ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1380 บทลงโทษ

บทที่ 1380 บทลงโทษ

หลังจากวินนี่ดูวิดีโอจบ ก็โบกมือให้กอร์ดอนแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย ขอไอแพดให้ฉันหน่อยสิ”

กอร์ดอนบ่นพึมพำว่า “อย่าเพิ่งครับ พี่วินนี่ ผม…”

“ฮะ?” วินนี่ยิ้มพร้อมกับมองไปที่เขา ที่กำลังดูมีความสุขมาก

กอร์ดอนรีบกระโดดขึ้นทันทีและปิดเกมในไอแพดแล้วส่งให้เธอด้วยความเคารพพร้อมกับส่งยิ้มให้ แล้วพูดว่า “แหะแหะ ไม่มีอะไรครับพี่วินนี่ เมื่อกี้ผมแค่แกล้งพี่เท่านั้นเอง”

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อครู่นี้กอร์ดอนดูเหมือนกับเสี่ยวไท่เจียนในเก้าประตูเมือง

วินนี่ใช้นิ้วกดไปที่แอปสีขาวในไอแพด จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “นายเล่นเกมอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นการเข่นฆ่าหรือความรุนแรงนะ ฉันจะถอนการติดตั้งออกให้หมดเลย”

ทันทีที่เธอพูดจบ กอร์ดอนก็แทบจะกรีดร้องออกมา เขามองไปที่วินนี่เหมือนกับลูกหมาที่ถูกรังแกแล้วพูดขอร้องอ้อนวอนว่า “อย่าเลยนะพี่วินนี่ ผมโตจนจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว นอกจากนี้เกมนี้ เดิมทีได้รับการพัฒนามาสำหรับนักเรียนมัธยมต้นด้วย อย่าถอนการติดตั้งออกเลยได้ไหม?”

วินนี่ยิ้มอ่อนแล้วพูดว่า “ดูเหมือนนายจะกลัวนะ ฉันแค่แกล้งนายเอง”

กอร์ดอนปาดเหงื่อบนหน้าผากและพูดด้วยอย่างโล่งใจว่า “พี่วินนี่พี่นี่ซนจริงๆ ฉินแต่งงานกับพี่แล้วนะ…เป็นโชคของเขาจริงๆ!”

สายตาของวินนี่ที่จับจ้องไปที่เขาก็อ่อนโยนลงทันที

กอร์ดอนตัดสินใจที่จะออกห่างจากสถานที่แห่งความถูกและผิดแห่งนี้ เขาผายมือให้ฉินสือโอวแล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับเดินจากไป

วินนี่เปิดโน้ตแพดในไอแพดและส่งให้ฉินสือโอว แล้วพูดว่า “มาที่รัก มาเขียนเรื่องราวทั้งหมดระหว่างคุณกับรุ่นพี่เซี่ยของคุณลงไป ฉันจะได้รู้ประวัติความสัมพันธ์ของคุณด้วย”

ไวส์ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันทีและถามว่า “อาจารย์มีพี่สาวด้วยเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมก็มีพี่สาวได้ใช่ไหม?”

วินนี่พูดอย่างไม่สนใจว่า “ไวส์ เวลาแห่งความสนุกยามเย็นได้จบลงแล้ว นายควรไปเรียนได้แล้วนะ”

ไวส์มองดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์แล้วพูดว่า “ไม่นะครับพี่วินนี่ นี่เพิ่งจะทุ่มครึ่งเอง อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะหมดเวลาแห่งความสนุก”

วินนี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้รีโมทคอนโทรลปรับเวลาของนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ให้ตรงกับสองทุ่มตรง จากนั้นเธอก็มองไปที่ไวส์และพูดว่า “นี่ไงถึงเวลาแล้วนะ?”

ไวส์อ้าปากค้างพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มิเชลกลับลากเขาออกไปและกระซิบว่า “นี่นายโง่หรือเปล่า? รีบวิ่งเลย กำลังจะเกิดสงครามขึ้นที่นี่!”

วินนี่ก็มองไปที่พาวลิส ซึ่งกำลังรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

วินนี่พยักหน้าและตอนนี้ก็เหลือเชอร์ลี่ย์เพียงคนเดียว โลลิต้าโผล่หน้ายิ้มแย้มน่ารักออกมาและพูดว่า “พี่วินนี่ อย่าเพิ่งรีบไล่หนูนะคะ โอเคไหม? หนูอยากเรียนรู้วิธีจัดการผู้ชายจากพี่ พี่คือไอดอลของหนู”

คำพูดนี้ทำให้วินนี่สบายใจมาก แต่ฉินสือโอวไม่พอใจ จึงร้องตะโกนว่า “สองทุ่มแล้วยังไม่กลับบ้านอีก? เงินค่าขนมของสัปดาห์หน้าไม่อยากได้แล้วใช่ไหม?”

เชอร์ลี่ย์ยืนขึ้นพร้อมกับทำปากมุ่ย ในขณะที่เธอเดินผ่าน เธอจึงเหยียบนิ้วเท้าของฉินสือโอวและพึมพำว่า “โฮะๆๆ คุณก็ร้องตวาดได้นี่นา คุณก็ตวาดใส่ภรรยาคุณสิ? ทำไมคุณต้องกลัวขนาดนี้ ทำไมไม่ทำให้ภรรยาของคุณกลัวบ้างล่ะ?”

เมื่อพวกเด็กๆ ออกไป วินนี่จึงยื่นไอแพดให้เขาและพูดว่า “ที่รัก ฉันคิดว่าคุณรู้ว่าคุณเป็นรักแรกของฉันและยังเป็นสามีของฉันด้วย แล้วคุณล่ะ?”

ตอนที่ฉินสือโอวเรียนมหาวิทยาลัยเขาเคยมีแฟน แต่ทั้งสองก็จบกันด้วยดีและไม่มีอะไรต่อกันแล้ว แต่เรื่องนี้มีน้อยคนมากที่จะรู้ เหมาเหว่ยหลงก็เหมือนจะไม่ได้รู้อะไรมาก ดังนั้นวินนี่จะรู้ได้อย่างไร?

แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไร เขาจึงเล่าให้วินนี่ฟัง เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งได้พบกันที่ห้องสมุดและได้ทำความรู้จักกันในห้องเรียนจนพวกเขากลายเป็นแฟนกัน แต่พอคบกันได้สักพักหนึ่ง ก็พบว่าระหว่างพวกเขาไม่เหมาะสมกันเลย สุดท้ายก็เลิกกันไป

หลังจากได้ยินเรื่องราวของเขา วินนี่ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาพร้อมกับโอบแขนของเขาแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ของคุณก็คงผ่านมาเยอะเลยสิ ผู้หญิงคนนี้ชื่อหยางหมิ่นเหรอ? แล้วเซี่ยจือหลินล่ะ?”

ฉินสือโอวพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “เซี่ยจือหลินเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งของพวกเรา เธออายุมากกว่าเราสองปี ระหว่างผมกับเธอไม่ได้มีอะไรเลยนะ เราแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยด้วยซ้ำ”

วินนี่เปิดวิดีโอในโทรศัพท์ เธอยิ้มและพูดว่า “ดูสิ ปากแข็งจริงๆ เลยนะ”

ฉินสือโอวคว้าโทรศัพท์มาและเริ่มดู วิดีโอที่ถ่ายอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างมืดสลัว ตอนแรกมีเสียงดังและมีเสียงขวดเหล้าชนกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นมีคนตะโกน ‘เฮ้’ และเริ่มถามกันเสียงดังว่า

“ฉินสือโอว จำรุ่นพี่เซี่ยจือหลินได้ไหม?”

“อืม จำได้สิ รุ่นพี่เซี่ย ฉันจำได้แน่นอน” ฉินสือโอวถึงกับผงะ แม้ว่าเสียงนั้นจะคลุมเครือมาก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่านั่นเป็นเสียงของเขาเอง แต่ทำไมถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยพูดแบบนั้นออกไป?

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา วินนี่ก็ยิ้มหวานมากขึ้นกว่าเดิม

“ฉันได้ยินมาว่าคุณเคยแอบชอบรุ่นพี่เซี่ย? ใช่ไหม? คุณเคยทำเรื่องบ้าๆ อะไรกับรุ่นพี่เซี่ย? ฉันได้ยินมาว่าโคโกโร่เคยจูบเธอด้วย”

“เรื่องไร้สาระน่ะ แอบรักอะไรกัน? รุ่นพี่เซี่ยกับผมเป็นความรักที่บริสุทธิ์! แล้วอีกอย่างใครบอกคุณว่าโคโกโร่เคยจูบเธอ? จูบในความฝันล่ะสิไม่ว่า? ผมเป็นคนรักของเธอ! จูบแรกของเธอก็คือผมเอง ฮ่าฮ่า…”

วินนี่รับโทรศัพท์พร้อมกับยักไหล่ใส่ฉินสือโอวและแสดงความอ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำออกมา “คุณก็รู้ที่รัก ฉันทุ่มเทให้กับคุณมาก ฉันรักคุณมาก ดังนั้นคุณสารภาพตรงๆ เถอะ ยังมีเรื่องอะไรแบบนี้อีกไหม?”

ฉินสือโอวพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ดูออกว่ามันคือที่ไหน โทรศัพท์ถ่ายในที่สถานที่ที่มืดสลัวและสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย ดังนั้นเขาจึงเพิ่งแยกออกว่าที่นี่คือบาร์ เป็นบาร์ที่จัดปาร์ตี้สละโสดของเขา

คืนนั้นเขาถูกแบรนดอนมอมเหล้า พอเริ่มเมาแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้เขาพูดออกมาหลังจากเมาแล้ว!

จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขาไปตั้งแคมป์บนภูเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซ่งจวินเหมยก็เคยพูดถึงเซี่ยจือหลิน ตอนนั้นเฉินเหลยบอกว่ามีอะไรจะโชว์ให้เขาดู แต่เขาก็ถูกเหมาเหว่ยหลงขวางไว้ ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รู้สึกว่ามีคนไม่หวังดีต้องการจะเอาคืนเขา

แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ? พวกคนไม่หวังดีพวกนี้ก็วางแผนใส่ร้ายเขาจริงๆ!

ฉินสือโอวอธิบายไปพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น สายตาของวินนี่จึงมองไปที่เขา “คุณกำลังจะบอกว่าคุณกำลังพูดโอ้อวดอยู่เหรอ?”

“ดื่มจนเมา คงไม่ได้แค่โอ้อวดเท่านั้น แต่พูดไร้สาระด้วย!” ฉินสือโอวพูดอย่างน้อยใจ

วินนี่มองไปที่เขา จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ ฉันเชื่อคุณ จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญเลยว่าคุณจะเคยรักใคร เพราะถึงอย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่คุณรู้จักกับฉันมา คุณก็ยังคงทำตัวดีมาเสมอ”

ฉินสือโอวยิ้มแห้ง แต่ท่าทางที่คุณทำเมื่อกี้ไม่เหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรนะ

วินนี่จึงนวดหน้าเขาเหมือนนวดแป้งแล้วพูดว่า “ความจริงฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อกี้ตอนที่คุณกำลังพูดในวิดีโอ ฉันเห็นคุณชูนิ้วกลางใส่พวกเขาแบบไม่พอใจ”

ฉินสือโอวจ้องไปที่ความน่าเกรงขามของหัวหน้าครอบครัว “แล้วทำไมยังหึงอีกล่ะ?”

“ฉันไม่ได้หึง ฉันแค่จะทำให้คุณกลัวเท่านั้นเอง นี่คือการลงโทษ เข้าใจไหมคะ?” วินนี่กล่าว

ฉินสือโอวพ่ายแพ้ให้ผู้หญิงคนนี้ทันที “ผมทำอะไรผิด คุณถึงกับต้องลงโทษผม?”

“เด็กๆ อยู่ที่นี่ คุณชูนิ้วกลางขึ้นไม่พอ ยังพูดคำหยาบอีก นี่ไม่ได้ทำผิดเหรอคะ?” วินนี่กล่าว

ฉินสือโอวมองเธอด้วยความงุนงง วินนี่จึงยิ้มทันทีพร้อมกับมองเขาอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “แต่ฉันก็ทำเกินไปนิดหน่อย ฉันก็ผิดด้วยเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณจะลงโทษฉันอย่างไรดีล่ะ?”

ฉินสือโอว “…”

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท