ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1416 ยักษ์ใหญ่ทั้งสี่แห่งบอมบาร์เดียร์

บทที่ 1416 ยักษ์ใหญ่ทั้งสี่แห่งบอมบาร์เดียร์

ไม่รู้ว่าแนวป้องกันถูกเจาะเข้ามาตอนไหน ทำให้เหล่าผู้ชุมนุมพากันกรูเข้ามาในเวลาอันรวดเร็ว

เหล่าคนงานพากันเข้ามาประท้วงโรงแรม อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายใคร โดยเฉพาะผู้บริหารคนใหม่ของบอมบาร์เดียร์ พวกเขาต้องการเพียงกลับไปยังตำแหน่งงานเดิมของพวกเขา ชาวแคนาดาไม่ได้มีนิสัยชอบประหยัดเงิน การไม่มีงานทำก็เท่ากับการทำให้ครอบครัวแตกแยก

ดังนั้นเมื่อพังแนวป้องกันมาได้ในตอนแรกพวกเขาจึงมีท่าทีตอบสนองช้าเล็กน้อย พวกเขามองไปยังซากูนิสที่อยู่ด้านหน้า ในชั่วนาทีหนึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

พวกเขาตะโกนออกมาสุดเสียง เมื่อเจอเข้ากับปัญหาพวกเขาก็ยังคงเป็นคนที่ตาบอด เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

แต่คนมาประท้วงค่อนข้างเยอะ ท้ายที่สุดแล้วมักจะมีคนไม่พอใจกับบอมบาร์เดียร์เสมอ นอกจากนี้ยังมีคนไม่ได้เรื่องอีกสองสามคน พวกเขาต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไหลทะลักฝ่าแนวป้องกันเข้ามาราวกับน้ำไหล ไม่นานพวกเขาก็มายืนล้อมรอบซากูนิสไว้

เหล่าตำรวจและเจ้าหน้าที่โรงแรมต่างมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง พวกเขารีบกุลีกุจอเรียกบอดี้การ์ดมาปกป้องซากูนิส แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและบอดี้การ์ดต่างพากันไปสกัดกั้นผู้ชุมนุม ทำให้ไม่มีใครสามารถมาจัดการตรงนี้ได้

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่คนพวกนี้จะไม่กล้าพุ่งเข้ามาทำร้ายจริงๆ ถูกผู้ชุมนุมตีจนตายถือว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ในสถานการณ์แบบนี้ไม่สามารถเป็นฆาตกรได้หรอก

ซากูนิสมองสถานการณ์ใหญ่ๆ แบบนี้ออกไม่มีผิดเพี้ยน แต่เขาเป็นคนมีการศึกษา เป็นผู้บริหารระดับสูง เขาจะไปหาประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้จากที่ไหนกันล่ะ? เขาตกใจกลัวมากจนไม่รู้จะไปหลบอยู่ที่ไหนดี อีกทั้งคนพวกนี้ก็พุ่งเข้ามาที่ด้านหน้าของเขาโดยตรง พวกเขายื่นมือออกมาหมายจะรุมทึ้งเขา…

ในช่วงเวลาที่สำคัญ หน้าต่างชั้นสองก็ถูกเปิดออกมา จากนั้นก็มีร่างของคนคนหนึ่งกระโดดลงมา!

แน่นอนว่าต้องเป็นฉินสือโอว โชคดีที่ห้องประชุมของโรงแรมอยู่ที่ชั้นสอง เขาคอยดูสถานการณ์อยู่ที่ด้านหลังหน้าต่างตลอด เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนฝ่าแนวป้องกันมาได้เขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงรีบถอดชุดสูทออกและกระโดดลงมา

ช่วงเวลาสั้นๆ ท่านชายฉินก็เปลี่ยนร่างเป็นหวงเฟยหง เขาโบกมือไปมาตอนที่กระโดดลงมาจากชั้นสอง เขาโยนเสื้อสูทไปคลุมหัวของผู้ชุมนุมสองสามคนแรกที่อยู่ด้านหน้า หลังจากที่ถึงพื้นเขาก็กระแทกไหล่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับวัวกระทิงเพื่อโจมตีคนที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็เอื้อมมือไปจับซากูนิสแล้วพาวิ่งออกไปด้านหลัง

คนที่อยู่รอบๆ มีจำนวนมาก คนพวกนั้นยื่นมือออกมาจะคว้าพวกเขาทั้งสองคน ซากูนิสหวาดกลัวมาก เขาตะโกนออกมาว่า “โว้ พระเจ้า! ผมถูกจับแล้ว!”

ฉินสือโอวหันกลับไปมองเขาเห็นว่ามีคนจับเสื้อสูทของซากูนิสอยู่ เขาหันตัวกลับไปแล้วทำท่ากระต่ายดีดนกอินทรี รองเท้าหนังมันวาวลอยไปทั่วอากาศ คนที่อยู่ด้านหลังสองสามคนถูกเขาเตะจนถอยหลังไป

ที่ด้านหน้าก็มีคนจับฉินสือโอวไว้เหมือนกัน เขารีบถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คว้าซากูนิสมาอีกครั้ง แล้วลากซากูนิสเข้าไปยังประตูโรงแรม

เบิร์ด แบล็คไนฟ์ตามออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขาอยู่ที่ประตูโรงแรมพอดี เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังถอดชุดสูทออกแล้วก็ยังมีคนจับไว้ พวกเขาทั้งสองคนก็รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยอย่างรวดเร็ว ในที่สุดฉินสือโอวก็หลุดออกจากฝูงชน แล้วลากซากูนิสเข้ามายังโรงแรมได้

ผู้บริหารคนอื่นๆ ของบอมบาร์เดียร์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุวิ่งเข้ามาในโรงแรมด้วยความตื่นตระหนก เหล่าตำรวจและบอดี้การ์ดเข้ามาทีหลังจะคอยกันประตูโรงแรมไว้ แบบนี้จึงจะสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของเหล่าผู้บริการระดับสูงไว้ได้

มือทั้งสองข้างของซากูนิสสั่นไปมา ไม่รู้ว่าเพราะใช้พลังเยอะหรือว่ากลัวกันแน่ พนักงานคนหนึ่งนำชุดคลุมมาให้ฉินสือโอว พลางพูดขึ้นว่า “คุณครับ เชิญสวมเสื้อคลุมตัวนี้ก่อนครับ”

ตอนนี้ฉินสือโอวและซากูนิสอยู่ในสภาพที่น่าอับอายมาก ตอนนี้ร่างกายท่อนบนของเขามีเพียงเสื้อกล้ามตัวเดียว ส่วนซากูนิสยังมีเสื้อเชิ้ตอยู่ แต่ว่าก็ถูกดึงไปอยู่หลายครั้ง จนแขนเสื้อข้างซ้ายไม่มีอยู่แล้ว…

ฉินสือโอวส่งเสื้อคลุมให้ซากูนิส พลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหอบหนักว่า “ฟัค! ให้คุณสวมเถอะ ผมว่าตอนนี้คุณดูเหมือนต้องการสิ่งนี้มากกว่าผมเสียอีก!”

ผู้จัดการแผนกต้อนรับของโรงแรมนำมาบรั่นดีมาให้หนึ่งขวด เขารินให้คนทั้งสองคนละแก้ว เมื่อดื่มเหล้านี้แล้ว ซากูนิสก็ค่อยๆ สงบลง ฉินสือโอวยังดีที่เขาเตรียมตัวมาดี อีกอย่างเขามักจะทะเลาะกับพวกคนในทะเล ดังนั้นจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อเขามากนัก

ซากูนิสยิ้มให้ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้นมาว่า “ขอบคุณนะ ฉิน เมื่อกี้ลำบากคุณแล้ว ผมคิดว่าตอนนี้ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณแล้วสองครั้ง!”

ฉินสือโอวตบไหล่เขาอย่างปลอบประโลมพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมบังเอิญอยู่เหนือคุณพอดี ผมว่า พวกคุณควรจะทำอะไรสักอย่างไหม? ไม่อย่างนั้นต่อไปผมคงต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริหารอย่างพวกคุณแน่!”

พูดถึงปัญหานี้ ซากูนิสก็มีสีหน้าแย่ลงขึ้นมาทันที เขาพูดลอดไรฟันออกมาด้วยความโมโหว่า “เดิมที่ที่ผมมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะบอกคนพวกนั้นว่าบริษัทจะรับพวกเขากลับเข้าทำงาน! แต่พวกเขาทำเกินไปแล้ว แบบนั้นก็ฝันไปเสียเถอะ! ผมไม่อนุมัติให้บอมบาร์เดียร์รับคนเหล่านั้นกลับเข้ามาทำงาน! แม้แต่คนเดียวก็ไม่ให้!”

เหล่าผู้บริหารที่อยู่ในโรงแรมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เรื่องวุ่นวายในวันนี้ดูแย่มาก หากไม่ใช่เพราะฉินสือโอวยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่าที่นั่งตำแหน่งประธานบริษัทบอมบาร์เดียร์จะถูกแทนที่อย่างแน่นอน

ผู้เข้าร่วมการประชุมหลายคนที่พวกเขาเชิญเข้ามาทักทายซากูนิสและคนอื่นๆ หลังจากนั้นก็ออกจากห้องโถงไป ท่าทีเหล่านี้แสดงถึงทัศนคติของพวกเขา นั่นก็คือพวกเขาไม่ได้มีความสนใจอะไรในการก่อตั้งบริษัทย่อย

ซากูนิสไม่ได้สนใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก บอมบาร์เดียร์ได้ผู้ลงทุนรายใหญ่มาแล้วสามราย ความต้องการในการลงทุนขั้นพื้นฐานได้รับการตอบรับแล้ว การลงทุนของนักลงทุนอื่นๆ เป็นเพียงการตบแต่งเท่านั้น อีกอย่างตอนนี้ผ้าไหมโบราณของบอมบาร์เดียร์ ตอนนี้สามารถขายได้โดยที่ไม่ต้องมีของตกแต่งแล้ว

เมื่อเช่นนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าฉินสือโอวนั้นเป็นคนทรงคุณค่ายิ่งขึ้นไปอีก ซากูนิสพูดกับเขาเสียงเบาว่า “เพื่อน ผมคิดว่าบางทีเราอาจจะไม่ต้องระดมเงินทุนจากภายนอกนะ ถ้าหากคุณสามารถทำเงินได้สูงอีกหน่อย รวมกับของเดิมที่มีอยู่แล้วคุณถือหุ้นไปเลยร้อยละสิบห้า!”

ฉินสือโอวถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “คณะกรรมการจะอนุมัติเหรอ? พวกคุณต้องการที่จะหาเงินทุนจากภายนอกไม่ใช่เหรอ?”

ซากูนิสตอบว่า “เรื่องนี้ให้ผมจัดการเถอะ ผมทำให้คณะกรรมการตกลงให้เรื่องนี้ได้ สำหรับการหาเงินทุนจากภายนอกงั้นเหรอ?” เขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “เดินทีผมคิดว่าจะให้พวกเขาได้ดื่มน้ำซุปร้อนๆ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สนใจ งั้นต่อไปผมจะทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจแล้วกัน!”

ฉินสือโอวถือหุ้นในมือราวร้อยละสิบสาม ถ้าหากจะเพิ่มเงินไปจนถึงร้อยละสิบห้า แบบนั้นเขาต้องลงทุนเพิ่มอีกประมาณร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์ เงินพวกนี้เขาสามารถหามาได้ เพราะว่าเขายังมีทองคำอย่างน้อยอีกหนึ่งร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์ที่ยังไม่ได้นับ และนี่คือเงินดอลลาร์ทั้งหมด!

วันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่โรงแรม การประชุมผู้ถือหุ้นในบริษัทบอมบาร์เดียร์ ซี แอร์ไลน์เนอร์ โฮลดิ้งก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ฉินสือโอวตัดสินใจลงทุนเพิ่มอีกร้อยห้าสิบล้านอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้เขาจึงการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสี่ลองมาจากบอมบาร์เดียร์ สถาบันจัดการแผนบำนาญและโครงการประกันรัฐควิเบกและรัฐบาลควิเบก!

ก่อนที่มีการรายงานไปก่อนหน้านี้ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัทบอมบาร์เดียร์ ซี แอร์ไลน์เนอร์ โฮลดิ้ง ผู้มอบหมายให้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของควิเบก ซาร่า เบบี้ แจ็คสัน เขาเป็นผู้แนะนำแผนการทำงานในครึ่งปีแรกของปีหน้าและงบประมาณของแผนกต่างๆ ในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรกนี้

ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป บริษัทย่อยแห่งนี้จะเริ่มเข้าสู่ตลาดเครื่องบินโดยสารพลเรือนอย่างเป็นทางการ แจ็คสันพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่า “พวกเรามีเครื่องบินที่พร้อมส่งมอบแล้วสองลำ พวกเรามีคำสั่งซื้อเครื่องบินแล้วสิบลำ ปีหน้าพวกเราจะขายเครื่องบินเพิ่มมากขึ้นไปจนกว่าพวกเราจะสามารถครองตลาดเครื่องบินพาณิชย์ได้!”

ฉินสือโอวปรบมือ เขาหวังว่าปีหน้าเขาจะสามารถเห็นผลประกอบการนี้ ตอนนี้เขาเหนื่อยกับการเป็นหนี้มาก เขาต้องรีบไปหาซากเรืออับปาง หลังจากนั้นต้องใช้ประโยชน์จากงานประมูลของบริษัทจัดประมูลริชชี่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิในการสร้างรายได้

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท