ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1409 โครงสร้างสี่ระดับ

บทที่ 1409 โครงสร้างสี่ระดับ

เมื่อก่อนฟาร์มปลาต้าฉินมีเพียงคนงานไม่กี่คน ฉินสือโอวคนเดียวสามารถดูแลได้ทั่วถึง ใครที่ทำงานหนัก ทำงานดี ใครที่ทุ่มเท เขาก็สามารถให้โบนัสตามใจ อีกอย่างมันก็ไม่ใช้เงินมากมาย

แต่ว่าตอนนี้หลังจากที่ขยายกิจการแล้ว จำนวนคนเปลี่ยนมามากถึงสี่ห้าสิบคน ถือว่าเป็นบริษัทขนาดเล็กแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ก่อตั้งบริษัทแบบเป็นที่แบ่งเป็นเจ็ดแผนกผู้นำสามระดับเหมือนบริษัทที่เป็นทางการ แต่อย่างไรเขาก็มีการสร้างโครงสร้างพนักงาน

ในฐานะที่ทำงานด้านบุคคลในบริษัทรัฐวิสาหกิจมาสี่ปี ฉินสือโอวค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านนี้ โครงสร้างการทำงานจะขึ้นอยู่กับทักษะเป็นหลัก หลังจากที่ผ่านการทำงานมาแล้วสามเดือน ต่อไปก็จะแยกเป็นแต่ละระดับ นักประมงระดับต้น นักประมงระดับกลาง นักประมงระดับสูง และนักประมงอาวุโส

เขาตั้งใจที่จะทำแบบนี้ เขาจะให้เงินเดือนตามระดับความสามารถ หลังจากนั้นทุกๆ ไตรมาสจะมีการประเมิน โดยมีเขา ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ แลนซ์ บลู นีลเซ็นและเบิร์ดเป็นผู้ประเมิน การประเมินไม่เพียงแต่จะเป็นการเลื่อนขั้น แต่ยังเป็นการลดขั้นด้วย

หลังจากสร้างโครงสร้างนี้ออกมาแล้ว ฉินสือโอวก็จะสามารถมอบฟาร์มปลาให้ชาวประมงเหล่านี้ได้อย่างสบายใจมากขึ้น

ด้วยความสามารถในการสร้างผลผลิตของฟาร์มปลา เขาสามารถเลี้ยงชาวประมงนับร้อยคนได้อย่างสบายๆ แต่เขาไม่อยากทำแบบนั้น ที่ฟาร์มปลามีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ ถ้าใครสักคนสังเกตเห็น แบบนั้นจะเป็นปัญหาแน่

ชาวประมงสิบคนหาได้ง่ายจากในเมือง เขาได้รับกองจดหมายสมัครงานมากองหนึ่ง เป็นกองจดหมายที่รวบรวมชาวประมงนับสิบกว่าคนเอาไว้แล้ว เพียงแค่ปรึกษากันว่าสิบคนไหนที่จะเหมาะสมที่สุดก็ใช้ได้แล้ว

“ที่สำคัญคือนิสัย เหล่าสหาย ฉันอนุญาตให้คนใหม่ที่จะเข้ามามีนิสัยมุทะลุเหมือนกับบลู แต่เขาจะต้องขี้เล่นเหมือนบลูด้วยถึงจะใช้ได้”

บลูยกมือขึ้นกางออกพลางพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “อย่าทำแบบนี้เลย กัปตัน ที่แท้ภาพของผมที่อยู่ในใจของคุณเป็นแบบนี้เหรอ? ผมคิดมาเสมอว่าผมนั้นภักดีและกล้าหาญมาก”

ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดออกมาด้วยความเสียดายว่า “ขอโทษทีนะ แต่นายคิดมากเกินไปหน่อย”

เหล่าชาวประมงต่างกันหัวเราะออกมา บลูทุบโต๊ะด้วยความขมขื่น แต่จากนั้นก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

ตอนนี้ในมือของฉินสือโอวมองชาวประมงผู้ที่จริงจังและเข้มงวดอยู่คือชาร์ค ซีมอนสเตอร์และกลุ่มของบลูสิบคน ทั้งหมดรวมกันเป็นสิบสองคน ไม่รวมนีลเซ็นและเบิร์ด หน้าที่หลักของพวกเขาทั้งสองคนคือการประสานงานระหว่างชาวประมงและทหาร ที่ไหนที่จำเป็นต้องไปพวกเขาก็จะไปที่นั่น

ชาวประมงทั้งยี่สิบคนนี้ ฉินสือโอวกำหนดไว้แล้วว่าชาวประมงอาวุโสจะมีสี่คน นั่นคือชาร์ค ซีมอนสเตอร์ บลู และแลนซ์ ส่วนคนอื่นอีกแปดคนเป็นชาวประมงระดับสูง และชาวประมงที่รับสมัครเข้ามาใหม่จะเป็นชาวประมงระดับเริ่มต้น แม้ว่าจะมีทักษะทางทะเลเป็นอย่างดีก็จะยังคงเป็นชาวประมงระดับเริ่มต้น เขาได้ทำการตรวจสอบอารมณ์ของชาวประมงเหล่านี้แล้ว หากพบว่าไม่เหมาะที่จะทำงานเป็นทีมได้ เขาก็จะคัดออกทันที

ชาวประมงทั้งสิบคนถูกเลือกมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างเป็นมือดีบนทะเล นิสัยก็ดีด้วย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพวกอารมณ์ร้อน แต่ก็รู้จักว่าอะไรดีไม่ดี แค่นั้นก็พอแล้ว มีชาวประมงที่ไหนบ้างที่ไม่อารมณ์ร้อน?

หลังจากที่เลือกชาวประมงทั้งสิบคนได้แล้ว ฉินสือโอวก็ให้ชาวประมงอาวุโสสองคนเตรียมทีมขึ้นมา ตอนนี้ที่เกาะแฟร์เวลมีพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ อีกแปดคนทำงานอยู่ข้างนอก ยังไม่กลับเข้ามา

เรื่องชาวประมงชาวจีน ฉินสือโอวได้ประกาศรับสมัครและได้รับข้อมูลผู้สมัครมาแล้ว เขาจึงพาชาร์ค แลนซ์และเบิร์ด รวมถึงนีลเซ็น บินจากมหานครเซนต์จอห์นไปยังเมืองออตโตวา เพราะว่าเอี๋ยนตงเหล่ยทำงานอยู่ที่นั่น

แม้ว่าเขาจะเป็นประธานสมาคมช่วยเหลือคนแคนาดาเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเลสาขานิวฟันด์แลนด์

ฉินสือโอวที่ล้อมรอบไปด้วยชาร์คเบิร์ด ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในห้องประชุมของโรงแรม ข้างในมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งรออยู่ เมื่อพวกเขาเห็นฉินสือโอวก็มีคนตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็พากันลุกขึ้นยืน แล้วมองไปยังเขาด้วยความอิจฉา

ตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านชายฉินจะเป็นที่โด่งดังเป็นอย่างมาก ชาร์คเบิร์ดทั้งสี่คนเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่กำยำ เมื่อพวกเขาทั้งสี่ล้อมรอบฉินสือโอวไว้ ทำให้ฉินสือโอวดูเต็มไปด้วยอำนาจ

ฉินสือโอวมองไปยังพวกเขาผ่านๆ คนที่เอี๋ยนตงเหล่ยเลือกมานั้นไม่เลวเลย คนพวกนี้เป็นชายหนุ่มอายุน้อย แต่ละคนเต็มไปด้วยพละกำลัง หลังจากที่พวกยืนขึ้นก็สามารถเห็นร่างกายตั้งตรงของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านการฝึกทหารมาอย่างหนักหน่วง

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ คนพวกนี้ดูเหมือนกับทหารผ่านศึก ไม่มีความเป็นชาวประมงอยู่ในตัวเลยแม้แต่น้อย

ชาวประมงนั้นเรียนรู้ได้ ตราบเท่าที่ผิวพรรณและรูปร่างดีก็ใช้ได้แล้ว พวกเขาตากแดดตากฝนประจำ ทำให้ผิวหนังดำและหยาบกร้าน ปกติร่างกายจะไม่มีทางยืนหลังตรงได้ หลังจะค่อมลงเล็กน้อย ท่าทางแบบนี้เกิดจากการที่ร่างกายปะทะกับลมทะเลบ่อยๆ

เมื่อเข้ามาในห้องประชุมแล้ว ฉินสือโอวก็ดูข้อมูลของคนพวกนั้น ปรากฏว่าพวกเขาเป็นทหารผ่านศึก ในสิบคนนั้นมีคนที่เป็นทหารเกษียณจากกองทัพของแคนาดา ส่วนคนอื่นๆ เป็นแรงงานจากในประเทศจีนที่ถูกส่งมา

นี่ทำให้ฉินสือโอวสงสัยเป็นอย่างมาก จึงถามออกมาว่า “เคยทานอาหารทะเลไหม?”

เอี๋ยนตงเหล่ยหัวเราะออกมาพลางพูดว่า “ไม่เคย ตอนนี้แคนาดาเศรษฐกิจไม่ดี อาหารทะเลเลยไม่อร่อยเท่าไหร่ ชาวประมงฝีมือดีในประเทศ ส่วนใหญ่เลยไม่ออกมา แต่คนพื้นที่ที่นี่ข้อเรียกร้องสูง เรื่องมาก ฉันเลยคัดออกให้นายแล้ว”

ฉินสือโอวพยักหน้า แบบนี้ก็ดีแล้ว ทหารผ่านศึกก็ดีเข้าไปใหญ่ จัดการง่าย มีวินัยที่แข็งแรง

เอี๋ยนตงเหล่ยและผู้ช่วยของเขาแนะนำพวกเขาคร่าวๆ ให้ฉินสือโอวอย่างรวดเร็ว เขาเลือกคนคนหนึ่งออกมาแล้วแนะนำว่า “คนคนนี้ชื่อเกิงจุนเจี๋ย เป็นคนที่น้องชายคนหนึ่งของผมแนะนำ เขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อตอนที่เป็นทหารเขาได้เป็นหัวหน้าสายชั้นมาตลอด เพื่อที่จะให้คนไม่มีปัญหา เขาสามารถที่จะอดทนทำงานหนักได้”

ฉินสือโอวมองเขา แล้วพูดขึ้นว่า “งั้นเริ่มสัมภาษณ์จากคนนี้แล้วกัน”

ผู้ช่วยของเอี๋ยนตงเหล่ยออกไป จากนั้นร่างผอมสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเมตรของชายวัยกลางคนก็เข้ามาในห้อง ท่าทางดูกระฉับกระเฉง ท่าทางการเดินดูกระตือรือร้น ไม่มีท่าทีอืดอาดเลยสักนิด

หลังจากที่เดินเข้ามาเกิงจุนเจี๋ยก็ได้ทำความเคารพแบบทหาร ฉินสือโอคิดว่าเขาน่าจะอายุสามสิบห้าปี จากนั้นจึงให้เขาแนะนำตัว

ลักษณะการพูดจาของชายคนนี้เหมือนกับท่าทางนิสัยของเขา กระตือรือร้นกระฉับกระเฉง เขาแนะนำตัวเพียงไม่กี่ประโยค อย่างพวกเรื่องบ้านเกิด นิสัย อายุ และเกียรติยศต่างๆ ในระหว่างที่ปฏิบัติงาน เขาพูดแนะนำออกมาทีละข้อๆ

ฉินสือโอวถามเขาว่า “คุณเคยรับราชการในกองทัพมาก่อน ทำให้อายุเท่านี้ถือเกษียณออกมาแล้วล่ะ? อีกอย่างเพื่อนของผมก็บอกด้วยว่าคุณนั้นเก่งกาจมาก คนมีความสามารถแบบคุณ ทำไมถึงไม่ทำงานในบ้านล่ะ? คุณน่าจะหางานดีๆ ได้นะ?”

เกิงจุนเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เพราะว่าผมต้องการเงินครับ ภรรยาของผมร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เงินช่วยเหลือของกองทักไม่เพียงพอที่จะรักษาเธอได้ อีกอย่างเมื่ออยู่ในประเทศ ระดับการศึกษาของผมต่ำเกินไป ทำได้เพียงงานพนักงานรักษาความปลอดภัย บอร์ดี้การ์ดที่ได้เงินเดือนต่ำ ดังนั้นผมจึงคิดอยากจะมาทำงานหาเงินที่แคนาดา”

จู่ๆ ฉินสือโอวก็นึกขึ้นมาได้ เขาจึงให้เอี๋ยนตงเหล่ย แล้วก็พวกของชาร์คถามคำถามของแต่ละคนออกมา หลังจากที่สัมภาษณ์เกิงจุนเจี๋ยจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจจ้างเกิงจุนเจี๋ย

แน่นอนว่าเขาก็มีข้อเสีย นั่นคือระดับการศึกษาที่ค่อนข้างต่ำ เขาเป็นทหารก่อนที่จะจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย แบบนี้การที่จะเรียนเรื่องงานบนทะเลจึงค่อนข้างลำบาก เรื่องที่สองคือภาษาอังกฤษของเขาค่อนข้างแย่ สามารถสื่อสารได้เพียงประโยคง่ายๆ เท่านั้น ทำให้ฉินสือโอวต้องกลายเป็นล่ามให้เขา

แต่นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เรื่องอื่นๆ ของเขานั้นถือว่าสมบูรณ์แบบ มีความรับผิดชอบ ทำงานหนัก ซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย มีความยืดหยุ่นในตัว ที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นหัวหน้ามาแล้วสิบกว่าปี นั่นเป็นประสบการณ์ที่มากพอที่จะนำทีมเล็กๆ ได้ ทำให้สามารถช่วยฉินสือโอวจัดการเรื่องต่างๆ ได้

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท