ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1395 การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง

บทที่ 1395 การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง

เชอร์ลี่ย์พูดชมว่า “โอ้พระเจ้า คุณลุงซีมอนสเตอร์คุณวาดภาพได้สุดยอดมาก นี่คุณวาดมันเองใช่ไหมคะ? เรือรบที่เหมือนจริงขนาดนี้ ฉันยังคิดว่ามันเป็นของจริงเลย”

กอร์ดอนคุกเข่าลงแล้วลูบลายเส้นของเรือรบและพูดอย่างอิ่มอกอิ่มใจว่า “นี่ไม่ใช่ภาพวาด นี่เป็นลุงซีมอนสเตอร์ใช้มีดแกะสลัก เธอสัมผัสลายเส้นดูสิ มันหยาบเกินไปนะ! มันไม่ตายตัว! ไอโอวา ยิงถล่ม! ตูมๆๆ!!!”

ต่างคนต่างก็ของดูแลตัวเอง กอร์ดอนกอดฟักทองไว้แน่น

เชอร์ลี่ย์พูดอย่างอิจฉาว่า “ทำได้ดีมาก”

โลลิต้าแทบจะไม่ชื่นชมใคร เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น ซีมอนสเตอร์ก็ภาคภูมิใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาสางเคราที่ถักเป็นเปียน้อยๆ พร้อมกับหัวเราะชอบใจไปด้วย

จากนั้นทั้งสองก็ไปดูเรือฟักทองที่ชาร์คสร้างให้ลูกชาย ดูก็รู้ว่ามันชื่ออะไร ชาร์คในภาษาอังกฤษของชื่อเขาแปลว่าฉลาม เขาวาดฉลามอันดุร้ายที่ด้านนอกของฟักทอง

“โอ้พระเจ้า คุณลุงซีมอนสเตอร์คุณวาดภาพได้ยอดเยี่ยมมาก คุณวาดเองใช่ไหมคะ? ฉลามเหมือนจริงขนาดนี้ ฉันยังคิดว่ามันเป็นของจริงเลย” เชอร์ลี่ย์ยังคงชื่นชมไม่หยุด ฉินสือโอวจึงกลอกตาใส่ คำพูดนี้มันคุ้นๆ นะ?

แน่นอนว่าเขารู้ว่าทำไมโลลิต้าถึงชมเชยเมล็ดฟักทองของคนอื่นมากจนแทบจะขายหน้าเขาอยู่

ชาร์คน้อยหัวเราะแหะแหะแล้วพูดว่า “แน่นอน นี่คือฉลามเสือน่ากลัวไหม? พ่อบอกว่าฉลามเสือเป็นนักล่าที่เก่งกาจที่สุดในมหาสมุทร! เรือฟักทองของฉันคือฉลามเสือ ใครกล้ามาขวางฉันจะกลืนกินคนนั้น! อาวู…”

เมื่อเห็นชาร์คน้อยอ้าปากกว้างทำตามท่าทางการกินของกินฉลาม ฉินสือโอวจึงงับนิ้วและพูดว่า “ฉันต้องบอกความจริงนายอย่างหนึ่งนะ พ่อของนายคิดผิดแล้ว ฉลามเสือไม่ใช่นักล่าที่เก่งกาจที่สุดในมหาสมุทร เพราะยังมีหมึกยักษ์และหมึกโคลอสซัล!”

“นั่นก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น!” ชาร์คน้อยพูดด้วยความไม่เชื่อว่า “พ่อของผมพูดถูก”

ฉินสือโอวเริ่มเล่นเปิดสงครามทำให้หลานชายสับสน เขาเผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งจนยากที่คาดเดาพร้อมกับเอื้อมมือออกไปลูบหัวของชาร์คน้อยแล้วพูดว่า “เด็กโง่นี่น่ารักจริงๆ พ่อนายจะต้องภูมิใจในตัวนาย อืม ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ฉลามเสือเก่งกาจที่สุด”

ชาร์คน้อยขมวดคิ้วและมองไปที่ด้านหลังของเขา จากนั้นก็วิ่งไปหาชาร์ค “พ่อครับพ่อครับ พ่อโกหกผมเหรอ?”

ต่อไปคือเรือฟักทองของมิเชลที่วาดด้วยโลโก้เอ็นบีเอไว้ด้านนอกและยังมีบาสเกตบอลสองลูกอยู่ทางซ้ายและขวา ซึ่งดูแล้วโดดเด่นมาก

ฉินสือโอวถอนหายใจ เชอร์ลี่ย์ก็กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งตามที่คาดไว้ “โอ้พระเจ้า คุณลุงแบล็คไนฟ์คุณวาดภาพได้ยอดเยี่ยมมาก คุณวาดเองใช่ไหมคะ? เงาและลูกบาสเหมือนจริงขนาดนี้ ฉันยังคิดว่ามันเป็นของจริงเลย”

มิเชลพูดอย่างเจ็บใจว่า “ไม่เชอร์ลี่ย์ ฉันวาดภาพนี้เอง ขอบคุณสำหรับคำชม…”

ถึงคราวที่ฉินสือโอวจะออกตัว เขาตบไหล่ของมิเชลแล้วพูดว่า “เด็กๆ ทำได้ดี ทักษะการวาดภาพของนายไม่เลวเลย ก้าวหน้ากันมาก มา มาเรียนรู้การวาดด้วยการใช้มือซ้ายกัน นายต้องพัฒนามือทั้งสองข้างอย่างสมดุล”

หลังจากการเยี่ยมชมเสร็จ ฉินสือโอวก็แผ่มือออกให้เชอร์ลี่ย์และพูดว่า “ดูสิ มิเชลและคนอื่นๆ วาดภาพเองกันหมดเลย หรือไม่ก็ชอบอะไรก็วาดอันนั้นใช่ไหมล่ะ? วาดม้าตัวเล็กหนึ่งตัว? วาดเจ้าชายขี่ม้าขาวหนึ่งคน? เธอชอบอะไรก็สามารถวาดอันนั้นได้”

เชอร์ลี่ย์มองเขาด้วยความไม่พอใจและพูดว่า “คุณวาดภาพไม่เป็น ดังนั้นจึงทาสีน้ำเงินเข้มทับแค่หนึ่งชั้นก็จบแล้วใช่ไหมคะ? คุณหลอกหนู?”

ฉินสือโอวแบะปากและพูดว่า “ฉันวาดภาพไม่เป็น? เธออยากได้แผนที่มหาสมุทรนั่นเอง แล้วนั่นไม่ใช่แผนที่มหาสมุทรเหรอ?”

เชอร์ลี่ย์เดินจากไป สักพักก็หันหน้ากลับมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “ฉิน หนูต้องการวาดภาพคุณ จากนั้นก็จะบอกพี่วินนี่ว่าหนูจะส่งคุณไปแข่งขัน”

ฉินสือโอว “…”

การสร้างเรือฟักทองไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่งานที่เหลือจะต้องรอจนกว่าฟักทองสีและกาวจะแห้งสนิทถึงจะใช้ได้

ฉินสือโอวจึงต้องใช้โอกาสนี้ไปทำงานเกี่ยวกับพืชผลที่ไร่

พ่อฉินหาชุดยีนที่ไม่ได้ซักมาให้เขาและพูดว่า “แกดูสิว่าบ้านใครไม่เก็บเกี่ยวพืชผลในไร่จนเดือนพฤศจิกายนบ้าง? น่าขำจริงๆ แกไม่ได้ไปดูเลยว่าพืชผลในไร่เน่าเสียไหม?”

ตอนนั้นฉินสือโอวปลูกข้าวโพด ถั่วลิสง ข้าวฟ่างและถั่วต่างๆ ได้ยินมาว่าพวกเขาจะต้องเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายนและตุลาคม แต่เขาจะมีเวลามาจากไหน? เขาแค่โยนเมล็ดลงพื้นไปเท่านั้น

แต่เขายังป้อนพลังโพไซดอนให้กับพืชผลด้วย ดังนั้นแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นแค่ไหน แต่ใบของมันก็ยังคงเป็นสีเขียวและสามารถสังเคราะห์แสงอ่อนๆ ข้าวโพด ถั่วลิสงก็จะสุกแล้ว แต่จะยังคงรักษาความนุ่ม ข้าวโพดสีเหลืองทองที่พอเด็ดเมล็ดพืชแล้วยังสามารถผลิตน้ำได้อีกด้วย

ข้าวฟ่างจะไม่ค่อยดี ข้าวฟ่างสุกเร็วมาก ตอนนี้ใบของมันแห้งและรวงข้าวฟ่างก็เหี่ยวเฉาห้อยอยู่บนยอดและยังมีนกมาจิกอยู่เรื่อยๆ

แบล็คไนฟ์ที่เข้ามาจึงช่วยมองไปที่ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นที่บินกำลังจากไปและพูดอย่างหดหู่ว่า “ข้าวฟ่างพวกนี้ขุนนกจมูกหลอดหางสั้นจนอ้วน ที่แท้พวกมันก็ยังกินอาหารอยู่ ผมคิดว่าพวกมันกินแค่ปลา กุ้งและสาหร่ายทะเลซะอีก”

ฉินสือโอวส่งเสียงแสดงความไม่พอใจพร้อมกับดึงข้าวโพดไปด้วย จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดอย่างมีลับลมคมในกับแบล็คไนฟ์ว่า “เจ้านี่มันนุ่มจริงๆ พอเด็ดแล้วก็มีน้ำออกมาด้วย”

แบล็คไนฟ์ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “บอส คุณเปลี่ยนไปมากหลังจากที่แต่งงานแล้ว”

ชาร์คเดินเข้ามาแล้วพยักหน้าตามและพูดอย่างเห็นด้วยว่า “เปลี่ยนแปลงไปอย่างยิ่งใหญ่มากจริงๆ ตอนนี้เรื่องตลกลามกนี่ชำนาญจริงๆ”

ฉินสือโอวจังเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า “เฮ้ ชาร์ค นายไปที่เมืองและหารถเกี่ยวข้าวมา เราจะจัดการข้าวโพด ถั่วลิสงและถั่วอื่นๆ กัน”

ชาร์คยักไหล่และพูดว่า “ขอโทษนะบอส ผมไม่สามารถทำได้ คุณเป็นคนแรกในเมืองที่ปลูกสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้บอกเหรอว่าไม่มีใครปลูกมาก่อน แต่ทุกคนจะปลูกแค่ในสวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเก็บเกี่ยว”

“ทำไมถึงมีเครื่องจักรอย่างเครื่องมือไถนาและทำลายวัชพืชในเมืองล่ะ?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ

ชาร์คหัวเราะและพูดว่า “แน่นอนว่าบนเกาะมีพื้นที่การเกษตรมากมาย ทุกคนไม่ได้ปลูกข้าวโพดและถั่วลิสงเท่านั้น แต่ยังสามารถปลูกอย่างอื่นได้อีกด้วย”

ฉินสือโอวมองไปที่พื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่พร้อมกับถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องลงมือเองใช่ไหม? ถ้าฉันรู้เร็วกว่านี้จะไม่ปลูกมากมายขนาดนี้ ฉันยังคิดว่านายสามารถยืมรถเกี่ยวข้าวมาใช้ได้”

พ่อฉินถ่มน้ำลายลงในฝ่ามือและเช็ดมือไปมา จากนั้นก็ถือจอบแล้วพูดว่า “ทำเถอะ มันไม่เยอะเท่าไรหรอก เรามีกันตั้งหลายคนจะไม่เร็วได้อย่างไร?”

อันดับแรกคือการเก็บข้าวโพด ซึ่งฉินสือโอวคุ้นเคยเป็นอย่างดี คนข้างหน้าใช้มือดึงฝักข้าวโพดออกแล้วโยนไปไว้รวมกัน คนข้างหลังใช้จอบตัดก้านข้าวโพดและใช้เชือกมัดเข้าด้วยกัน เมื่อตอนอยู่ที่บ้านก็จะเผาทำเป็นอาหาร แต่อยู่ที่นี่ฉินสือโอวทำได้เพียงโยนทิ้งไปเท่านั้น

แบล็คไนฟ์ถือจอบอยู่ด้านหลังและตัดก้านข้าวโพดอย่างสบายๆ เขาตัดได้สักพักก็พูดว่า “เฮ้ มาร้องเพลงกันเป็นอย่างไรล่ะ?”

ฉินสือโอวหยิบกาต้มน้ำขึ้นมากำลังจะดื่มก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ มาร้องเพลงเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการเก็บเกี่ยวกันเถอะ”

แบล็คไนฟ์กระแอมและร้องเพลง “ลูกสาวตัวน้อยคนสวยมาเป็นเพื่อนกัน ปลอกข้าวโพดแล้วป้อนให้ชายรูปร่างสูงใหญ่กิน อร่อยที่สุดในสามโลก แบ่งข้าวโพดก็มาป้อนให้ชายรูปร่างสูงใหญ่กิน…”

ฉินสือโอวที่เพิ่งจะดื่มน้ำเข้าไป พอได้ฟังเพลงที่เขาร้องแล้ว ก็แทบจะสำลักน้ำออกมาทันที

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท