ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1398 เรือหลายร้อยลำกำลังแข่งกัน

บทที่ 1398 เรือหลายร้อยลำกำลังแข่งกัน

เมื่อการจับฉลากเริ่มขึ้น กลุ่มเด็กวัยรุ่นก็เข้าแถวเพื่อจับฉลากหมายเลข ฉินสือโอวจึงมองไปที่สนามแข่งบนทะเลสาบ

เมื่อก่อนทะเลสาบเฉินเป่ามีเพียงท่าเรือเล็กๆ แต่ต่อมามีการค้นพบฟอสซิล พิพิธภัณฑ์และสถาบันวิจัยโบราณคดีจึงมาขุดค้นและสร้างท่าเรือขึ้นอีกแห่ง

ท่าเรือทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณห้าร้อยเมตร ซึ่งท่าเรือหนึ่งแห่งจะรับผิดชอบการแข่งขันกลุ่ม การแข่งขันของผู้ชายจะอยู่ที่ท่าเรือแห่งใหม่และการแข่งขันของผู้หญิงจะอยู่ที่ท่าเรือเก่า ด้านหน้าของท่าเรือจะใช้ธงเล็กๆ หลากสีแบ่งสนามแข่ง ซึ่งดูแล้วเป็นเรื่องปกติมาก

กอร์ดอนเป็นคนแรกที่จับสลากเสร็จ จึงวิ่งกลับมาอย่างมีความสุขและพูดโม้ว่า “ดูสิ ฉันอยู่ในสนามแรกและกลุ่มแรก นี่บ่งบอกว่าฉันจะได้ที่หนึ่งหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวยักไหล่และพูดว่า “นี่ มีคำคำหนึ่งบอกไว้ว่าทุกอย่างควรพอดี ปกติถ้าเป็นแบบนี้มักได้ที่สุดท้ายนะ นายรู้ว่าคนสุดท้ายก็เป็นที่หนึ่งได้เหมือนกันใช่ไหม?”

กอร์ดอนพูดอย่างไม่ยอมว่า “เป็นไปได้อย่างไร ผมทำแบบทดสอบของทั้งห้องอยู่หลายครั้ง คุณครูก็ไม่ได้บอกว่าผมสอบได้ที่หนึ่งเช่นกัน”

ฉินสือโอวสูดหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะคุยกับเด็กคนนี้แล้ว

เมื่อการจับฉลากจบลง การแข่งขันของฝ่ายชายและหญิงจะแตกต่างกัน การแข่งขันของฝ่ายหญิงคือแข่งหนึ่งรอบ พายครั้งแรกจะเริ่มจับเวลา สุดท้ายก็จะจัดอันดับ ใครก็ตามที่ใช้เวลาสั้นที่สุดคนนั้นก็จะได้อันดับที่หนึ่ง

ทีมชายแบ่งออกเป็นสองรอบ หลังจากผลการแข่งขันรอบแรกออกมาแล้ว จะมีการคัดเลือกสิบอันดับแรกมาแข่งต่อ เพื่อหาสามอันดับแรก

ไม่ต้องบอกเลยว่า การแข่งขันทีมฝ่ายชายมีความยุติธรรมมากกว่า แต่เด็กผู้หญิงอ่อนแอเกินไปและการพายสองร้อยเมตรไม่ใช่งานเล็กๆ ฉินสือโอวจึงทดสอบในระหว่างการฝึกซ้อมและเขาจะต้องทำงานหนักนี้ให้สำเร็จ

การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว กอร์ดอนเป็นคนแรกที่ลงน้ำ ฟักทองของเขามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขัน เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเบิกตากว้างแล้วถามว่า “พระเจ้า นี่นาย นายปลูกฟักทองลูกนี้ได้อย่างไร?”

ฟักทองของเด็กๆ วัยรุ่นมีน้ำหนักเพียงหกหรือเจ็ดร้อยปอนด์ เช่นเดียวกับเพื่อนตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ กอร์ดอน

กอร์ดอนลูบเรือฟักทองอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “นี่คือเรือประจัญบานสุดพิเศษกอร์ดอนและเออร์บัก ไม่ใช่ฟักทอง นายรอดูการแสดงที่ยอดเยี่ยมได้เลย ฉันจะได้ที่หนึ่งแน่นอน”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น เด็กคนนั้นก็แบะปากและบ่นพึมพำว่า “เจ้านี่ช่างขี้อวดจริงๆ!”

การแข่งขันได้มียิ่งปืนเริ่มการแข่งขันและโหวจื่อเซวียนก็ถือปืนไว้ในมือ หลังจากผู้รักษาเวลาพร้อมแล้ว เขาก็ยกปืนขึ้นและชี้ขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดัง ‘ปัง’

เมื่อได้ยินเสียงปืน กลุ่มเด็กวัยรุ่นก็เริ่มมีพลังฮึกเหิมขึ้นมาทันที กอร์ดอนจึงตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ว้าว! เรือบัญชาการสูงสุดกอร์ดอน เออร์บัก พุ่งลงน่านน้ำทะเลสาบ พุ่งลงทะเลและไปยังดวงดาวแห่งจักรวาล!”

เขาส่งเสียงร้องอยู่ตรงนั้น เด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ จึงออกตัวอย่างรวดเร็วด้วยไม้พายของพวกเขา….

ฮิวจ์มาหาฉินสือโอวและมองไปที่กอร์ดอนด้วยความเป็นห่วงแล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกมาตลอดว่าไอคิวของเด็กคนนี้ยังไม่ดีพออนิจจา ฉิน พวกนายคนจีนมีวิธีอะไรบ้างที่จะสามารถฟื้นฟูสมองให้ลูกๆ ได้”

ฮิวจ์คนน้องที่ตามมาข้างหลังจึงหัวเราะเยาะและพูดว่า “เงื่อนไงแรกของการฟื้นฟูสมองคือต้องมีสมองก่อน พวกนายดูกอร์ดอนสิ เด็กคนนั้นดูมีสมองเหรอไง?”

ฮิวจ์ไม่สนใจน้องชายของเขาและพูดต่อว่า “ถ้าเขามีช่วยบอกให้ฉันรู้ที ฉันก็จะฟื้นฟูมันให้น้องชายฉันเหมือนกัน”

ฮิวจ์คนน้องพูดอย่างไม่พอใจว่า “พี่ชายสุดที่รัก ไม่ดูถูกฉันบ้างคงจะไม่สบายใจใช่ไหม?”

ฮิวจ์ถอนหายใจและพูดว่า “พี่เป็นห่วงแก เข้าใจไหม?”

ฉินสือโอวว่า “โอเคโอเค พวกนายสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว รีบดูการแข่งขันเถอะ กอร์ดอนจะออกแรงแล้ว!”

อันที่จริง แค่ฉันเห็นแขนอันทรงพลังทั้งสองข้างของกอร์ดอนแล้วก็เหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาที่กำลังแกว่งไปมาและการเคลื่อนไหวก็ทำให้การพายเรือทั้งสองพายได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเรืออื่นๆ อีกเก้าลำเป็นเรือขนาดเล็กทั้งหมด เด็กๆ วัยรุ่นที่อยู่บนเรือก็กำลังใช้มือพาย ซึ่งนั่นก็คือถือไม้พายไว้ในมือและพายไปทางด้านซ้ายขวา แต่ทางฝั่งกอร์ดอนจะพายทั้งสองด้านด้วยกัน เพื่อให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เรือฟักทองแล่นข้ามทะเลสาบอย่างรวดเร็วและผู้คนบนฝั่งก็ค่อยๆ ร้องอุทานว่า “แบบนี้เขาไม่โกงเหรอ?”

ฮิวจ์คนพี่และคนน้องเอียงตามองฉินสือโอวทั้งซ้ายและขวาแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นายขี้โกงเหรอ? การพายแบบวิธีนี้จะสบายกว่าการพายด้วยมือมากนะ”

ฉินสือโอวถอนหายใจและพูดว่า “นี่เรียกว่าการใช้กฎของการแข่งขันอย่างสมเหตุสมผล กฎการแข่งขันไม่อนุญาตให้ใช้ไม้พายคู่เหรอ? นอกจากนี้ลองดูสิ นี่ก็เป็นแค่เรือฟักทองจากบ้านฉันไม่ใช่เหรอ? สรุปว่าดีหรือไม่ดี”

กอร์ดอนจะโชคดีหรือโชคร้าย ทีมของเขาเป็นเพียงแค่การใช้ไม้พายคู่ ส่วนคนอื่นๆ ก็ใช้การพายเรือด้วยไม้พายเดี่ยว

โดยปกติแล้วกอร์ดอนจะเร็วที่สุดและเขาเร็วกว่าคนอื่นๆ มาก

แต่ความเร็วนี้ก็ตรงกันข้ามเช่นกัน เรือฟักทองมีลักษณะกลม ในมุมมองของการรับแรงจึงไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นเรือ แม้ว่ากอร์ดอนจะพายเรือเร็ว แต่ก็มีหลายครั้งที่เรือฟักทองจะหมุนวนรอบทะเลสาบ ซึ่งแบบนี้จะใช้เวลานานมาก

ข้อดีของการพายไม้คู่ก็คือเรือฟักทองจะรับแรงให้เท่ากันมากขึ้น เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่เรือจะพลิกคว่ำในทะเลสาบ

แต่ผู้คนหรือสิ่งของแต่ละอย่างล้วนมีจุดแข็งและจุดอ่อน คนพายไม้เดี่ยวจะหมุนได้ง่าย แต่เนื่องจากเป็นสามร้อยหกสิบองศาเหมือนกัน จึงใช้ทิศทางใดก็ได้เป็นทิศทางที่ไปข้างหน้า ดังนั้นถ้าจะหมุนก็แค่ลอยไปตามระดับน้ำเท่านั้น จากนั้นคนที่อยู่ในเรือก็หันกลับมาแล้วเดินหน้าต่อไปก็พอแล้ว

ที่ไม้พายคู่ได้เปรียบ เนื่องจากไม้พายทั้งสองคงที่แล้วจึงสามารถค่อยๆ ปรับและหมุนตัวกลับได้ ดังนั้นจึงใช้เวลานานมาก อีกทั้งยังหมุนตัวกลับยากอีกด้วย

สนามแข่งขันอยู่ที่หนึ่งร้อยเมตร หลังจากถึงจุดหมายปลายทางแล้วจะมีรอบขากลับอีกครั้ง หลังจากเรือฟักทองของกอร์ดอนกลับมา ผู้รักษาเวลาจะตรวจสอบนาฬิกาและรายงานผล “ชายเดี่ยวสองร้อยเมตร รอบที่หนึ่งกอร์ดอนเข้ารอบคนแรก ด้วยเวลาหนึ่งนาทีสี่สิบห้าวินาที”

ขณะนี้เด็กวัยรุ่นที่เหลืออีกเก้าคนเพิ่งหันหน้าพายเรือกลับ เรืออ้วนกลมจะหลีกเลี่ยงการพลิกคว่ำในทะเลสาบได้ยากจริงๆ

วินนี่เลียนแบบการประกวดการคลานของทารกที่เธอพาเถียนกวาไปในตอนแรก จึงเตรียมเหรียญรางวัลไว้มากมาย ซึ่งทุกคนจะได้รับรางวัล แต่วัสดุจะเป็นพลาสติก

กอร์ดอนยกเหรียญขึ้นเพื่อส่งสัญญาณไปรอบข้าง จากนั้นกัดมันเข้าปากอย่างมีความสุขและโบกมือไปมารอบๆ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะบ่น แต่ในขณะนี้ทุกคนก็ยังปรบมือให้กอร์ดอนอย่างอบอุ่น พวกพ่อแม่ชาวแคนาดาก็ให้ความสำคัญกับการให้กำลังใจลูกๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของตัวเองก็ตาม

ในการแข่งขันรอบที่สองมีชาร์คน้อยเพิ่มเข้ามาด้วย เขาก็สามารถเคลื่อนไหวไม้พายคู่ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน จึงทำให้คว้าที่หนึ่งได้สำเร็จ และซีมอนสเตอร์น้อยที่เข้ารวมการแข่งขันในรอบที่สามก็ดูจะน่าสงสารเล็กน้อย เขาเริ่มออกแรงได้สำเร็จและขึ้นนำได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาถูกวนเป็นวงกลมหลังจากพายมาได้มากกว่าสี่สิบเมตร

ซึ่งตอนนี้มันแย่มาก การพายเรือไม้คู่ร่วมกับเรือกลมมันจะทำให้เครื่องหมุน หลังจากประสบปัญหานี้ซีมอนสเตอร์น้อยก็ยังคงสบายดีและอดทนพยายามกลับไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ยิ่งเขาเร่งการหมุนก็ยิ่งเร็วขึ้นและยิ่งหมุนตัวหลายครั้ง จนทำให้เขาเวียนหัวจนต้องนอนบนเรือฟักทองก่อนจากนั้นก็อาเจียนออกมา

ฉินสือโอวต้องการลากเขากลับมา การแข่งขันจบลงแล้วและอีกเก้าคนที่เหลือก็จบการแข่งขันแล้วเช่นเดียวกัน แต่ซีมอนสเตอร์น้อยก็ยังไม่ยอมแพ้ หลังจากที่เขาปรับมันแล้ว เขาก็พยายามพายหมุนมันกลับมา

ชาวแคนาดาจะให้ความสำคัญกับความตั้งใจและความอุตสาหะของเด็กๆ มากกว่า พวกเขาเชื่อว่านี่คือลักษณะที่สำคัญที่สุดในความสามารถของมนุษย์ สำคัญกว่าพรสวรรค์ เมื่อซีมอนสเตอร์น้อยหมุนกลับมา เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างล้นหลาม!

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท