ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1406 ซ่อมแซมบ่อน้ำพุร้อน

บทที่ 1406 ซ่อมแซมบ่อน้ำพุร้อน

วินนี่เป็นนายกเทศมนตรี เมื่อหาตัวคนร้ายที่เป็นคนวางยาในเปลือกหอยเจอแล้ว โรเบิร์ตต้องรีบมารายงานเธอทันทีเป็นเรื่องธรรมดา

สำหรับนายกเทศมนตรีแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ครั้งแรกเนื่องจากพบเจอพิษในเปลือกหอย น่านน้ำของเมืองแห่งนี้จึงถูกปิดไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมาก เพื่อที่จะชดเชยให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเมืองในช่วงเวลานั้น เมืองแห่งนี้จำเป็นที่จะต้องใช้เงินไปจำนวนไม่น้อย

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับฉินสือโอว แต่เขาก็ยังคงมีส่วนร่วมในการสืบสวนคดีนี้ เมื่ออ้างอิงจากกฎหมายแล้ว คาร์เตอร์ไม่มีเหตุจูงใจอะไรที่จะต้องวางยา เพราะว่าระหว่างเขากับเมืองแฟร์เวลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกัน

ฉินสือโอวบอกกับโรเบิร์ตว่า เรื่องนี้ไม่สามารถเป็นเรื่องที่คาร์เตอร์จะวางแผนได้เอง ผู้ร่วมขบวนการกับเขาต้องหนีไม่พ้นตระกูลมอร์รี่แน่นอน อีกอย่างเขารู้สึกว่าคาร์เตอร์อาจจะไม่ได้เล็งเป้าหมายไว้ที่เมืองแฟร์เวล แต่เล็งมาที่ฟาร์มปลา เพียงแค่ว่าวินนี่ที่เป็นนายกเทศมนตรีเป็นภรรยาของเจ้าของฟาร์มปลา เมืองนี้ช่างโชคร้ายเสียเหลือเกิน

เพราะว่าพลังทำลายล้างของเปลือกหอยพิษ เรื่องนี้ไม่สามารถถูกจัดการได้โดยตำรวจจากสถานีตำรวจในชนบท การรายงานเหตุการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว กรมตำรวจมหานครเซนต์จอห์นได้จัดตั้งทีมสอบสวนขึ้นมา เพื่อตรวจสำนวนและตัดสินคดีนี้

สองวันถัดมา วินนี่ก็บอกกับฉินสือโอวว่า ทีมงานสอบสวนได้ใช้กลยุทธ์สอบสวนทีละคน คนแรกคือการเปิดปากชายหนุ่มชาวประมงที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็สอบสวนชาวประมงคนอื่นๆ พวกเขาได้หลักฐานมา เดิมทีที่พวกเขามาที่ฟาร์มปลา พวกเขาเพียงแค่แวะเข้ามาปล่อยหอยพิษพวกนั้นเท่านั้น

เป็นอย่างที่ฉินสือโอวคาดการณ์ไว้ หลังจากที่พวกเขานำหอยพิษทั้งสองตัวมาปล่อยไว้ในทะเล หลังจากนั้นก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา ทำให้เรือสำราญโคลงเคลงไปมาอย่างรุนแรง ทำให้ชาวประมงหนุ่มที่มีหน้าที่ปล่อยหอยพิษนั้นลื่นล้มลงกับพื้น หอยพิษที่อยู่ในมือหล่นใส่ใบหน้า ทำให้เขาได้รับพิษ

ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าเธอวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร วินนี่บอกว่าเมืองแฟร์เวลจะฟ้องไปยังคาร์เตอร์ การกระทำของพวกเขาถือว่าเข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญา คาร์เตอร์จะต้องเข้าคุก แน่นอนว่าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับเมืองแฟร์เวลด้วย แต่หลังจากที่ชาวเมืองได้รับเงินชดเชยแล้ว เพราะว่าตอนแรกเป็นเขาและคนอีกจำนวนหนึ่งได้ลงไปยังทะเลเพื่อเก็บหอยพิษพวกนั้น ดังนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัล

นี่ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับ ฉินสือโอวหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เท่าไหร่

หลังจากที่จับคาร์เตอร์และคนร้ายที่เหลืออีกจำนวนหนึ่งได้ หิมะที่ตกหนักก็หยุดลง ฟาร์มปลาต้าฉินได้กลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็ง เมื่อมองออกไปไกลจากประตูบ้าน ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีเงินปกคลุมไปทั่วเมือง

พวกเด็กๆ มีความสุขกันมาก รถเลื่อนของกอร์ดอนพลิกคว่ำไปมา แต่ว่าไม่ได้ใช้มาหนึ่งปีมันเลยพังได้ง่าย พวกเขาต้องเรียกซีมอนสเตอร์ให้มาช่วยซ่อมแซม พาวลิสพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องแล้วล่ะ พี่น้อง ยกให้ฉันเถอะ ฉันจัดการเอง”

เด็กๆ ในแคนาดารู้จักเครื่องกลและเครื่องมือตั้งแต่เล็กๆ ฉินสือโอวเคยเห็นพวกเด็กที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ถือประแจ และไขควงอะไรพวกนั้นมาซ่อมรถจักรยาน และ เก้าอี้เล็กๆ ด้วยตัวเอง

พาวลิสนำพวกเด็กๆ ขึ้นมาบนรถเลื่อน จากนั้นก็เกิดเสียง ‘ปังๆๆๆ’ ดังขึ้นตามมา หลังจากนั้นรถเลื่อนที่ได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แล้วก็ปรากฏขึ้น ฉินสือโอวลองจับดูแล้วค่อนข้างแข็งแรง เขาจึงหันไปชมความสามารถของพาวลิส เขาตบไหล่พาวลิสแล้วพูดว่า “นายควรเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือรถบ้างนะ พอผ่านฤดูไป ฉันจะสอนนายขับรถดีไหม?”

นี่เป็นเอกลักษณ์ของลูกครึ่งอเมริกันแคนาดา อายุแค่สิบกว่าปีก็สามารถขับรถได้แล้ว เมื่ออายุครบสิบหกปีก็สามารถทำใบขับขี่ได้ เมื่อได้รับใบขับขี่ก็สามารถขับรถบนถนนได้ จากนั้นก็จะเริ่มหลงใหลไปกับท้องฟ้าและทะเล

เรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับพาวลิสเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว พาวลิสก็ชูกำปั้นขึ้นอย่างตื่นเต้น แล้วพูดออกมาว่า “ผมแทบจะอดใจรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวแล้วล่ะ!”

ฉินสือโอวนำเจ็ทสกีน้ำแข็งออกมา ของเล่นชิ้นนี้ได้รับการเก็บอย่างดีในกล่อง เขานำมันมาให้พาวลิส พลางพูดขึ้นว่า “นายไม่ต้องรอถึงวันนั้นหรอก ตอนนี้นายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถใช้รถคันนี้ได้แล้ว”

รูปร่างของเจ็ทสกีน้ำแข็งดูล้ำยุค สำหรับเหล่าวัยรุ่นเจ็ทสกีน้ำแข็งคันนี้ล่อตาล่อใจกว่ารถเลื่อนธรรมดา

กอร์ดอน มิเชลต่างกันร้องเรียกอยากจะขี่เจ็ทสกีน้ำแข็งกันเสียงดัง ฉินสือโอวปฏิเสธอย่างจริงจัง พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมเหมือนกับพาวลิส อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ความเร็วของเจ็ทสกีนี้สามารถเคลื่อนที่ไปได้เร็วมาก นอกจากนี้ยังขาดอุปกรณ์ป้องกันตัวอีกต่างหาก หากเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องเสียใจแน่นอน

หลังจากที่ให้เจ็ทสกีน้ำแข็งแก่พาวลิสแล้ว ฉินสือโอวก็มองเข้าไปในตาของเขาแล้วพูดออกมาว่า “เพื่อน นายสามารถขับมันได้ แต่ว่าต้องไม่ให้คนอื่นขี่อย่างเด็ดขาด เด็ดขาดเลยนะ นอกจากว่าพวกเขาจะอายุถึงสิบหกแล้วเท่านั้น เข้าใจไหม?”

กอร์ดอนทำเสียงครวญครางออกมา ฉินสือโอวกลัวว่าพวกเขาจะไม่ซื่อสัตย์ จึงชี้นิ้วไปทีละคนแล้วพูดออกมาว่า “ถ้าหากไม่เชื่อฟัง พวกนายทุกคน จะไม่ได้เงินค่าขนมทั้งฤดูหนาวนี้เลย! จะไม่ได้ออกไปไหนทั้งฤดูหนาวนี้ด้วย และจะต้องตั้งใจเรียนหนังสือในบ้านอย่างจริงจัง เข้าใจไหม?”

“เข้าใจครับ!” เหล่าเด็กๆ พากันขานรับครับอย่างขมขื่น

เชอร์ลี่ย์นั้นมีความบริสุทธิ์ใจ เพราะเธอไม่ได้สนใจเจ็ทสกีน้ำแข็ง ตอนนี้ทุกวันในช่วงเช้าตรู่เธอจะต้องคอยมาดูแลทำความสะอาดม้าทั้งสองตัว หลังจากที่เลิกเรียนแล้วก็ต้องพาพวกมันออกไปเดินเล่น

ม้าพันธุ์อเมริกันเพนต์โตไวมาก เช่นว่าตอนนี้มันสามารถวิ่งไปพร้อมกับเชอร์ลี่ย์ได้แล้ว

เมื่อพวกเด็กๆ ลากเจ็ทสกีออกไป วิลก็พาเหล่าคนงานก่อสร้างมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวเข้าไปสวมกอดวิลแล้วพูดขึ้นว่า “ผมบอกได้เลยว่าพวกคุณนี่เป็นคนที่ตรงต่อเวลาจริงๆ อันที่จริงคุณไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้”

วิลยิ้มออกมาจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ พลางพูดออกมาว่า “ผมต้องรักษาสัญญา ผมบอกว่าหลังจากที่หิมะหยุดตกแล้วจะมาช่วยคุณซ่อมบ่อน้ำพุร้อน ตอนนี้หิมะหยุดแล้ว ผมก็ต้องมาที่นี่อยู่แล้ว”

ฉินสือโอวเชิญให้เขาเข้าไปดื่มชาก่อนสองสามถ้วย หลังจากนั้นจึงเริ่มคุยกันถึงเรื่องการซ่อมแซมบ่อน้ำพุร้อน

วิลพูดออกมาว่า “ตอนนี้กระจกกันฝ้าที่ใช้กันทั่วไปมีอยู่สามประเภท กระจกเคลือบเงากันฝ้า กระจกกันฝ้าด้วยความร้อนจากไฟฟ้าและกระจกกันฝ้านาโนคอมโพสิต นี่เป็นหนังสือแนะนำสินค้าและราคา คุณดูก่อนได้”

ฉินสือโอวเปิดหนังสือแนะนำผลิตภัณฑ์ ในขณะที่เขากำลังดูอยู่ วิลก็แนะนำเขาว่า “ตอนนี้ที่คนนิยมใช้กันมากที่สุดคือกระจกเคลือบกันฝ้า ของสิ่งนี้ป้องกันการเกิดฝ้าโดยการเคลือบสารไมโครโพส”

“คุณอยากรู้หลักการของมันไหม? มันง่ายมากเลย การเคลือบกันฝ้านี้อุดมไปด้วยวัสดุนำไฟฟ้าอย่างไอทีโอและซิลิคอนออกไซด์ พวกมันจะสร้างสารที่ป้องกันไฟฟ้าสถิตและน้ำ ผลของมันคือสามารถป้องกันการเปรอะเปื้อน ฝ้า และไฟฟ้าสถิตได้อย่างดีเยี่ยม”

ฉินสือโอวมองไปยังกระจกกันฝ้าชนิดที่สอง วิลจึงพูดแนะนำว่า “ฝ้า กระจกกันฝ้าด้วยความร้อนจากไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ มันเพิ่มความชื้นให้สูงขึ้นจากเครื่องทำความร้อนไฟฟ้า ฝ้าจะหายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถเกิดเป็นหมอกขึ้นมาได้ กระจกนี้ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ว่าข้อดีของมันคือเมื่อไหร่ที่คุณต้องการให้หมอกหายไปคุณก็แค่เปิดไฟฟ้าก็เท่านั้น กระจกนี้สามารถควบคุมได้”

“เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้คือกระจกกันฝ้านาโนคอมโพสิต ได้ยินชื่อของมันก็รู้แล้ว มีตรงไหนที่ได้ยินแล้วไม่เข้าใจถึงความชัดเจนนั้นบ้างล่ะ?” วิลพูดพลางหัวเราะออกมา

ฉินสือโอวพลิกหนังสือแนะนำผลิตภัณฑ์ไปมา “ดูเหมือนว่าตอนนี้อะไรก็มีนาโนคอมโพสิตเข้ามาเกี่ยวข้องไปหมด งั้นต่อไปโลกของเราคงต้องเปลี่ยนเป็นโลกแห่งนาโนแล้วล่ะ ใช่ไหม?”

คนงานคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะนะครับ คุณฉิน แต่ผมขอพูดหน่อย โลกนาโนได้มีอยู่แล้ว ชื่อเต็มๆของมันคือ นาโนเฟียร์ที่เกิดจากการก่อตัวขึ้นเองของอะตอม เป็นน้ำมันหล่อลื่นชนิดหนึ่งที่เป็นของแข็ง สามารถใช้กับเครื่องยนต์ได้”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดออกมาว่า “ว้าว ตอนนี้เทคโนโลยีช่างก้าวหน้าไปมากเสียจริง ผมตามหลังพวกคุณไม่ทันแล้ว เรื่องนี้มันยากแหะ”

วิลพูดออกมาว่า “ไม่หรอก มีเงินอยู่จำนวนมากมายอยู่ในมือของคุณ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปขนาดนั้น คุณก็ไม่ล้าหลังหรอก“

“พูดอีกก็ถูกอีก” ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเช่นกัน

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท