ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1402 บ่อน้ำร้อนในวันที่หิมะโปรยปราย

บทที่ 1402 บ่อน้ำร้อนในวันที่หิมะโปรยปราย

เมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่ฉินสือโอวแต่งงาน แมทธิว จินเคยพูดกับเขาว่าจะวางแผนสร้างพันธมิตรด้านการประมงรอบๆ ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ เพื่อรวมการประมงของแคนาดาตะวันออก เพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกและอำนวยความสะดวกในการจัดส่งแบบครบวงจร

ฉินสือโอวไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก ตามความคิดของเขาแล้ว เขาต้องการทำในส่วนของตัวเองให้ดีก็พอ ทำไมตอนแรกถึงมาที่เกาะแฟร์เวล? ก็แค่อยากใช้ชีวิตสบายๆ ในฐานะเจ้าของฟาร์มปลาไม่มีอะไรทำก็ตกปลา นอนเล่น ดูแลพ่อแม่ เลี้ยงลูกและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับวินนี่

ตอนนี้วินนี่ก็ได้เป็นนายกเทศมนตรีแล้ว ฉินสือโอวเองก็ไม่อยากตกอยู่ในสังคมขององค์กรราชการอีก ดังนั้นทั้งคู่จึงยุ่ง แม้แต่เวลาว่างเวลาอิสระก็ยังไม่มี

ดังนั้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ฉินสือโอวจึงไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับการดำเนินงานของกรมประมงและต้องการลดอิทธิพลของตัวเองลงให้ได้มากที่สุด

ถ้าตอนนี้มีบุคคลอื่นแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งประธานพันธมิตรกรมประมง เขาก็ยินดีต้อนรับ ยกเว้นคาร์เตอร์

ไม่รู้ว่าทำไมฉินสือโอวที่ใจดีกับคนอื่นถึงรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นคาร์เตอร์ครั้งแรก นี่สามารถอธิบายได้ด้วยสายตาเท่านั้น มีบางคนเช่นชาร์คและซีมอนสเตอร์ที่เติบโตมาอย่างกำยำ หน้าตาดุร้าย พวกเขาอาจถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในต่างประเทศได้ แต่เขากลับรู้สึกดีและคิดว่าคนเหล่านี้สามารถคบหาได้

คาร์เตอร์มักจะยิ้มตาหยี หน้าตาหล่อดูดีในหมู่คนผิวขาว แต่ฉินสือโอวกลับไม่ชอบเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างทั้งสองเริ่มต้นจากการประมูลของกรมประมง และคาร์เตอร์ยังเป็นคนเลือกเอง แล้วจะให้ฉินสือโอวช่วยเขาได้อย่างไร?

ดังนั้น ฉินสือโอวจึงส่ายหัวและปฏิเสธว่า “ขอโทษครับคุณคาร์เตอร์ คุณก็รู้ว่าผมเป็นแค่คนจีนอพยพมา ผู้คนไม่ให้ความสำคัญกับผมหรอกใช่ไหม? เรื่องแบบนี้ผมไม่มีน้ำหนักอะไรมากอยู่แล้วและอาจช่วยอะไรคุณไม่ได้ด้วย”

คาร์เตอร์หัวเราะเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นและพูดว่า “ฉิน คุณนี่ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว ตอนนี้คุณเป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดในการประมงนิวฟันด์แลนด์ ถ้าคุณไม่สำคัญจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ”

ฉินสือโอวจ้องที่เขาและไม่คิดว่าเขาจะพูดเล่น แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนพูดเสียดสี

บางทีนี่อาจจะเป็นอคติ แต่ฉินสือโอวไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร เขาแค่ไม่ชอบคาร์เตอร์

คาร์เตอร์ยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ฉิน ผมคิดว่าผมเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งนี้ ผมมีทรัพยากร มีคอนเนคชั่นและประสบการณ์ ดังนั้นผมจึงเหมาะสมกว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ? แน่นอนว่าคุณก็เหมาะสมมากเช่นกัน แต่ผมคิดว่าถ้าเราได้ร่วมมือกันคงจะดีที่สุด”

ฉินสือโอวยังคงจ้องมองเขาอย่างต่อเนื่อง ชายคนนี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อท้าทายหรอกเหรอ?

คาร์เตอร์ยังแนะนำฟาร์มปลาและความสามารถของเขาและยังบอกเป็นนัยๆ ว่า “ฉิน ถ้าคุณสนับสนุนผมให้เป็นประธานคณะกรรมการ ผมคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นรองประธานกรรมการได้เท่าคุณแล้ว บางทีถ้าไม่มีผม คุณก็สามารถเป็นรองประธานกรรมการได้ แต่ด้วยการสนับสนุนของผม คุณก็สนับสนุนผมด้วย มันก็ดีต่อทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเห็นฉินสือโอวไม่พูดอะไร เขาก็คิดว่าฉินสือโอวกำลังสนใจอยู่ จึงพูดกระตุ้นต่อไม่หยุด “ตามข้อมูลที่ผมได้สอบถามมา ครั้งนี้กรมประมงมาจริงและพันธมิตรนี้จะเป็นองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรมประมงของแคนาดา”

“ตอนนี้กรมประมงต้องการเลือกบุคคลจากภายในเป็นมาเป็นประธาน แต่เราไม่สามารถให้บุคคลภายนอกมาเป็นผู้นำเราได้ ไม่ใช่เหรอ? สำหรับกลุ่มพันธมิตรการประมง ก็ควรจะเป็นเจ้าของฟาร์มปลาเป็นผู้นำใช่ไหม? ถ้าคุณ ผมและเจ้าของฟาร์มปลาคนอื่นๆ รวมตัวกัน ผมคิดว่าเราสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้”

ฉินสือโอวลูบคางไปมา เขาเหมือนจะเข้าใจว่าคาร์เตอร์คงจะมาเพื่อท้าทาย และไม่ได้มาเพื่อพูดโอ้อวด ชายคนนี้คิดว่าเขาเกือบจะรับตำแหน่งประธานนี้ได้จริงๆ และเขาก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นคู่แข่ง ในข่าวของเขาคือกรมประมงได้ที่ส่งคนมาเป็นประธานคณะกรรมการเองและต้องการการสนับสนุนจากเขาเพื่อต่อต้านกับกรมประมง

ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ฉินสือโอวมักจะได้ยินบ่อยๆ กรมประมงจะส่งคนมาเป็นหัวหน้าเองจะไม่ดีกว่าเหรอ? ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เขาทำและก็ไม่ใช่คาร์เตอร์ทำ มันเป็นเรื่องที่ดีต่อทั้งคู่!

เมื่อเข้าใจหลักการนี้ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ฉินสือโอวจะสนับสนุนคาร์เตอร์ เขาไม่ปฏิเสธอย่างสุภาพอีกต่อไปและพูดความจริงไปตามตรงว่า “ขอโทษจริงๆ คาร์เตอร์ ผมคิดว่าไม่สามารถสนับสนุนคุณได้ ผมชื่นชอบคุณมาก แต่ผมไม่สามารถต้านทานการตัดสินใจของกรมประมงได้”

หลังจากที่เขาพูดจบ กล้ามเนื้อแก้มของคาร์เตอร์ก็กระตุกขึ้น ฉินสือโอวสังเกตเห็นแววตาดูถูกในดวงตาของผู้ชายคนนี้ ซึ่งนี่ทำให้เขาโกรธอยู่ในใจและยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสนับสนุนคาร์เตอร์

แต่เขาไม่ได้ไล่คาร์เตอร์ออกไปตรงๆ ถึงอย่างไรครั้งก่อนก็ได้ส่งลูกปลามาให้ คาร์เตอร์ยังเลี้ยงข้าวและนอกจากนี้ยังเคยให้เขาพักผ่อนในพื้นที่ของเขาเองในขณะที่ฝนตกหนักอีกด้วย

บังเอิญที่ตอนนี้หิมะตกหนัก ฉินสือโอวจึงทำเช่นเดียวกัน เขาเชิญคาร์เตอร์และชาวประมงของเขาเข้ามาพักและจัดให้นีลเซ็นมาต้อนรับ จากนั้นก็กลับไปอยู่กับลูกสาว

เขายอมที่จะเผชิญหน้ากับพวกตัวเล็กอย่างหู่เป้าฉงหลัว ดีกว่าไปเผชิญหน้ากับคาร์เตอร์

หลังจากหิมะตกอุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็ว คราวนี้ไม่จำเป็นต้องย้ายมาสเตอร์เข้าบ้าน เพราะเต่าอัลลิเกเตอร์สามารถอยู่ในบ่อน้ำร้อนได้

เต่าอัลลิเกเตอร์มีความอดทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี อุณหภูมิของน้ำสามสิบถึงสี่สิบองศาเซลเซียสไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมันและมันจะไม่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ส่วนมากมักจะนอนอยู่บนขอบสระ

ฉินสือโอวพาหู่เป้าฉงหลัวมาป้อนอาหารมาสเตอร์ แต่มาสเตอร์หิวไม่ได้ เพราะมีปลาโครงกระดูกอยู่ในบ่อน้ำร้อน ถ้ามาสเตอร์หิว ฉินสือโอวก็กล้ารับประกันว่าเจ้าเต่าตัวนี้จะไปจับปลามากิน

ไม่เพียงแต่มาสเตอร์เท่านั้น แต่หู่เป้าฉงหลัวก็ให้ความสนใจกับปลาโครงกระดูกเป็นอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะฉงต้า นอนอยู่บนสระพร้อมกับกะพริบตาเล็กๆ มองลงไปข้างล่างและยังยื่นอุ้งเท้าอ้วนลงไปในน้ำ เหมือนจะวางแผนหลอกล่อเพื่อจับปลาน้อยมากิน

ฉินสือโอวรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ เขาต้องบอกให้เจ้าเด็กพวกนี้รู้ว่าอะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสตอนที่ฉงต้ากำลังนั่งยองๆ ในสระและกำลังมองลงไปในน้ำ พุ่งเข้าใส่จากด้านหลังและส่ง ฉงต้าลงไป

ฉงต้าส่งเสียงร้องคร่ำครวญและสำลักน้ำเข้าไปเต็มปาก จากนั้นก็หันกลับมามองฉินสือโอวอย่างไม่พอใจ

ฉินสือโอวจึงเปลี่ยนเป็นกางเกงชายหาดและกระโดดลงไปในน้ำ เขากอดฉงต้าและจูบมันพร้อมกับชี้ไปที่ปลาตัวเล็กในสระให้พวกมันดู จากนั้นก็โบกมือไปมาและพูดว่า “นี่กินไม่ได้นะรู้ไหม? กินไม่ได้! ใครกินจะจัดการคนนั้น!”

ความสนใจของหู่จือและเป้าจือที่สนใจปลาตัวเล็กๆ คือการต้องการเล่นไม่ใช่ต้องการกิน หลัวปอและเฟอเรทแบลคฟรุทยิ่งกลัวไม่กล้าลงไปในน้ำ ดังนั้นฉินสือโอวจึงเตือนพวกมัน พวกมันจึงสงบลง ไม่ไปจ้องมองปลาโครงกระดูกอีก

ข้างนอกหิมะตกหนักและควันในบ่อน้ำร้อนก็มีหมอกลอยฟุ้ง ฉินสือโอวที่กำลังเพลิดเพลินกับการแช่น้ำอุ่นอยู่ จู่ๆ ก็เงยหน้ามองเห็นอะไรแปลกๆ

รอบๆ และด้านบนบ่อน้ำร้อนจะล้อมด้วยกระจก แต่เป็นกระจกที่มีความแข็งแรงสูงธรรมดาทั่วไปแม้ว่าจะแข็งแรงพอ เหนียวทนทานและทนต่อลม แต่หมอกนั้นรุนแรงเกินไป อุณหภูมิภายในและภายนอกจึงแตกต่างกันมาก ในกระจกจึงเต็มไปด้วยไอน้ำและภายนอกก็มองเห็นไม่ชัด

สิ่งนี้ทำให้ฉินสือโอวไม่สบายใจมาก คิดไปคิดมา การแช่บ่อน้ำร้อนในวันที่หิมะตกแล้วเงยมองหิมะที่กำลังตกหนัก แบบนี้จะสบายแค่ไหนกัน?

ฉินสือโอวลุกขึ้นและโทรศัพท์หาวิลและพูดว่า “ฉันอยากจะเปลี่ยนผนังกระจกบ่อน้ำร้อน นายมาดูหน่อยสิว่าเปลี่ยนได้ไหม?”

…………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท