ว ไข่อยู่ตรงนี้ น้ำร้อนก็อยู่ตรงนั้น”

เขาช่วยกอร์ดอนอย่างกระตือรือร้น กอร์ดอนจึงกัดฟันและพูดว่า “อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะยกโทษให้คุณนะ!”

วินนี่มองทั้งสองคนอย่างจริงจังและพูดว่า “เพื่อนแท้จะไม่เกลียดกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้! ความรู้สึกที่แท้จริง จะไม่แตกหักเพราะการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ!”

กอร์ดอนพูดอย่างไม่ยอมว่า “แต่…”

ไวส์เข้าไปกอดเขาแล้วพูดว่า “ขอโทษนะกอร์ดอน ฉันไม่น่าลงมือก่อนเลย”

กอร์ดอนถึงกับตกตะลึง จากนั้นก็กอดเขากลับและพูดด้วยความคับแค้นใจว่า “โอเค ฉันก็ผิดเหมือนกัน ฉันไม่ควร…โธ่เอ๊ย เรื่องนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันผิดตรงไหน?”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท