ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1410 วันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงคราม

บทที่ 1410 วันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงคราม

การเลือกคนทั้งหมดสิบห้าคนจากสี่สิบเก้าคน ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากอะไร เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ขึ้นตรงกับอุตสาหกรรมกรมการประมง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่าย ขอเพียงแค่เป็นทหารจากกองทัพเรือมาก่อน มีความรับผิดชอบและรู้จักลำดับความสำคัญ นิสัยเข้ากับส่วนรวมได้ มีการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยม

หลังจากที่เลือกคนได้แล้ว ฉินสือโอวก็ได้ทำการเซ็นสัญญากับชาวประมงทั้งสิบห้าคนโดยมีเอี๋ยนตงเหล่ยเป็นสักขีพยาน หลังจากนั้นฉินสือโอวก็พาพวกเขาไปที่ฟาร์มปลา แล้วเริ่มให้แต่ละทีมเรียนรู้งานในทะเล แล้วเริ่มการฝึกงาน

ภาษาพูดของชาวประมงทั้งสิบห้าคนไม่ได้ดีมากนั้น โดยเฉพาะชาวประมงที่มีคำพูดท้องถิ่นอันชัดเจน พวกเขาชอบพูดคำย่อและคำสแลง และภาษาพูดของทหารชาวจีนนั้นยังทั้งดุดันและเป็นภาษาท้องถิ่นอีกด้วย แบบนี้เมื่อเหล่าชาวประมงเข้ามาที่ฟาร์มปลาและทำความรู้จักกัน ทั้งสองฝ่ายต่างพูดแต่ภาษาของตัวเอง เลยทำให้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นพูดอะไร

ฉินสือโอวทำได้เพียงเรียกให้เพ่าไห่มาทำงานก่อน เขาเซ็นสัญญาให้เพ่าไห่มาเป็นหัวหน้าวิศวกรเรือปริ้นเซสเมล่อน ดังนั้นเขาจะได้เป็นล่ามที่อยู่ตรงกลาง คอยให้ทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันได้

แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ฉินสือโอวเปิดชั้นเรียนหนึ่งด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนเย็นเขาจะสอนภาษาอังกฤษให้คนพวกนั้น เขาตั้งกฎการเรียนขึ้นมาอย่างเข้มงวด หลังจากเทศกาลคริสต์มาสจะมีการสอบพูด หากไม่สามารถสนทนาบทสนทนาพื้นฐานได้ ไล่ออก!

หลังจากกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็รีบวางแผนการตกปลาทันที พอตกเย็นเขาก็ออกไปเดินเล่น ทำให้เขาเห็นว่าโกดังขนาดเล็กที่อยู่ข้างท่าเรือมีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ประตู มีคนจำนวนไม่น้อยล้อมวงกันอยู่ที่นั่น

เมื่อเขาเข้าไปดู พวกของแบล็คไนฟ์ที่สวมแว่นกันแสงสีดำกำลังใช้หัวแร้งและปืนเชื่อมเชื่อมแผ่นเหล็กและเหล็กแท่งเข้าด้วยกัน รอบๆ มีคนกำลังมองดูพวกเขาอยู่ นอกจากนี้บางครั้งก็มีการออกความเห็นกันเป็นระยะ

ฉินสือโอวสงสัย จึงถามออกมาว่า “พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่?”

เมื่อเห็นฉินสือโอว แอร์แบ็คที่กอดคอมพิวเตอร์อยู่ก็ลุกขึ้นแล้วโบกมือให้เขาพลางพูดขึ้นว่า “พวกเราพบอุปกรณ์บางอย่างที่น่าสนใจจากในเมือง จึงอยากใช้พวกมันสร้างประติมากรรมเสียหน่อย ไม่เพียงแต่จะตกแต่งฟาร์มปลาเท่านั้น แต่ยังสร้างเพื่อสะท้อนกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย”

ไม่รู้ว่าเหล่าทหารยุ่งอยู่กับเรื่องนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ในมือของพวกเขาทุกคนมีปืนเชื่อมอยู่ ชาร์คและคนอื่นๆ ก็กำลังยุ่งกันอยู่ แต่ทุกคนนั้นต่างมีหน้าที่ในแต่ละส่วนของตัวเอง ฉินสือโอวมองไม่ออกว่าพวกเขากำลังสร้างประติมากรรมอะไร

แอร์แบ็คอธิบายว่า “มันคือดอกป็อปปี้เหล็กน่ะครับ บนกลีบดอกจะมีชื่อสลักอยู่ คาดว่าจะมีความสูงประมาณสองเมตรกว่า ผมคิดว่าพอเสร็จแล้วจะตั้งไว้ที่ท่าเรือหรือไม่ก็สักที่หนึ่ง คงจะไม่เลวเลยทีเดียว”

ฉินสือโอวเริ่มจะเข้าใจแล้ว ดอกป็อปปี้เป็นวัตถุดิบหลักในการทำยาเสพติด ประเทศส่วนมากบนโลกใบนี้ห้ามไม่ให้เพาะปลูกพืชชนิดนี้ แต่ว่าสำหรับวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามแล้วถือว่าเป็นดอกไม้ที่มีความหมาย มันคือดอกไม้ที่ใช้สำหรับการรำลึก

ประเพณีนี้เกิดขึ้นจากสงครามระหว่างฝรั่งเศสและเบลเยียม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พรมแดนทางด้านตะวันตกของเบลเยียมและทานด้านเหนือของฝรั่งเศสนั้นเป็นพื้นที่สงครามที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่ง ทหารจำนวนมากสละชีวิตที่นั่น ในเดือนพฤษภาคม ปี 1915 แพทย์ทหารนายหนึ่งเห็นดอกป็อปปี้อยู่บนภูเขาขณะที่กำลังฝังศพเพื่อนของตนเอง เขาจึงเขียนผลงานชิ้นเอกอย่าง ‘ในทุ่งแฟลนเดอร์ส’ ออกมา ด้วยเหตุนี้ ดอกไม้ชนิดนี้จึงค่อยๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของชาวอังกฤษที่ใช้ระลึกถึงเพื่อนทหารที่เสียชีวิต

คนเยอะจึงเสร็จเร็ว เช้าวันต่อมาเมื่อฉินสือโอวออกมาวิ่งออกกำลัง เขาเห็นว่าที่ท่าเรือมีดอกป็อปปี้เหล็กขนาดใหญ่ตั้งอยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ทาสี สีของมันจึงดูมืดมน แม้ว่าจะไม่ได้สวยมากนัก แต่ก็ให้ความรู้สึกเคร่งขรึม

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหล่าชาวประมงก็เริ่มออกไปตกปลาตามแผน ชาวประมงทั้งสิบคนที่มาจากเมืองสามารถทำงานได้ทันที แต่ว่าเหล่าชาวประมงที่เป็นชาวจีนจะต้องทำการทดสอบสมรรถภาพเสียก่อน เช่นการทำความรู้จักเรือประมง การนำปลาจากเรือประมงขนส่งไปยังห้องเก็บความเย็นและอื่นๆ

เริ่มเข้าวันที่สิบ เพื่อนทหารของนีลเซ็นและคนอื่นๆ ก็มาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวเตรียมเฮลิคอปเตอร์เพื่อรับส่งเพื่อนของพวกเขา และนั่นเป็นหน้าที่ของเบิร์ด ส่วนคนอื่นๆ ยังคงทำงานกันต่อ งานในเดือนพฤศจิกายนค่อนข้างเยอะ

เมื่อถึงช่วงเช้าของวันที่สิบเอ็ด คนที่ควรมาก็ได้มากันครบแล้ว ฉินสือโอวให้แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ พักร้อน ร้านอาหารของคุณลุงฮิคสันในเมืองถูกเหมาทั้งร้าน เพื่อเป็นการเตรียมสถานที่ให้พวกเขาใช้ทำกิจกรรม

ฉินสือโอวในฐานะเจ้านายของคนทั้งเจ็ด ได้ออกไปรับแขกแต่เช้า เบิร์ดช่วยเขากลัดดอกป็อปปี้ที่ทำจากกำมะหยี่ที่หน้าอก นี่เป็นประเพณี ผู้ที่เข้าร่วมวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามในวันนี้ ทุกคนจะต้องมีดอกป็อปปี้เพื่อแสดงความอาลัย

วันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงครามมีวัตถุประสงค์ของมัน สำหรับเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากโลกในเมือง และสงคราม บรรยากาศในวันรำลึกไม่ได้ชัดเจนมากนัก มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวันรำลึกจัดที่มหานครเซนต์จอห์นส์ ส่วนในเมืองเล็กๆ มีเพียงพอล ซาโกรเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตรุ่นที่สองและลูกน้องของเขาสองคนเท่านั้นที่ติดดอกไม้ชนิดนี้ด้วย

หลังจากที่กลัดดอกป็อปปี้แล้ว ฉินสือโอวก็ยื่นกระดาษใบหนึ่งให้กับเบิร์ด เขายักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเงินสำหรับจ่ายค่าดอกไม้”

หนึ่งในกิจกรรมของวันนี้ ดอกป็อปปี้ส่วนมากแล้วจะทำขึ้นโดยเหล่าทหารสูงวัย ผู้ที่เข้าร่วมงานรำลึกจะต้องซื้อดอกป็อปปี้ แต่ว่าไม่ได้มีการกำหนดราคา สามารถให้เงินห้าเหรียญ และก็สามารถให้ถึงห้าร้อยดอลลาร์ได้ ราคาขึ้นอยู่กับคนซื้อ เงินพวกนี้จะไปถึงสมาคมทหารผ่านศึก เพื่อเป็นการสมทบทุนสำหรับทหารผ่านศึกที่พิการ และครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต รวมถึงบำรุงอนุสรณ์สถานสงคราม

เมื่อเบิร์ดเห็นตัวเลขบนกระดาษ เขาก็พับมันอย่างระมัดระวังและใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน เขายิ้มออกมาพลางพูดว่า “ขอบคุณครับ บอส”

หลังจากที่มาถึงร้านอาหารของคุณลุงฮิคสันแล้ว เหล่าผู้คนสามถึงสี่สิบคนก็พากันยิ้มหัวเราะออกมา เมื่อเห็นพวกของฉินสือโอวพวกเขาก็เงียบลง แบล็คไนฟ์ลุกขึ้นแล้วแนะนำกับทุกคนว่า “นี่คือบอสของพวกเรา งานครั้งนี้ได้เขาช่วยไว้มาก เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาดูแลพวกเราอย่างดี”

เมื่อแบล็ดไนฟ์แนะนำจบ คนเหล่านั้นก็ผิวปากออกมา จากนั้นทุกคนก็เข้ามาทักทายฉินสือโอวทีละคน

ชายวัยกลางคนผู้ที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตคนหนึ่งเดินเข้ามา เขายื่นมือออกมาพลางพูดว่า “ผมชื่อเฟอร์กูสัน เป็นเพื่อนของแบล็ดไนฟ์และบีบีซวง ขอบคุณคุณมากที่ดูแลพวกเขาอย่างดี พวกเราได้ยินมาว่า พวกเขาทั้งสองคนอยู่ที่นี่อย่างดีมาสองปีแล้ว”

ฉินสือโอวจับมือกับชายวัยกลางคนคนนั้น หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นความพิการบนมือของเขา มือข้างขวาของเขามีเพียงนิ้วโป้งและนิ้วก้อยเท่านั้น ฝ่ามือของเขามีรอยถลอกของหนัง คาดว่าตอนนี้เขาคงทำงานอย่างยากลำบาก

เขาเดาอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความเกรงใจว่า “เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วครับ พวกคุณสละเลือดเพื่อประเทศชาติ พวกแบล็ดไนฟ์เขาก็เสียเหงื่อเพื่อฟาร์มปลาของผม ดังนั้นไม่ว่าผมจะทำอะไรก็มีเหตุผลทั้งนั้น”

“แต่ว่ามีคนอีกมากมายไม่ได้คิดแบบนี้!” ชายวัยกลางคนผู้มีผิวหนังหย่อนคล้อย ดวงตาไร้ชีวิตชีวาตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห “โดยเฉพาะบรรดานักกลางเมืองน่ารังเกียจของเมืองเมเปิลพวกนั้น พอถึงเวลาที่ต้องการก็ส่งพวกเราไปยังสนามรบ หลังจากนั้นก็ไม่สนใจแล้ว ฟัค! พวกมันควรออกไปซะ!”

นีลเซ็นดึงชายคนนั้นไว้ แล้วพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “แม็ตต์ อย่าพูดแบบนี้ วันนี้ที่มาก็เพื่อนเราทั้งนั้น พวกเราต้องแก้ไขสถานการณ์ที่ลำบากของเราเอง ไม่ใช่เหรอ? พระเจ้าอยู่ในใจเราเสมอนะ”

แม็ตต์สะบัดนีลเซ็นออก แล้วพึมพำออกมาว่า “ช่างหัวพระเจ้าสิ! พระเจ้าอยู่ในใจนาย นายมีงานที่ดี ได้ยินมาว่านายมีแฟนที่สวยเหมือนกับสาวน้อยด้วยเหรอ? แล้วฉันล่ะ? ฉันไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงขาหักๆ หนึ่งข้าง!”

ตอนนั้นเองฉินสือโอวถึงสังเกตเห็น ท่าทางการเดินของแม็ตต์ดูผิดสังเกต แต่อาการไม่ได้หนักมาก

เบิร์ดมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาพูดเสียงต่ำว่า “แม็ตต์ ดูร่างกายของบาร์นสิ อย่าเอาแต่พูดได้ไหม? ดื่มเบียร์ของนายไป! วันนี้นายอยากดื่มเท่าไหร่ก็ดื่มไปเลย!”

………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท