ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1399 ผู้ชนะเลิศ

บทที่ 1399 ผู้ชนะเลิศ

ฉินสือโอวเฝ้าดูกลุ่มเด็กผู้ชายอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ไปที่กลุ่มเด็กผู้หญิงอีกครั้ง ทางฝั่งเชอร์ลี่ย์และลอเรนซ์ก็ได้แข่งขันเสร็จสิ้นแล้วและมองไปที่เขาอย่างเย็นชา ถามว่า “คุณยังไม่รู้ว่าจะมาได้อย่างไร?”

เสี่ยวเถียนกวาเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคน จากนั้นก็มองไปที่ฉินสือโอว ทันใดนั้นเธอก็พูดตามว่า “มาได้ไง?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงตัวน้อยเปล่งเสียงสามคำออกมา ฉินสือโอวคิดว่าเธอได้ยินผิดตอนที่เธออ้าปากพูด หลังจากนั้นเสียงของผู้คนที่นั่นก็วุ่นวายขึ้น หลังจากนั้น เด็กหญิงก็พูดซ้ำอีกครั้งว่า “มาได้ไง?”

เชอร์ลี่ย์และลอเรนซ์ก็ได้ยินเช่นกัน ทั้งสองจึงโยนความไม่พอใจต่อฉินสือโอวออกไปทันที และหนึ่งในนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับหัวเราะในขณะที่บีบแก้มอ้วนของเด็กหญิงตัวน้อย

เด็กหญิงตัวน้อยเกลียดการกระทำแบบนี้มาก เธอโบกแขนสั้นๆ และผลักทั้งสองไปข้างหลังอย่างแรงพร้อมกับทำเสียง ‘อ่าๆ’ ด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยสีหน้าอดทนไม่ไหว

ฉินสือโอวทั้งเกลี้ยกล่อมลูกสาวและถามทั้งสองคนว่า “การแข่งขันของพวกเธอจบแล้วเหรอ? ฉันจำได้ว่าพวกเธออยู่หลังๆ กันหมดนะ”

เชอร์ลี่ย์บ่นว่า “คุณไม่สนใจพวกเราสักนิดเลย ใช่ เราอยู่อันดับหลังๆ แต่ทีมฝ่ายหญิงของเรามีน้อย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เราจะแข่งได้ถึงเมื่อไรกันล่ะ?”

ฉินสือโอวคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ตอนนี้ทีมฝ่ายชายทำการแข่งขันได้มาถึงครึ่งทางแล้ว ทีมฝ่ายหญิงที่มีเพียงหนึ่งร้อยแปดสิบคนก็คงจะทำเหมือนกันหมด ดังนั้นเขาจึงถามทั้งสองคนเกี่ยวกับผลการแข่งขัน

เชอร์ลี่ย์ยักไหล่และพูดอย่างผิดหวังเล็กน้อยว่า “ปกติเรือฟักทองของเราจะใหญ่เกินไปและพายได้ค่อนข้างยาก น่าจะอยู่ระหว่างอันดับที่ห้าถึงสิบ”

ฉินสือโอวพูดปลอบใจทั้งสองคนว่า “แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว ถึงอย่างไรพวกเธอก็เพิ่งจะฝึกฝนมาได้ไม่นาน นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันคู่อีกใช่ไหม? พวกเธอสองคนอยู่ในห้าอันดับแรกหรือถึงสิบอันดับแรกล่ะ รวมแล้วต้องอยู่ในสามอันดับแรกแน่นอน”

“ถ้ายังไม่ใช่ล่ะ?” เชอร์ลี่ย์จับแขนของเขาและพูดด้วยความน่าสงสาร

ฉินสือโอวถึงกับกลืนน้ำลาย แม่เจ้า เขาใช้พลังโพไซดอนเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้พวกเธอตลอด และพวกเธอยังมีเรือฟักทองที่ดีที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ ถ้าไม่ได้สามอันดับแรก เขาก็คงไม่มีเหตุผลอะไรแล้ว

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดแบบนี้ออกไปได้ เขาจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมทั้งสองคนว่า “ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ฉันพูดได้แค่ว่าพระเจ้าไม่อยากเห็นพวกเธอสองคนคว้าแชมป์ไม่ใช่เหรอ?”

ไวส์เรียกเขาไปอีกฝั่ง ฉินสือโอวจึงกอดเด็กสาวทั้งสองคน จากนั้นก็ถามว่า “ทำอะไร?”

ไวส์ที่สีหน้ากำลังจริงจังและยืนอยู่บนฟักทองของเขาก็พูดว่า “อาจารย์ คุณรีบเปิดวิดีโอดูสิ พ่อของผมบอกว่าเขาส่งคำขอวิดีโอมาให้คุณ พวกเขาต้องการดูตารางชนะการแข่งขันของผมทั้งหมด!”

ฉินสือโอวหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาดู ก็มีคำขอวิดีโอจริงๆ หลังจากที่เขายอมรับคำขอแล้ว ใบหน้าของบรูซและภรรยาก็ปรากฏบนหน้าจอเล็กๆ ของโทรศัพท์มือถือ ทำให้เขาต้องดูในแนวนอน ไม่อย่างนั้นจะใบหน้าของทั้งคู่จะมีแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องแปลกมาก

“เฮ้ ฉิน ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จอร์จยิ้มอย่างสดใสและวิเวียนก็มาทักทายเขาเช่นกัน

ฉินสือโอวตอบกลับและรีบหันกล้องไปที่ไวส์ เขารู้ว่าทั้งคู่อยากเห็นอะไรมากที่สุด

เมื่อเห็นไวส์ วิเวียนก็กรีดร้องขึ้นทันทีเหมือนกับสาวที่หลงใหลในชายที่รูปร่างหล่อเหลา “พระเจ้า ลูกของฉันสุดยอดมากจริงๆ! ที่รัก ใครทำเรือฟักทองให้ลูก? ทั้งสวยและสง่างามมากจริงๆ!”

ไวส์พูดด้วยความดีใจว่า “ลุงนีลเซ็นเป็นคนช่วยทำ แต่ตัวหนังสือข้างบนนั้นผมเขียนเอง”

ฉินสือโอวเหลือบมองดูและมีตัวอักษร ‘อู’ ที่น่าเกลียดจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้านนอกของฟักทอง ใช่ มันมากมายนับไม่ถ้วน มีทั้งใหญ่และเล็ก ไวส์เขียนมันมาสองสามวันแล้วและเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้กำลังฝึกคัดลายมือบนฟักทองที่ถืออยู่

วิเวียนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เธอร้องไห้ออกมาด้วยความประหลาดใจ “นี่ลูกเขียนเหรอ? แม่อยากจะบอกว่าตัวอักษรเหล่านี้ทั้งสวยงามทั้งสง่างาม! ไวส์ ดวงใจของแม่ ลูกสุดยอดมาก แต่น่าเสียดายที่แม่ไม่สามารถไปคว้าแชมป์ข้างๆ ลูกได้ นี่คือแชมป์แรกของลูกใช่ไหม?”

กอร์ดอนที่อยู่ข้างๆ ก็โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับโบกมือ “ไม่ต้องห่วงครับ ป้าวิเวียน มีผมอยู่จะต้องไม่มีทางคว้าแชมป์ได้แน่นอน ดังนั้นพวกคุณยังมีโอกาสที่จะคว้าแชมป์แรกข้างๆ เขา”

วิเวียนถอนหายใจและพูดว่า “ฉิน เอาเด็กไม่รู้จักความนี่ออกไปได้ไหม?”

จอร์จพูดกับไวส์อย่างไม่พอใจว่า “ลูกรัก ลูกมีการแข่งขันที่สำคัญขนาดนี้ ทำไมไม่บอกเราก่อนเลยล่ะ? เราจะไปที่สนามแข่งเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกได้ ทำไมพอมาถึงวันนี้แล้วถึงพูด! ลูกไม่รักแม่กับพ่อแล้วเหรอ?”

ไวส์พูดอย่างเขินอายว่า “ไม่ใช่นะครับ ผมรู้สึกว่าผมไม่มีความมั่นใจ ผมคิดว่าผมคงคว้าแชมป์ไม่ได้ ถ้าพ่อกับแม่มาก็จะรู้สึกอับอายไปด้วย”

“ไม่เลยลูกรัก พ่อกับแม่จะภูมิใจในตัวลูกเสมอ” วิเวียนพูดไปน้ำตาคลอเบ้าไปด้วย เธอทำท่าจะร้องไห้ เธอไม่มีบุคลิกที่เหมือนกับราชินีเหล็กแห่งชิคาโก้เลยสักนิด

การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้น ไวส์จูบกับเลนส์กล้องแล้วกระโดดขึ้นเรือพร้อมกับถอดเสื้อแจ็กเกตออก เผยให้เห็นชุดกีฬาอยู่ข้างใน ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าและร่างกายท่อนล่างอยู่ในชุดกางเกงสไตล์บรูซลี ด้านหลังเขียนตัวอักษร ‘อู’ แบบเอียงด้วยปากกา

ฉินสือโอวแทบจะสำลักน้ำลาย แต่บรูซและภรรยาไม่สนใจ จอร์จจึงให้เขามาดูใกล้ๆ หลังจากอ่านเสร็จเขาก็พูดด้วยความพึงพอใจว่า “รูปร่างของลูกชายฉันดีจริงๆ ฉิน ขอบคุณที่ทำงานหนักนะ! วิเวียนกับฉันเป็นหนี้ครอบครัวคุณจริงๆ!”

วิเวียนยังพูดอีกว่า “ขอบคุณมากจริงๆ เราคิดว่าชีวิตนี้คงจะไม่ได้เห็นไวส์ออกกำลังกายอย่างหนักอีกแล้ว คุณได้ทำตามความปรารถนาของเราแล้ว!”

เสียงปืนดังขึ้น ไวส์เช่นกอร์ดอนตะโกนเสียงดังว่า “อ้าวๆ!” จากนั้นกล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างก็ยกขึ้นและไม้พายคู่ก็แกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว ดั่งเรือฟักทองที่ถูกยิงออกไปเหมือนกับธนู

ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาควรให้กำลังใจไวส์สักหน่อย ดังนั้นเขาจึงโกง ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อปูทางในทะเลให้กับไวส์ เรือฟักทองที่อยู่ด้านหน้าจึงสงบนิ่งและมีคลื่นซัดอยู่ด้านหลัง มีคลื่นใต้น้ำขึ้นๆ ลงๆ อยู่ด้านล่าง

ดังนั้นไวส์จึงไม่ต้องกังวลว่าเรือฟักทองจะหมุนสะเปะสะปะไปรอบๆ ในทะเลสาบ เขาแค่ต้องพายอย่างสุดแรงก็พอและเดินทางไปกลับให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

คนแรกที่กลับมา ไวส์โบกมือและกระโดดลงจากเรือฟักทอง ‘แครกๆๆ’ และโบกมือไปมา หลังจากนั้นเตะสูงอีกครั้งหนึ่งตะโกนว่า “อา!”

วิเวียนที่อยู่นั่นก็ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าเขา เธอจึงกรีดร้องอย่างสุดเสียงว่า “โอ้พระเจ้า! โอ้พระเจ้า! โอ้พระเจ้า! ลูกรักของฉันได้ที่หนึ่ง! โอ้ เขาคือแชมป์! เขาต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน! จอร์จคุณเห็นไหม?!”

จอร์จพูดอย่างมีความสุขว่า “แน่นอน ผมเห็นแล้ว ลูกชายของเราทำได้ดีมาก”

ต่อมาทีมของเชอร์ลี่ย์และลอว์เรนซ์จะทำการแข่งขันต่อ เขายื่นโทรศัพท์ให้ไวส์และไปให้กำลังใจทั้งสองคน

เชอร์ลี่ย์เป็นไม้แรก ซึ่งรับผิดชอบในการไป ลอว์เรนซ์ไม้สอง รับผิดชอบการกลับมา ทั้งสองตบมือไฮไฟว์กัน จากนั้นเรือฟักทองของลอว์เรนซ์ก็ลากออกมาถึงเส้นชัยหนึ่งร้อยเมตร

คนข้างๆ เขาถอนหายใจและพูดว่า “สองสาวนี้ต้องได้เป็นแชมป์แน่นอน หนึ่งในนั้นคือแชมป์และอีกคนคืออันดับสาม มาอยู่ทีมด้วยกันแล้วใครจะเทียบพวกเธอได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินสือโอวก็ถึงกับผงะและถามว่า “เชอร์ลี่ย์ เธอกับลอว์เรนซ์ใครเป็นแชมป์?”

เชอร์ลี่ย์สะบัดผมสีบลอนด์ใส่เขาและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ก็ต้องเป็นหนูสิคะ! หนูจะเป็นแชมป์สองสมัย!”

ฉินสือโอวโกรธเธอมากจนเขาพูดว่า “เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าเธอจะอยู่ที่ห้าถึงสิบ?”

“หนูหยอกคุณเล่น!” เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างสดใสและความสวยงามก็กลบกลุ่มเด็กวัยรุ่น

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท