ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1400 หัวใจของผู้ที่แข็งแกร่ง

บทที่ 1400 หัวใจของผู้ที่แข็งแกร่ง

ไม่มีความท้าทายอะไรแล้ว เชอร์ลี่ย์ก็เป็นไม้คนแรกพายไปจนถึงเส้นชัยคนแรกและผู้ปกครองที่อยู่ข้างๆ ก็ต่างพากันชมเชยว่า “เด็กหญิงสาวสวยนี้สวยเหมือนนางฟ้า แต่การเคลื่อนไหวของเธอยืดหยุ่นและทรงพลังเหมือนกวางน้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อแม่แบบไหนจะเลี้ยงลูกให้เป็นแบบนี้ได้”

ฉินสือโอวหัวเราะและเขารู้สึกว่าเป็นการว่ายกยอตัวเอง

เชอร์ลี่ย์และลอเรนซ์ไฮไฟว์กัน ลอว์เรนซ์พร้อมจะออกโจมตีทุกเวลา เธอเริ่มพายเดินทางกลับ

ลอเรนซ์เป็นลูกสาวของแลนซ์ เป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างเงียบ เธอมักจะช่วยแลนซ์ทำงานที่ทะเล เธอจึงมีสมรรถภาพทางกายที่ดีและทำงานได้เร็วอย่างไม่พูดไม่จา และนี่ก็เป็นเหมือนกันที่เธอเป็นคนแรกที่เดินทางกลับสำเร็จ

ผู้รักษาเวลารายงานเวลาของพวกเขาว่า “การแข่งขันพายเรือผลัดรอบที่สอง อันดับที่หนึ่ง ใช้เวลาไปสี่นาทียี่สิบแปดวินาที!”

ดังนั้นงานของสาวๆ ก็จบลงแล้ว แม้ว่าระยะทางจะแค่หนึ่งร้อยเมตร แต่การพายเรือก็เหนื่อยมากเช่นกัน หลังจากที่ทั้งสองสาวลงจากเรือฟักทอง ทั้งคู่ก็เหงื่อท่วมตัว

ฉินสือโอวช่วยเชอร์ลี่ย์เช็ดเหงื่อและ โลลิต้าสาวบลอนด์ที่ไม่สนใจอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกอายขึ้นมาและกระตุกชายเสื้อผ้าของเขาและกระซิบว่า “ฉิน คุณเป็นแบบนี้ทำให้ต่อไปหนูจะแต่งงานได้อย่างไร?”

ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “เป็นอะไรไป? เธอเพิ่งจะอายุแค่สิบห้าปีเองนะ คิดเรื่องแต่งงานแล้วเหรอ?”

กลุ่มเด็กวัยรุ่นจึงอิจฉาตาร้อนและมองไปที่ฉินสือโอวด้วยความโมโห จากนั้นจึงตะโกนว่า ‘ฉันจะแทนที่นาย’

ยังเหลือสี่รอบหลังจากการแข่งขันของทีมฝ่ายหญิง ฉินสือโอวจึงไปดูการแข่งขันของทีมฝ่ายชายที่นั่นก่อนเพื่อให้กำลังใจพาวลิสและมิเชล

การเอาชนะของพาวลิสไม่ค่อยเก่ง หรือพูดได้ว่าเขารู้คุณสมบัติของการแข่งขันในครั้งนี้และแสดงมันออกมาได้สม่ำเสมอมาก เขากลับมาพร้อมกับอันดับที่สี่ของการแข่งขันทีม เห็นได้ชัดว่าไม่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ

มิเชลก็แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณในการต่อสู้ที่แตกต่างออกไปด้วยบุคลิกที่ชอบเก็บตัวตามปกติของเขา เขายิ้มเขินอายก่อนขึ้นเรือ รอยยิ้มของเขาหายไปทันทีที่ขึ้นเรือ เขาจ้องมองคู่ต่อสู้และสแกนคู่ต่อสู้ด้วยสีหน้าที่เย็นชา

เมื่อเสียงปืนดังขึ้น มิเชลก็กัดฟันพร้อมกับพายเรือออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับลูกธนูอันแหลมคมถูกยิงออกไป

แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างใจหวัง ยิ่งกังวลมากเท่าไร ก็ยิ่งผิดพลาดได้ง่ายเท่านั้น เมื่อมิเชลกลับมาที่เส้นชัยก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น เรือฟักทองเกิดน้ำวนซึ่งตกอยู่ในสภาพวิกฤตเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นแบบนี้ มิเชลล์จึงไม่ลังเลที่จะกระโดดลงไปในน้ำและใช้แขนทั้งสองข้างหมุนให้เรือฟักทองทรงตัว จากนั้นแขนทั้งสองข้างดึงปากเรือไว้แล้วร่างผอมบางของเขาก็พลิกตัวลงอย่างรวดเร็วและตกลงไปในเรือฟักทอง จากนั้นยืนขึ้นและออกเดินทางอีกครั้ง

การกระทำของมิเชลทำให้เขาประหลาดใจมาก ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นและผู้ปกครองก็ต่างตกใจกับปฏิกิริยาและไหวพริบที่ยอดเยี่ยมของเขา

หลังจากที่มิเชลกลับมาในอันดับที่หนึ่ง หลายคนก็ยื่นมือออกมาจับมือเขาพร้อมกับส่งเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่อง

มิเชลในขณะนี้จึงกลับมาเขินอายเหมือนเดิมอีกครั้ง เขายิ้มพร้อมกับส่ายหัวและบอกว่าไม่เป็นอะไร

ในที่สุดก็เข้าสู่รายชื่อรอบชิงชนะเลิศ ทางฝั่งฟาร์มปลามีสามคนที่ได้เข้ารอบ กอร์ดอน ไวส์และมิเชล ชาร์คน้อยช้าไปหนึ่งวินาทีจึงตกไปอยู่อันดับที่สิบเอ็ด ช่างน่าเสียดายมากจริงๆ

รอบรองชนะเลิศของทีมฝ่ายชายเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นที่สุด วัยรุ่นที่เหลืออีกสิบคนเป็นเด็กที่แข็งแกร่งที่สุดที่คัดเลือกมาจากเกือบสามร้อยคน แต่ละคนมีทักษะและพละกำลังที่ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่

เมื่อโหวจื่อเซวียนเหนี่ยวไก เรือฟักทองสิบลำก็พุ่งไปข้างหน้าเหมือนปลาทูน่าครีบน้ำเงินสิบตัว

ครั้งนี้ฉินสือโอวไม่ได้ใช้กลวิธีโกงใดๆ อีกแล้ว เขาแค่ต้องการทำให้ไวส์และพ่อแม่มีความสุข ถึงจะช่วยเขาได้ แต่ครั้งนี้ก็เป็นการตัดสินครั้งสุดท้าย ดังนั้นเขาต้องยุติธรรมสักหน่อยคงจะดีกว่า

แต่เด็กวัยรุ่นทั้งสามกลับแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และระดับการแข่งขันที่ทำให้เขาประหลาดใจ ครั้งนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสำหรับมิเชล คนแรกที่ถึงเส้นชัยจึงหันหลังกลับมาและกอร์ดอนก็ตามมาติดๆ จากนั้นก็ไวส์…

เมื่อเห็นมิเชลล์อยู่ในอันดับที่หนึ่ง กอร์ดอนก็ส่งเสียงร้องพร้อมกับเร่งความเร็วอีกครั้ง เขาใช้เวลาไม่นานในการแซงหน้ามิเชล

มิเชลใช้ความเป็นมืออาชีพสังเกตสถานการณ์นี้ จากการหรี่ตา กัดฟันและเหวี่ยงไม้พายอย่างดุเดือด ในช่วงยี่สิบเมตรสุดท้ายเขาขึ้นนำและตัดเข้าที่หนึ่งได้สำเร็จ!

กอร์ดอนตามหลังมาช้ากว่าแค่สองถึงสามวินาที คนที่เข้าอันดับที่สามคือไวส์ เขากรีดร้องว่า ‘เฮ้ยๆๆ’ ตลอดทาง ทำให้สร้างความรำคาญให้กับวัยรุ่นที่เข้าร่วมคนอื่นๆ จึงมีคนตะโกนว่า “นายโง่หรือเปล่า?”

“เฮ้ยๆๆ!” ไวส์ไม่สนใจและยังคงกรีดร้องต่อไป จากนั้นเมื่อเข้าใกล้ฝั่งจึงกระโดดขึ้นและตะโกนว่า “ฉันได้ที่สาม! ฉันคืออัศวินไวส์!”

ฉินสือโอวลูบจมูกไปมาและเขาก็มองไปที่วินนี่ ก็พบว่าวินนี่ก็อยู่ที่นั่นด้วยจึงรู้สึกงุนงง

คราวนี้ต้องไปเรียนกับเจ้านี่จริงๆ แล้ว การแข่งขันรอบนี้ที่สนับสนุนโดยฟาร์มปลาและจัดโดยวินนี่ จนถึงตอนนี้ เงินรางวัลเกือบทั้งหมดจะถูกฟาร์มปลานำเข้ากระเป๋า ซึ่งไม่น่าดูเลยเท่าไร

ดังนั้น ฉินสือโอวจึงตัดสินใจที่จะช่วยวินนี่อย่างเป็นทางการ หลังจากการแข่งขันจบลง เขาจะเอาเด็กทั้งหกคนมาอยู่ข้างๆ และพูดว่า “แข่งขันพายผลัดในรอบต่อไป พวกนายไม่ต้องรวมทีมกัน ฉันจะจัดทีมให้พวกนายเอง ว่าจะให้ไปอยู่ทีมใคร เข้าใจไหม?”

“ไม่เข้าใจครับ” เด็กทั้งห้าคนส่ายหัว แต่พาวลิสกลับหัวเราะ เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงเข้าใจว่าเมื่อกี้ที่พาวลิสไม่ได้ที่หนึ่งของทีม ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่เขาเดาผลลัพธ์ออกตั้งแต่แรก

น่าเสียดายที่คนอื่นไม่โตก่อนวัยเหมือนพาวลิส ดังนั้นฉินสือโอวจึงเริ่มใช้วิธีโกงความสามารถออกมา “พวกนายได้เห็นแล้วว่าพวกนายเป็นคนที่หน้าตาดีของที่นี่ พวกนายคือราชา! ถ้าพวกนายร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง นั่นก็จะเป็นทีมที่มีฝีมือสุดยอดและไม่มีค่าใดๆ สักนิด แต่ถ้าพวกนายไปร่วมมือกับพวกมือใหม่เหล่านั้น นอกจากจะเอาชนะได้แล้ว พวกนายยังได้แสดงความเป็นราชาออกมาได้อีกด้วย!”

“นอกจากนี้ ด้วยผู้ชมจำนวนมาก ศักยภาพจึงค่อนข้างแย่และคะแนนที่ออกมาไม่ดีเมื่อสักครู่นี้ของพวกนั้น ตอนนี้จึงทำให้รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก พวกนายจะไม่ไปช่วยพวกเขาหน่อยเหรอ? ถ้าพวกเขาแพ้สองครั้งติดต่อกัน จะต้องพังอย่างแน่นอน!”

“กอร์ดอนไม่เคยล้มลง เขาเป็นคนสุดท้ายในชั้นเรียนทุกครั้ง” ชาร์คน้อยพูดจาเข้าใจยาก

กอร์ดอนพูดอย่างโมโหว่า “หุบปาก ใครบอกว่าฉันเป็นคนสุดท้ายทุกครั้ง? ครั้งนี้ฉันไม่ใช่แล้ว ครั้งนี้เป็นสองอันดับสุดท้าย!”

ฉินสือโอวจึงกลอกตาไปมา “นี่มันไม่ใช่ประเด็น โอเค? การร่วมมือกันของพวกนายคืออะไร? คนที่ช่วยให้คนที่อ่อนแอแข็งแกร่ง คือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!”

เด็กๆ ทั้งห้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ พากันพยักหน้า กอร์ดอนจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถูกต้อง คุณลุงคนนี้นี่สุดยอดเหมือนกับคนที่ร่วมมือด้วยเลย”

ไวส์ยังพูดอีกว่า “อัศวินควรช่วยผู้ที่แข็งแกร่งและผู้ที่อ่อนแอ ผมต้องการเป็นเพื่อนร่วมทีมกับเด็กที่มีคะแนนแย่ที่สุด”

มิเชลจึงมีปฏิกิริยาออกมา เขามองไปที่เหรียญบนหน้าอกของเขาและพูดกับฉินสือโอวอย่างเงียบๆ ว่า “ฉิน ผมอยากได้ที่หนึ่งจริงๆ!”

ฉินสือโอวเงียบไปพักหนึ่งและกำลังจะพูด มิเชลก็พูดต่อว่า “แต่คุณก็พูดถูก ผมฟังคุณพูดแล้ว ผมจะอยู่ทีมกับเด็กที่มีคะแนนแย่ที่สุดเมื่อสักครู่นี้”

ศักยภาพของเด็กๆ วัยรุ่นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถร่วมทีมกับเพื่อนร่วมทีมที่แย่ที่สุดเพื่อคว้าแชมป์ได้ เมื่อจบรอบแรก มีเพียงมิเชลและเด็กตัวผอมบางคนหนึ่งที่เข้าสู่สิบอันดับแรก อีกห้าคนก็พ่ายแพ้กันไปหมด!

มิเชลและเพื่อนร่วมทีมของเขาก็ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศเช่นกัน พวกเขาอยู่อันดับที่แปด มิเชลยังได้เป็นไม้หนึ่งในช่วงเปิดเกมอีกด้วย…

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท