ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1414 การประชุมบอมบาร์เดียร์

บทที่ 1414 การประชุมบอมบาร์เดียร์

ฉินสือโอวมองไปยังท่าทีของลูกชายของเหมาเหว่ยหลง ในใจของเขารู้สึกลำบากใจ

จริงๆ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อโง่ที่หลอกลูกสาว…

“ถ้าตอนนี้ฉันบอกว่า ที่ผ่านมาล้อเล่นล่ะ แกว่าจะโอเคไหม?” ท่านชายฉินค่อยๆ พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

เหมาเหว่ยหลงตบบ่าของเขาแล้วพูดว่า “อย่าไปคิดเลย นายแค่ภาวนาขอให้นาคตลูกชายของฉันโตมาหล่อสักหน่อยก็พอ ไม่อยากนั้นเสี่ยวเถียนกวาก็จะได้แต่งงานกับคนหน้าตาไม่ดีแล้วล่ะ แต่นั่นก็คงไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหม? ดูนายที่เหมือนหมีสิ เถียนกวาอาจจะไม่ได้สวยเท่าไหร่ ยังบอกไม่ได้หรอกว่าใครกันแน่ที่จะเดือดร้อน ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา ทั้งสองคนกลับไปยังห้องพักเพื่อดูอาการของหลิวซูเหยียน เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเอนหลังนอนบนเตียงดูวิดีโอกับวินนี่ พวกเธอทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาสภาพจิตใจหลังจากการคลอดลูก ตั๋วตั่วอยู่ข้างๆ คอยส่งน้ำส่งผลไม้ให้แม่ ราวกับเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน

หลังจากที่เห็นท่าทางของตั๋วตั่ว เหมาเหว่ยหลงก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก เขาพูดออกมาเสียงทุ้มต่ำว่า “ทำไมท่าทางของเราสองคนกลับสู้เด็กคนหนึ่งไม่ได้เลยล่ะ?”

ฉินสือโอวตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “ฉันคิดว่าสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วนคืออย่าให้ภรรยาของแกเล่นโทรศัพท์มือถือล่ะมากกว่าไหม? ของสิ่งนี้มีแสงรังสี แกรู้ใช่ไหม?”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะออกมาอย่างไม่สนใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ถูกพิสูจน์มาตั้งนานแล้วว่าไม่เป็นความจริง โอเคไหม? รีงสีจากโทรศัพท์มือถือแล้วยังไง? ใช้ไมโครเวฟหนึ่งครึ่ง รังสีมากกว่าใช้โทรศัพท์มือถือหนึ่งชั่วโมงอีก แกคิดว่าหลังจากที่ผู้หญิงแคนาดาคลอดลูกแล้วพวกเธอจะไม่ใช่ไมโครเวฟเหรอ?”

หลังจากนั้นอีกสองสามวันฉินสือโอวคอยอยู่กับเหมาเหว่ยหลงตลอด อากาศที่แฮมิลตันดีกว่าที่นครเซนต์จอห์นส์นิดหน่อย เนื่องจากอยู่ใกล้กับน้ำตกไนแอการาทำให้มีไอน้ำมาก แต่เนื่องจากไกลจากมหาสมุทรจึงทำให้ไม่มีลมแรง สถานที่ที่อยู่บริเวณใต้สุดแคนาดาจึงมีอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น ฉินสือโอวอยู่ที่นี่สองสามวันรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

วันที่สิบหก ซากูนิสได้โทรศัพท์มาหา เขาบอกกับฉินสือโอวว่าการประชุมบอมบาร์เดียร์ได้กำหนดวันแล้ว นั่นคือวันที่ยี่สิบ ให้เขามาถึงช้าที่สุดคือภายในวันที่สิบแปด เมื่อถึงเวลานั้นเขาต้องเข้าร่วมการประชุมและร่วมงานเลี้ยงด้วย

เพราะว่าต้องไปงานเลี้ยง ฉินสือโอวจึงต้องการคนในครอบครัวไปด้วย ด้วยความใจกว้างบริษัทบอมบมาร์เดียร์จึงส่งเครื่องบินพิเศษมาให้สองลำ ลำหนึ่งบินไปรับวินนี่ที่มหานครเซนต์จอห์นส์ ส่วนอีกลำบินมารับฉินสือโอว

ถึงจะตกต่ำแต่ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน แม้ว่าบอมบาร์เดียร์จะเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ทางการเงิน แต่การใช้ทรัพยากรที่มีก็ยังคงทำให้ผู้คนตกตะลึงอยู่บ้าง กิจการนี้ไม่มีทางปิดตัวลงได้ เนื่องจากมีรากฐานที่ใหญ่โตพอ ทำให้มีทรัพยากรที่มองไม่เห็นอยู่มากมาย

แต่ว่าฉินสือโอวไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ว่าทำไมบอมบาร์เดียร์ต้องส่งเครื่องบินสองลำมารับคนด้วย? เห็นได้ชัดว่าสามารถไปรับวินนี่ที่นครเซนต์จอห์นส์ก่อน หลังจากนั้นค่อยบินมายังแฮมิลตันเพื่อรับเขาไปยังมอนทรีออลก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

เรื่องที่สามารถเป็นไปได้มากที่สุด คือบอมบาร์เดียร์กำลังแสดงความใจกว้างต่อนักลงทุนที่มีศักยภาพอย่างเขา

แฮมิลตันอยู่ใกล้กับมอนทรีออลมาก อย่างน้อยก็อยู่ใกล้กว่านครเซนต์จอห์นอยู่มาก ดังนั้นฉินสือโอวจึงมาถึงยังเมืองนี้ล่วงหน้าก่อนวินนี่ครึ่งวัน

ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่นี่แล้ว ครั้งแรกที่มาคือมาซื้อเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินสำหรับการเกษตร มาครั้งนี้อีกครั้ง เขาไม่ใช่คนรวยที่มาซื้อเครื่องบินลำเล็กๆ แต่คราวนี้เขาคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทการบินและอวกาศอันดับหนึ่งของแคนาดา

แม้ว่า การเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเขาจะถูกซื้อด้วยเงินที่กู้มาก็ตาม

ซากูนิสมารอรับฉินสือโอวด้วยตัวเอง เขาไปส่งฉินสือโอวยังโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง หลังจากถึงที่หมายฉินสือโอวก็กวาดสายตามองดูรอบๆ และพบว่าบรรยากาศที่นี่ดูคุ้นตามาก โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลาชิน ที่ถูกขนาดนามว่า ‘สายลมโชย’ ที่นี่เป็นที่ที่เขามาพักในตอนที่มาซื้อเครื่องบินที่มอนทรีออลครั้งแรก

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เขาพูดเรื่องนี้ออกมา ซากูนิสก็หัวเราะออกมาเช่นกัน พลางพูดขึ้นว่า “งั้นคุณคิดว่า ทำไมผมถึงจัดเตรียมสถานที่แห่งนี้ให้คุณล่ะครับ?”

เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของซากูนิส ฉินสือโอวก็ตอบกลับด้วยความตกตะลึงว่า “คุณตรวจสอบมาก่อนงั้นเหรอ?”

ซากูนิสตอบว่า “ไม่ต้องถึงกับตรวจสอบหรอกครับ บอมบาร์เดียร์เป็นเจ้าของเมืองแห่งนี้ หากเจ้าของต้องการรู้ว่าภายในบ้านของตัวเองเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉินสือโอวยกนิ้วให้ คำนี้ช่างมีอำนาจเสียจริง ความร้ายกาจนี้เขาให้คะแนนเต็มเลย เขาจำเป็นต้องคารวะให้แก่ซากูนิสเลย

เมื่อเปิดห้องเพรซิเดนสวีตเรียบร้อยแล้ว ซากูนิสก็พาเขาเข้าไปภายในห้อง เขาเดินไปเปิดหน้าต่างพลางมองไปยังวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำลาชินด้านนอก จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ผมขอแจ้งข่าวแก่คุณก่อน นอกจากเงินลงทุนจำนวนหนึ่งพันล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลควิเบกลงทุนให้แล้ว พวกเราได้บรรลุข้อตกลงกับสถาบันจัดการแผนบำนาญและโครงการประกันรัฐควิเบกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะลงทุนเพิ่มอีกหนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลลาร์”

“พระเจ้า” ฉินสือโอวอุทานออกมาด้วยความตกใจ

สำหรับเขาแล้วนี่ถือเป็นข่าวที่ดี ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนกองทุนของรัฐที่น่าร่วมทุนที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะว่าตามชื่อแล้ว สิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็คือเงินบำนาญ ดังนั้นต้องระมัดระวังในการลงทุนเป็นอย่างมาก พยายามมั่นใจว่าในทุกการลงทุนจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดี อย่างน้อยก็ต้องไม่เสียเงินไป!

เมื่อชาวแคนาดาเกษียณอายุ เงินของพวกเขาทั้งหมดขึ้นอยู่กับเงินบำนาญ การเสียเงินบำนาญสำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อรัฐบาลออกจากตำแหน่งจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดเรื่องขึ้นบ่อยๆ

ซากูนิสพูดว่า “ตามข้อตกลงการลงทุนครั้งนี้ สถาบันจัดการแผนบำนาญและโครงการประกันรัฐควิเบกสามารถลงทุนในบริษัทโฮลดิ้งได้ร้อยละสามสิบ รัฐบาลควิเบกถือหุ้นร้อยละยี่สิบ คุณจะสามารถถือหุ้นได้ประมาณร้อยละสิบสาม ยังมีผู้ลงทุนเอกชนอีกร้อยละสอง ส่วนอีกร้อยละสามสิบห้าจะอยู่ในมือของบอมบาร์เดียร์”

ฉินสือโอวยิ้มออกมา “งั้นผมก็เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับที่สี่น่ะสิ?”

ซากูนิสมองด้วยสายตาอิจฉา แล้วพูดขึ้นว่า “สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับหนึ่งครับ เพราะว่าหุ้นพวกนั้นเป็นหุ้นของบริษัทหรือไม่ก็ของรัฐบาล มีเพียงคุณเท่านั้นที่เป็นผู้มาซื้อหุ้น ต้องพูดว่า ฉิน คุณเป็นผู้ชนะที่น่าหมั่นไส้จริงๆ”

ฉินสือโอวหยิบขวดแชมเปญออกมาหนึ่งขวดแล้วพูดว่า “ถ้างั้นตอนนี้พวกเราควรจะฉลองกันสักหน่อยไหม?”

ซากูนิสยิ้มออกมา “สองสามวันหลังจากนี้ก็ยังมีโอกาสฉลอง มาๆ ตอนนี้คุณต้องคอยดูสถานการณ์ของบริษัทโฮลดิ้งให้ดี ผมจะให้ข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดแก่คุณ คุณจะต้อง จะต้อง จะต้องห้ามหลุดออกไปเด็ดขาด!”

“ถ้าผมหลุดปากออกไปล่ะ?” ฉินสือโอวถามออกมา

ซากูนิสยักไหล่แล้วพูดออกมาว่า “ผมก็คงต้องรับโทษและลาออก จนถึงอาจจะมีคดีความได้เลย”

พูดกันตามตรง ฉินสือโอวตกใจมาก เขาพูดออกมาว่า “หนักขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่คุณก็ยังบอกผมงั้นเหรอ?”

ซากูนิสพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณเคยช่วยชีวิตผมไว้ ฉิน ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณ! ดังนั้น ครั้งนี้ที่คุณลงทุนหุ้นจนเกือบหมดทั้งบริษัทของพวกเรา ผมต้องทำให้คุณปลอดภัยแน่นอน ผมไม่ทำให้คุณตกอยู่ในอันตรายแน่นอน!”

หลังจากที่ฉินสือโอวมาถึงแคนาดา เขาก็ได้สัมผัสกับสังคมคนชั้นสูงมากมาย เขาพบว่านายทุนเหล่านี้เป็นแวมไพร์ดูดเลือด มีหลักการและกฎเกณฑ์มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป บางทีที่พวกเขาสามารถมาถึง ณ จุดนี้ได้ เป็นเพราะว่าพวกเขามีหลักการและกฎเกณฑ์มากกว่าคนทั่วไป

ซากูนิสทิ้งกระเป๋าเอกสารไว้ให้และจากไป ฉินสือโอวหยิบเอกสารกองหนาออกมาแล้วเริ่มอ่านมัน

แผนพัฒนาเครื่องบินเจ็ทซีรีส์ซีของบริษัทบอมบาร์เดียร์ล่าช้าไปมากกว่าสองปี เรื่องนี้ถือว่าแย่มาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโลกภายนอกมากนัก

พวกเขาใช้เงินมากกว่าสองพันล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ จำนวนดูเหมือนจะมาก แต่อันที่จริงแล้วสำหรับบอมบาร์เดียร์ไม่ได้ถือว่ามากมายนัก อีกอย่างในช่วงกลางปีนี้ เครื่องบินเจ็ทซีรีส์ซีก็ได้พัฒนาจนสำเร็จแล้ว แต่เหตุผลที่ผ่านมานานแล้วยังไม่เข้าสู่ตลาดสักที เป็นเพราะว่าในช่วงที่พวกเขาพัฒนาซีรีส์ซี พวกเขาได้พัฒนาเครื่องบินเจ็ทรุ่นใหม่ออกมา

…………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท