ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1413 จองตัวลูกสาวลูกชาย

บทที่ 1413 จองตัวลูกสาวลูกชาย

หลังจากผ่านวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงคราม ต่อไปก็เทศกาลคริสต์มาส เทศกาลนี้จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมงานล่วงหน้าเกือบครึ่งเดือน เพราะว่านี่เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของปีนี้ ฉินสือโอวได้เริ่มเตรียมตัวแล้ว

ปรากฏว่าหลังจากที่สั่งซื้อของตกแต่งวันคริสต์มาสจากอินเทอร์เน็ตมาแล้ว เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากซีอีโอของบริษัทบอมบาร์เดียร์ ซากูนิส บริดจ์ เขาถามฉินสือโอวว่าการเตรียมเงินเป็นอย่างไร การประชุมผู้ถือหุ้นภายในบริษัทบอมบาร์เดียร์สิ้นสุดลงแล้ว พวกเขาตกลงที่จะร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อก่อตั้งบริษัทย่อยทางด้านการเงิน…ชื่อบริษัทบอมบาร์เดียร์ ซี แอร์ไลน์ โฮลดิ้ง

ฉินสือโอวถามว่า “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย ผมเตรียมเงินไว้เจ็ดร้อยล้านดอลลาร์แคนาดา น่าจะเพียงพอสำหรับเค้กก้อนหนึ่งล่ะมั้ง?”

ซากูนิสยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจ “เจ็ดร้อยล้านดอลลาร์? ผมนี่บ้าจริงๆ คุณทำได้ดีมาก! ผมกล้ารับประกันได้เลย ฉิน ต่อไปคุณจะขอบคุณการลงทุนในวันนี้ นี่คือการลงทุนและได้กำไรโดยที่ไม่เสียเงินเลยสักนิด! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกอย่างผ่านไปมูลค่าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

ทั้งสองคนคุยกันอย่างเรียบง่าย ซากูนิสบอกให้เขาเตรียมตัวให้ดี ช่วงนี้บอมบาร์เดียร์จะส่งเครื่องบินพิเศษไปรับเขา หลังจากนั้นก็ไปยังมอนทรีออลเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้น

ฉินสือโอวบอกว่าไม่มีปัญหาเขาจะรอให้วันนั้นมาถึง หลังจากวางสายไปได้ไม่ได้ วินนี่ก็มาหาเขา เธอพูดว่า “เฮ้ คุณตัดสินใจหรือยังว่าจะไปที่บ้านของเหมาเหว่ยหลงเมื่อไหร่?”

ฉินสือโอวรู้สึกสับสน เขาพูดขึ้นว่า “ไม่นะ ผมไม่ได้เตรียมตัวไปหาเขา ทำไมเหรอ?”

วินนี่แสดงสีหน้าออกมาเหมือนว่าแพ้ให้เขาแล้วออกมา พลางพูดขึ้นว่า “ลูกของพี่น้องที่แสนดีของคุณกำลังจะคลอดแล้วนะ ตามการคาดเดาของฉัน อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ อย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้วางแผนที่จะไปเยี่ยม?”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทันใดนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย เขาลืมไปเลยอย่าหลิวซูเหยียนใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว

เขาต้องรีบจัดแพลนไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้าแล้ว ฉินสือโอวจูบวินนี่หนึ่งที วันนั้นเขาต้องไปบินไปยังแฮมิลตัน จากนั้นก็ตรงไปยังฟาร์มของเหมาเหว่ยหลง

ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่ฟาร์มเขากลับไม่เจอใครเลย พอดีกับที่พอลลี่ขับรถกระบะออกมาทำอะไรไม่รู้อยู่พอดี เมื่อเห็นฉินสือโอวเขาก็โบกมือให้อย่างดีใจ “ฉิน? เฮ้ เพื่อนรักของฉัน นายมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?”

“เอ่อ ภรรยาของเหมาใกล้คลอดลูกแล้ว ดังนั้นฉันเลยมาเยี่ยมเผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วยได้บ้าง” ฉินสือโอวตอบกลับ

เมื่อได้ยินดังนั้น พอลลี่ก็หัวเราะออกมา เขากวักมือพลางพูดว่า “รีบขึ้นรถมาเร็ว เพื่อนยาก ลูกของเหมาและภรรยาของเขาได้คลอดที่โรงพยาบาลพระแม่มารีย์ในแฮมิลตัน ฉันกำลังจะรีบไปนี่แหละ ภรรยาของฉันไปก่อนแล้ว ไปกันเถอะ พวกเราไปด้วยกันเถอะ”

ฉินสือโอวรู้สึกทำอะไรไม่ถูก หากไม่เป็นเพราะวินนี่เตือนเขา ครั้งนี้ถือว่าเขาทำเกินไปจริงๆ ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นที่วินนี่คลอดลูก เหมาเหว่ยหลงอยู่กับเขาตลอดเวลา

หลังจากที่มีประสบการณ์ เขาจึงรู้ว่าในช่วงเวลานี้เหมาเหว่ยหลงต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนมากที่สุด ภรรยาคลอดลูกเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนี่เป็นครั้งแรกที่เหมาเหว่ยหลงจะเป็นพ่อคนครั้งแรก

เรื่องของตอนนั้นตั๋วตั่วไม่จำเป็นต้องให้เขาเข้าไปยุ่ง

รถกระบะขับไปยังโรงพยาบาล ตอนที่ฉินสือโอวเจอกับเหมาเหว่ยหลง ไม่รู้เป็นเพราะว่าเขาคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่เพื่อนของเขาคนนี้กลับถือโทรศัพท์มือถือเล่นเกมอยู่ และมีตั๋วตั่วที่พิงอยู่ด้านข้างเขาอย่างตื่นเต้น กลับกลายเป็นว่าเป็นเขาเองที่รู้สึกร้อนใจ ดวงตาเบิกกว้างทั้งสองข้างของเหมาเหว่ยหลงมองไปยังโทรศัพท์ ความสนใจของชายคนนี้อยู่ที่มือถือทั้งหมด

เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวมา หลิวซูเหยียนที่นอนอยู่บนเตียงก็แสดงท่าทีตกใจออกมา เธอต้องการที่จะลุกขึ้นมาทักมาย แต่ฉินสือโอวส่ายหัวปฏิเสธ เขาเดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือจากเหมาเหว่ยหลงออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“เฮ้ อะไรของแกเนี่ย ฉัน…” เหมาเหว่ยหลงเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเป็นฉินสือโอวเขาจึงยิ้มออกมา “เหล่าฉิน? ทำไมแกมาที่นี่ได้ล่ะ? ฉันนึกว่าแกจะไม่มาแล้วเสียอีก”

ฉินสือโอวยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง เขาตอบกลับว่า “ฉันไม่มาได้ด้วยเหรอ? วันสำคัญขนาดนี้เนี่ยนะ? น้องสะใภ้ฉันคลอดลูก จะไม่มาได้อย่างไร? แกพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร โคโกโร่ แกต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟัง”

เหมาเหว่ยหลงยิ้มออกมาพลางพูดว่า “เอาล่ะ อย่ามาเสแสร้งเลย แกจำวันครบกำหนดวันคลอดของซูซูได้เหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอกนะ ไม่ใช่ว่าวินนี่เป็นคนเตือนแกหรอกเหรอ?”

หลังของฉินสือโอวเต็มไปด้วยเหงื่อ แม่งเอ้ย เหมาเหว่ยหลงมองเขาออก เขาจำวันครบกำหนดคลอดของหลิวซูเหยียนไม่ได้จริงๆ และเป็นเรื่องจริงที่วินนี่เตือนเขา

แน่นอน เขาจะยอมรับไม่ได้ ฉินสือโอวทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดขึ้นว่า “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันจะลืมได้เหรอ? แค่ช่วงนี้ฉันยุ่งเท่านั้นเอง เลยไม่ได้มาก่อน จะว่าไป นี่มันเวลาอะไรแล้ว ทำไมกยังเล่นโทรศัพท์อยู่อีก”

เหมาเหว่ยหลงยิ้มออกมา “นี่ไม่ตื่นเต้นเกินไปหน่อยเหรอ? ผ่อนคลายหน่อย”

ฉินสือโอวคืนโทรศัพท์มือถือให้ตั๋วตั่ว ให้เธอเอาไปเล่น ตั๋วตั่วขึ้นมาจุ๊บปากเขาจนเกิดเสียงดัง ‘จุ๊บ’ จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นวิ่งไปที่อีกมุมหนึ่งของห้องเพื่อเล่นโทรศัพท์มือถือ

เหมาเหว่ยหลงขยิบตาให้เธอแล้วพูดว่า “กลับมา หนูสู้ไม่ได้หรอก บอสตัวนี้เก่งกาจมาก…”

ฉินสือโอวไม่ได้อารมณ์เสียกับสิ่งที่เขาทำ เขาลากเหมาเหว่ยหลงไปที่หัวเตียงของหลิวซูเหยียน แล้วพูดว่า “ดูแลภรรยาของแกให้ดี ไม่มีอะไรก็คอยพูดคุยกับเธอซะ ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจฮะ?”

หลิวซูเหยียนยิ้มกว้างมองคนทั้งสองคน ตอนนั้นเองเธอพูดออกมาว่า “เอาล่ะ อย่าคาดคั้นเสี่ยวหลงเลยค่ะ เขาเป็นคนอารมณ์ร้อย จะให้อยู่เงียบๆ ได้อย่างไร?”

เหมาเหว่ยหลงไม่ได้นิ่งไม่เป็น แต่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวก็น่าเบื่อเป็นธรรมดา พอฉินสือโอวมาหาเขาก็มีอะไรทำแล้ว ทั้งสองเล่นเกมออนไลน์ด้วยกัน…

ฉินสือโอวรู้สึกขอบคุณวินนี่ โชคดีที่ภรรยาของเขาเตือน ไม่อย่างนั้นเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ หลังจากที่เขาที่ไปโรงพยาบาลได้สองวัน หลิวซูเหยียนก็ย้ายไปยังห้องคลอด หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพยาบาลก็อุ้มทารกคนหนึ่งออกมา

ฉินสือโอวตะลึงไป พลางถามออกมาว่า “แม้ว่าหลิวซูเหยียนจะบอกว่านี่ไม่ใช่ลูกคนแรก แต่มันก็ไม่ควรจะเร็วขนาดนี้? วินนี่ยังใช้เวลาตั้งมากกว่าครึ่งวันเลยนะ”

เหมาเหว่ยหลงวิ่งเข้าไปอุ้มลูกด้วยความตื่นเต้น ก่อนหน้านี้ที่ทำการอัลตราซาวน์หมอได้แจ้งเพศของลูกของเขาเรียบร้อยแล้ว นั่นคือเพศชาย

แต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ความคิดที่ว่ารักลูกชายมากกว่าลูกสาวสำหรับชาวแคนาดาไม่ได้รุนแรง ตราบใดที่เจรจากับหมอได้พ่อแม่ก็สามารถรู้เพศของลูกได้ แบบนี้ทำให้สามารถเตรียมตัวได้ล่วงหน้า นอกจากนี้การเลี้ยงลูกเพศชายกับเพศหญิงก็ไม่เหมือนกัน

พยาบาลนำลูกของเหมาเหว่ยหลงไปเข้าห้องอบเพื่อเตรียมตัวตรวจร่างกาย นี่เป็นการตรวจเรื่องโครโมโซม เพื่อดูว่าเด็กจะมีปัญหาเรื่องโรคประจำตัวหรือไม่ การตรวจแบบนี้สามารถคาดการณ์โรคที่จะเป็นในอนาคตได้ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาก

เหมาเหว่ยหลงเดินตามพยาบาลไป ฉินสือโอวเดินตามไปข้างๆ เมื่อไปถึงห้องอบ ทั้งสองคนก็ยืนมองผ่านกระจกเข้าไป แต่ว่าลูกของเหมาเหว่ยหลงนั้นอยู่ด้านในสุด ทำไมมองไม่เห็น

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า “ในที่สุดก็วางใจได้สักที”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ในที่สุดก็วางใจได้แล้ว!”

ฉินสือโอวกลอกตาแล้วพูดว่า “นายวางใจอะไรกัน? ฉันวางใจที่ลูกของนายเกิดออกมาแล้วน่าชังกว่าเถียนกวาของฉันเยอะ พูดจริงๆ นะโคโกโร่ เมื่อกี้ฉันเกือบจะร้องไห้เพราะความน่าชังของลูกนายแล้ว”

เหมาเหว่ยหลงกำหมัดด้วยความโมโหหวังจะทุบตีฉินสือโอว ตอนนั้นเองนางพยาบาลก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วชี้ไปที่ป้ายไฟสีเขียวที่ผนังพลางพูดว่า “เงียบๆ ค่ะ โอเคไหม? ฉันคิดว่าพวกคุณคงไม่อยากให้ฉันเรียกรปภ.ขึ้นมาลากพวกคุณไปใช่ไหมคะ”

ฉินสือโอวใช้มือปิดปาก เหมาเหว่ยหลงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มหวาน จนเมื่อนางพยาบาลเดินไป เขาก็หันไปมองฉินสือโอว แล้วพูดว่า “ลูกของฉันจะน่าชังก็ไม่ต้องตกใจไป อย่างไรก็ตามถ้าในอนาคตเขาอยากจะแต่งงานกับลูกสาวนาย ถ้าเถียนกวาไม่รังเกียจก็ใช้ได้”

เมื่อได้ยินดังนั้นฉินสือโอวก็ตกตะลึง เขาคิดขึ้นมาทันทีว่า ตัวเองกับเหมาเหว่ยหลงได้จองตัวลูกสาวลูกชายกันไว้แล้ว…

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท