ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1408 รับสมัคร

บทที่ 1408 รับสมัคร

“เจ็ดคน?” ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึก ถ้าหากว่าเขาไม่ได้สนิทสนมกับเบิร์ดและนีลเซ็นทั้งสองคน เขาคงคิดว่าทั้งสองคงจะพาคนอื่นๆ หนีเขาไปแน่ๆ

นีลเซ็นรีบอธิบายออกมาว่า “พวกเราลาเพียงสองวันเท่านั้น หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้จะเป็นวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงคราม เนื่องจากว่าปีที่แล้วพวกเราจำเป็นต้องออกทะเล พวกเราเลยไม่ได้ไปร่วมงาน ปีนี้เลยอยากจะไปร่วมงาน”

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้คือวันที่สิบเอ็ด เดือนพฤศจิกายน วันนี้ในประวัติศาสตร์เมื่อก่อนคือวันสงบสุขสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ต่อมาก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามแห่งชาติของอังกฤษ เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่ทหารอังกฤษที่เสียชีวิตในสงครามโลกทั้งสองครั้งรวมถึงสงครามครั้งอื่นๆ ด้วย

จนมีการพัฒนามาถึงปัจจุบัน วันนี้เป็นวันที่เหล่าทหารและครอบครัวรำลึกถึงเพื่อนร่วมสนาม และคนสนิทที่ได้เสียชีวิตไป วันนี้จึงเป็นวันหยุดที่สำคัญมากสำหรับเหล่าทหารและครอบครัวของเขาที่อยู่ในดินแดนอังกฤษ

ฉินสือโอวเข้าใจพวกเขา แต่เขาก็ยังถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจว่า “มันเป็นวันหยุดของเครือจักรภพไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไปกันเจ็ดคนล่ะ? พวกแบล็คไนฟ์ก็ต้องเข้าร่วมเหรอ? พวกเขาเป็นทหารของอเมริกาไม่ใช่เหรอ?”

เบิร์ดพูดเสียงเบาว่า “พวกแบล็คไนฟ์มาจากกองพลหุ้มเกราะนะครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้นฉินสือโอวก็นึกขึ้นมาได้ทันที ใช่แล้ว แบล็คไนฟ์และพวกทั้งห้าคนมาจากกองพลหุ้มเกราะ และองค์กรรับจ้างนี้ถูกก่อตั้งในปี 1981 โดยอลาสแตร์ มอร์ริสัน สุภาพบุรุษคนนี้คือวีรบุรุษจากหน่วยสืบราชการลับของกองกำลังพิเศษชั้นสูงโลกของอังกฤษ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาส่วนใหญ่เป็นทหารที่เกษียณอายุแล้วจากทั่วประเทศในเครือจักรภพ

เพราะแบบนี้ เมื่อตอนที่พวกเขาเป็นทหารรับจ้าง พวกเขาจะต้องมีเพื่อนทหารร่วมรบหลายคนที่เป็นชาวอังกฤษหรือไม่ก็แคนาดาจำนวนไม่น้อยอย่างแน่นอน

ฉินสือโอวรู้สึกยุ่งยากขึ้นมา เพราะว่าเดี๋ยวก็จะมีงานฮันนีมูนแล้ว จำนวนงานที่ต้องทำในฟาร์มปลาเดือนนี้เยอะมาก ไม่อย่างนั้นต้องรีบรับสมัครคนงานอย่างเร่งด่วนแล้ว ถ้าหากทั้งเจ็ดคนลาไปสองวัน ก็มีจะงานหลายอย่างที่ล่าช้าไปมาก

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินสือโอวก็ถามออกมาอย่างระมัดระวังว่า “ทำไมถึงต้องไปทั้งสองวันล่ะ? มีกิจกรรมสำหรับวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามค่อนข้างเยอะใช่ไหม?”

นีลเซ็นอธิบายออกมาว่า “เบื้องต้นวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามของพวกเราจะเริ่มต้นจากเมืองออตโตวา จะมีการเดินทางระยะทางไกล ใช้เวลาค่อนข้างมากในการเดินไปกลับ ซึ่งอันที่จริงงานทหารรำลึกไม่ได้ใช้เวลานานมากเท่าไหร่”

ฉินสือโอวมุ่ยปากอย่างลำบากใจ แล้วถามออกมาอีกว่า “แล้วทำไมพวกนายถึงไปที่ออตโตวาล่ะ? อ้อ สุสานทหารแคนาดาแห่งชาติอยู่ที่นั่นใช่ไหม?”

นีลเซ็นส่ายหัว เขาตอบว่า “ไม่ใช่ครับ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเราไม่ไปที่สุสาน ที่นั่นพวกเราจะไปกันในวันรำลึกแห่งชาติครับ พวกเรามีเพื่อนร่วมสงครามคนหนึ่งทำฟาร์มอยู่ที่ออตโตวา เขาสามารถที่จะหาสถานที่ในการจัดงานได้”

ฉินสือโอวรีบกางมือขึ้นแล้วพูดขึ้นมาทันทีว่า “ฟาร์มปลาของพวกเราก็สามารถจัดงานได้นะ นายว่าถ้าให้เพื่อนร่วมสงครามของพวกนายมาจัดงานที่นี่เป็นยังไง? ฉันสามารถทำอาหารทะเลรสเลิศให้พวกเขาได้ ยังมีเบียร์อีกด้วย เอ่อ ขอถามอีกหน่อยสิ ตอนจัดงานทหารรำลึก พวกนายดื่มเบียร์กันไหม?”

เบิร์ดยิ้มออกมาบางๆ ตอบว่า “ไม่ครับ พวกเราอาจจะเมาจนไม่ได้สติได้ครับ”

ฉินสือโอวเห็นภาพนั้นได้ชัดเจน หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาว่า “พวกนายว่าข้อเสนอของฉันเป็นไปได้หรือไม่?”

นีลเซ็นและเบิร์ดมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน “ไม่มีปัญหาครับ แต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องมีการเตรียมการบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงานในฟาร์มปลา แบบนั้นมันไม่ดีเท่าไรครับ”

ฉินสือโอวคิดในใจว่าตราบใดที่คนของตัวเองไม่ต้องออกไปนอกเมืองก็ใช้ได้แล้ว ไม่ได้สนอยู่แล้วว่าจะดีหรือไม่ดี? แต่ว่าเขาไม่เคยร่วมงานรำลึกแบบนี้มาก่อน เขาคิดว่ามันดูน่าสนใจดีที่จะได้สัมผัสกับมัน เขาลูบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “โอเค ไม่มีปัญหา พวกนายเป็นมือซ้ายมือขวาของฉัน มือซ้ายและมือขวาจะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนทั่วไปไม่ใช่เหรอ?”

ชายทั้งสองคนยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไป นีลเซ็นถามขึ้นมาว่า “งั้นบอสครับ คุณว่าปีนี้มือซ้ายและมือขวาของคุณจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ครับ?”

ฉินสือโอวเบิกตากว้าง “เป็นเพราะว่าฉันดูแลพวกนายดีเกินไปหรือเปล่า พวกนายคิดว่าบอสของพวกนายน่าแกล้งงั้นเหรอ?”

“ไม่ครับ!” ทั้งสองคนตอบกลับอย่างขันแข็งทันที หลังจากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ห้องประชุมกลับมาเงียบอีกครั้ง ฉินสือโอวหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเอี๋ยนตงเหล่ย “พี่เหล่ย ฟาร์มปลาของผมขาดคนงาน พี่สามารถติดต่อชาวจีนอย่างพวกเราที่เข้าใจงานด้านประมงให้ได้หรือไม่?”

เอี๋ยนตงเหล่ยแทบจะกระโดดตัวลอยขึ้นมาทันที เขาตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เสี่ยวโอว นายคือผู้ช่วยชีวิตของฉันจริงๆ! ตอนนี้การจ้างงานในแคนาดาเป็นเรื่องที่โคตรยากเลย ฉันทางนี้ได้รวบรวมเพื่อนชาวจีนจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือในการจ้างงานไว้แล้ว นายสามารถรับได้กี่คน?”

“สิบห้าคน เป็นอย่างไร จำนวนพอได้ไหม?”

“เอ น้อยจัง ร้อยห้าสิบคนกำลังดีเลยนะ!”

“พระเจ้า พี่เหล่ย ผมเป็นแค่เจ้าของฟาร์มปลานะครับ ไม่ได้ทำโรงงาน!”

เอี๋ยนตงเหล่ยหัวเราะออกมาว่า “ล้อเล่นหรอกน่า สิบห้าคนก็พอแล้ว สามารถช่วยเรื่องที่เร่งด่วนของพี่ชายได้แล้ว นายต้องการเพียงคนที่รู้งานประมงใช่ไหม?”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “แบบนั้นแหละดีที่สุด ถ้าหากว่าไม่ได้มีประสบการณ์งานประมงมาก่อน ก็จำเป็นที่ต้องเป็นทหารมาก่อน อายุต่ำกว่าสามสิบห้าปี ร่างสูงใหญ่ นี่คือคุณสมบัติพื้นฐาน”

ถ้าหากไม่ใช่มืออาชีพ แบบนั้นก็ต้องลงทุนในการฝึกอบรม ฉินสือโอวต้องการคนที่ออกมาจากกองทัพ เพราะว่าคนพวกนั้นทำงานหนักและมีวินัยมาก สำหรับชาวประมงแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก

หากไม่สามารถทำงานหนักได้ งั้นก็ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตในท้องทะเลได้ หากไม่มีวินัย พวกเขาก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ หากร่างกายไม่สูงใหญ่ ก็จะสามารถทำกำไรได้ก็เท่านั้น แต่ยังต้องมาคอยเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนที่ออกทะเล

เอี๋ยนตงเหล่ยถามเขาเกี่ยวกับค่าตอบแทน ฉินสือโอวตอบกลับว่า “มีการจัดหาที่พักอาหารและประกันให้ เงินเดือนต่อสัปดาห์มากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยดอลลาร์ ทุกไตรมาสมีโบนัสให้ ปลายปีมีอั่งเปาให้ ตราบใดที่พวกเขาขยันทำงานให้กับผม ผมรับประกันเลยว่าพวกเขาจะได้รับเงินไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ต่อปี!”

เงินเดือนดังกล่าวเทียบเท่ากับเงินเดือนของคนชนชั้นกลางในแคนาดา เท่ากับฐานเงินเดือนของระดับผู้จัดการในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย แต่ว่าสำหรับชาวประมงแล้ว เงินเดือนขนาดนี้ถือว่าเป็นเงินระดับกลางขึ้นไป ถือว่าเยอะมากด้วยซ้ำ เงินเดือนประจำปีเริ่มต้นที่หนึ่งแสนห้าหมื่นดอลลาร์ แต่ว่าคนเหล่านี้เป็นนักเดินเรือในทะเลเกือบทั้งหมด เป็นการเอาชีวิตมาหาเงินที่แท้จริง

ปัจจุบันงานลูกเรือถือเป็นงานที่เสี่ยงตายเป็นอันดับหนึ่งในแคนาดา!

เอี๋ยนตงเหล่ยเข้าใจในเรื่องนี้ เขาพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เงินเดือนไม่เลวเลย ฉันเข้าใจนายนะ การทำงานในฟาร์มปลาของนายก็คือการไปหาเลี้ยงชีพ เงินเดือนของนายในปีนี้ทำให้การจ้างคนเป็นเรื่องง่าย รอฟังข่าวดีจากฉันได้เลย”

หลังจากทุกอย่างเริ่มขึ้น ฟาร์มปลาก็เปลี่ยนมาคึกคักทันที

เมื่อรู้ว่าฟาร์มปลาต้าฉินรับสมัครคน ชาวเมืองก็พากันคึกคักขึ้นมา ชาวประมงเกือบทุกคนอยากที่จะเข้ามาที่นี่

ใช่แล้ว ตอนนี้ในเมืองมีธุรกิจการท่องเที่ยวให้ทำงานได้ แต่ว่าทุกคนรู้ดีว่าธุรกิจนี้ใครๆ ก็สามารถทำได้ ดังนั้นการแข่งขันจึงค่อนข้างดุเดือด สิ่งที่เมืองต้องทำการพัฒนาคือจีดีพีโดยรวม สำหรับคนทั่วไป รายได้ที่ได้รับไม่ได้ถือว่ามากมายนัก หนึ่งปีได้เงินทั้งหมดแปดหมื่นก็ถือว่าดีแล้ว การจะได้ถึงหนึ่งแสนดอลลาร์นั้นค่อนข้างยาก

สำหรับชาวประมงอย่างบลูที่ฟาร์มปลาต้าฉินน่ะเหรอ? รายได้ประจำปีที่รวมถึงเงินและโบนัสของพวกเขาที่ได้นั้น สูงถึงสองแสนดอลลาร์! และถ้าหากว่าพวกเขาทำงานได้ดี จับปลาทูน่าครีบน้ำเงินพวกนั้นได้อีก รายได้ที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า!

เงินเดือนของชาร์คและซีมอนสเตอร์นั้นนับไม่ได้แล้ว พวกเขาและเบิร์ด นีลเซ็นทั้งสี่คนเป็นคนสนิทของฉินสือโอว เป็นมือซ้ายมือขวาที่แท้จริง ในทุกไตรมาสฉินสือโอวให้โบนัสและเงินเดือนพวกเขาสูงอยู่แล้ว

นอกจากเหตุผลทางด้านการเงินแล้ว เหล่าชาวประมงอยากเข้าทำงานที่ฟาร์มปลาแห่งนี้ ก็เพราะว่าบรรยากาศในการทำงานของฟาร์มปลานั้นดีที่สุด พวกเขาสามารถสัมผัสได้ เหล่าชาวประมงมักจะมีกิจกรรมภายในกัน หลังจากนั้นฉินสือโอวว่างงานเขาก็จะเลี้ยงข้าวดื่มเบียร์ร่วมกัน รวมถึงตั้งแคมป์ด้วยกัน

ทั้งได้เงินและได้พักผ่อน ด้วยงานที่เป็นแบบนี้ ทำไมถึงจะไม่แข่งขันกันเข้าล่ะ?

เมื่อเห็นใบสมัครของเหล่าชาวประมงที่ส่งมา ฉินสือโอวก็เริ่มคิดถึงเรื่องอื่น นั่นก็คือการสร้างระบบพนักงานของฟาร์มปลา

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท