ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1417 คบเพลิงในฤดูหนาว

บทที่ 1417 คบเพลิงในฤดูหนาว

ฉินสือโอวไม่ได้อยู่ร่วมงานฉลองตอนเย็นที่บริษัทบอมบาร์เดียร์เตรียมไว้ ซากูนิสอยากจะแนะนำให้เขารู้จักกับเศรษฐีควิเบกเสียหน่อย แต่ฉินสือโอวปฏิเสธ “เดือนนี้ผมงานยุ่งมาก เพื่อน ไว้วันหลังมีโอกาสผมค่อยมาเยี่ยมพวกเขาอีกทีดีไหม? ผมคิดว่าผมควรจะกลับไปให้เร็วที่สุด”

ตอนนี้ซากูนิสรู้สึกดีกับเขาเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวพูดแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่บังคับให้อยู่ต่อ เขาจัดเตรียมเครื่องบินรุ่นโกลบอลสองพันไว้เพื่อไปส่งพวกของฉินสือโอวกลับไปยังฟาร์มปลา

ในขณะที่กำลังกลับฟาร์มปลา ท้องฟ้าก็กลับมาครึ้มและมีหิมะตกลงมาอีกครั้ง ฉินสือโอวมองไปยังท้องฟ้าอันมืดครึ้ม แล้วถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าปีนี้หิมะจะตกลงมาอีกไม่น้อยเลยนะ”

ในตอนที่พวกเขาลงจากเครื่องบินหิมะก็เริ่มตกลงมาอีกครั้ง ฉินสือโอวเดินเข้าไปในบ้านและเห็นวัยรุ่นสองสามคนกำลังยุ่งวุ่นวายกับการย้ายเสื้อโค้ตที่อยู่บนรถเลื่อนเข้าไปในบ้าน

บนรถเลื่อนเต็มไปด้วยเสื้อโค้ตที่มีหลายขนาดและมีทรงทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง เมื่อเห็นดังนั้นฉินสือโอวก็ถามออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “เฮ้ นักล่าทั้งหลาย พวกนายอยากทำธุรกิจเสื้อโค้ตหรือยังไง?”

เชอร์ลี่ย์มองไปยังฉินสือโอวด้วยแววตาเปล่งประกาย แล้วถามออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “เฮ้ ฉิน พวกคุณกลับมาแล้วเหรอคะ?”

ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดออกมาว่า “แน่นอน แต่ว่าเธอยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ พวกเธอจะทำธุรกิจเสื้อโค้ตเหรอ?”

เชอร์ลี่ย์ตบเสื้อโค้ตพวกนั้นเบาๆ แล้วพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ไม่ใช่ค่ะ โรงเรียนของพวกเราจะจัดงานการกุศลในวันคริสต์มาส สัปดาห์นี้พวกเราจะไปตามถนนในนครเซนต์จอห์น และแจกจ่ายเสื้อโค้ตให้กับคนไร้บ้าน”

ฉินสือโอวพยักหน้า “เป็นกิจกรรมที่ดี พวกเธอไปได้เสื้อโค้ตมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันตกใจจริงๆ นะเนี่ย พวกเธอไปเอามาจากไหนกัน?”

โรงเรียนในนิวฟันแลนด์มักจะจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับความรักเสมอ พวกเขาให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความรักและคุณธรรมให้แก่เด็กๆ เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก เมื่อเทียบกับโรงเรียนในประเทศจีนแล้วถือว่าดีกว่า

“ส่วนหนึ่งเป็นเสื้อโค้ตที่ไม่ได้ใช้แล้วของลุงๆ อาๆ ชาวประมงที่เอามาให้พวกเรา ส่วนหนึ่งเป็นของที่พวกเราใช้เงินซื้อมาจากในเมือง คุณดูสิ เสื้อขนเป็ดตัวนี้ยังไม่ได้ใช้เลย ทั้งหมดนี้พวกเราได้มาในราคาถูก” เชอร์ลี่ย์เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยความภาคภูมิใจ ท่าทางราวกับหงส์ตัวน้อย

ฉินสือโอวยิ้มออกมา “พวกเธอมีเงินเหรอ? ต้องการเงินสมทบทุนจากฉันไหม?”

เชอร์ลี่ย์โบกมือส่ายหัวไปมาพลางพูดว่า “ยังไม่ต้องค่ะ ตอนปิดเทอมฤดูร้อนพวกเราไม่ได้ใช้เงินมากนัก เมื่อรวมกับเงินค่าขนมที่ปู่เออร์ให้แล้ว พวกเรามีเงินพอค่ะ”

เพราะแบบนี้ ฉินสือโอวจึงต้องช่วยสนับสนุนกิจกรรมของวัยรุ่นพวกนี้ด้วยวิธีอื่น เขาขึ้นไปชั้นบนแล้วเปิดตู้ใบหนึ่ง เมื่อเขาหาพวกเสื้อโค้ตหนาๆ เช่นพวกเสื้อขนเป็ดเจอจำนวนหนึ่ง เขาก็เอามันมาให้กับพวกเชอร์ลี่ย์

เชอร์ลี่ย์เข้ามาช่วยฉินสือโอว เมื่อเธอเห็นเสื้อโค้ตหนาตัวหนึ่งเธอก็โยนมันออกมา ฉินสือโอวพูดกับเธอด้วยความปวดใจว่า “เฮ้ ที่รัก นี่เป็นเสื้ออาร์คเทอริกซ์ ที่ฉันเพิ่งซื้อมาเมื่อปีที่แล้วและใส่ไปแค่สองครั้งเองนะ”

“ใช่แล้ว ปกติคุณก็ไม่ได้ใส่อยู่แล้ว หนึ่งปีใส่แค่สองครั้ง คุณไม่ชอบมันใช่ไหมล่ะ?” เชอร์ลี่ย์เก็บมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “งั้นเสื้อตัวอื่นๆ แทนที่จะปล่อยให้มันกลายเป็นของไร้ค่า สู้เอาไปช่วยคนที่เขาจำเป็นต้องใช้มันดีกว่า”

ฉินสือโอวสำลักออกมา “ฉันก็คือคนที่จำเป็นต้องมีมันไง!”

เสื้อตัวนี้เป็นของที่เขาเพิ่งจะได้มา เขาวางแผนที่จะใส่มันไปกรีนแลนด์หลังวันคริสต์มาส ปรากฏว่ากลับกลายเป็นของราคาถูกที่จะถูกส่งให้กับคนไร้บ้านในเซนต์จอห์น

แต่ว่าเมื่อถึงเวลากลางวัน ฉินสือโอวก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกต่อไป เพราะว่าชาร์คที่เข้ามาหาลูกชายของเขาด้วยความโมโหตะโกนออกมาว่า “ไอ้ลูกเวร เสื้อโค้ตเบอร์เบอร์รี่ของฉันอยู่ที่ไหน? แม่งเอ๊ย แกทำอะไรกับมัน?”

เสี่ยวชาร์คพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผลว่า “เสื้อตัวนั้นพ่อไม่ได้ใส่อยู่แล้วนี่ หลังจากที่แม่ซื้อให้พ่อ พ่อก็เก็บมันเอาไว้ที่ล่างสุดของกล่อง”

ชาร์คคำรามออกมาว่า “ฉันก็แค่ตัดใจที่จะใส่มันไม่ได้! เสื้อตัวนั้นราคาตั้งสองพันนะ สองพันดอลลาร์ สองพันดอลลาร์เลยนะ!”

เบอร์เบอร์รี่และอาร์คเทอริกซ์เหมือนกัน ทั้งสองเป็นแบรนด์ระดับโลก เป็นของที่มีราคาแพง

หลังจากชาร์คมาถึง ซีมอนสเตอร์ก็เข้ามาด้วยโมโห ฉินสือโอวมองตามไปด้วยสายตาสงสารพลางพูดว่า “มาหาเสื้อโค้ตของตัวเองงั้นเหรอ?”

ซีมอนสเตอร์ส่ายหัว เขาพูดลอดไรฟันออกมาว่า “มากกว่าเสื้อโค้ตอีกน่ะสิ ยังมีรองเท้าบูตลุยหิมะ ถุงมือ ผ้าพันคอ หมวกหนัง มันน่าจริงๆ ของพวกนี้เป็นของที่ผมวางแผนว่าจะเอาไปใส่ที่ขั้วโลกเหนือ เพิ่งจะเก็บไปเองจู่ๆ ก็หาไม่เจอแล้ว!”

สุดท้ายเป็นแลนซ์ที่เดินเข้ามา ลอเรนซ์มองเขาด้วยแววตาเสียใจพลางพูดขึ้นว่า “พ่อ เสื้อผ้าที่เอามาเป็นเสื้อเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วที่อยู่ในห้องใต้ดิน ก่อนหน้านี้พ่อยังบอกเลยว่าทิ้งพวกมันไว้ที่นั่น”

แลนซ์พูดออกมาเสียงเบาว่า “พ่อรู้ ลูกรัก ลูกบอกพ่อมาว่าเสื้อของพ่ออยู่ที่ไหน พ่อจะไปหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า…พระผู้เป็นเจ้า ฉันซ่อนเงินทั้งปีของฉันไว้ ทั้งหมดอยู่ในเสื้อผ้าที่น่าเอาไปทิ้งพวกนั้น!”

เสื้อผ้าเก่าเหล่านี้ยังคงต้องทำความสะอาดและตากให้แห้ง สองวันถัดมา เครื่องซักผ้าและเครื่องอบปลาที่ฟาร์มปลาก็กลายเป็นของที่พวกเด็กๆ ต้องการ ไม่นานเสื้อโค้ตทั้งหมดก็ถูกกองไว้ที่ฟาร์มปลาเป็นกองขนาดใหญ่

เมื่อถึงสุดสัปดาห์ ฉินสือโอวก็ขับรถกระบะมาขนเสื้อโค้ตพวกนั้นไปยังเรือข้ามฟาก กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมสายสัมพันธ์ เขาที่เป็นผู้ปกครองต้องเข้าร่วมกิจกรรม ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นคุณปู่เออร์บัก แต่ว่าคุณปู่ไม่เหมาะที่จะออกมาข้างนอกในวันที่หิมะตกหนักแบบนี้

ช่วงนี้ท้องฟ้าไม่สดใส สองสามวันมานี้หิมะตกตลอด ลมทะเลพัดโชยมายังนครเซนต์จอห์นอย่างรุนแรง ทำให้เด็กๆ และพวกผู้ปกครองถูกแช่แข็งด้วยฝนที่โปรยปรายลงมา

กิจกรรมในครั้งนี้ คือการให้เด็กๆ เอาเสื้อโค้ตไปผูกไว้ตามเสาไฟฟ้า หลังจากนั้นคนไร้บ้านหรือคนที่ต้องการมันจริงๆ ก็สามารถมาหยิบไปได้ตามสบาย

กิจกรรมเริ่มตั้งแต่ที่ท่าเรือเป็นต้นมา รถของผู้ปกครองแยกออกไปตามถนน เพื่อตามหาเสาไฟฟ้า

ฉินสือโอวออกมาช่วยเด็กๆ เขาผูกเสื้อขนเป็ดสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งเข้ากับเสาไฟฟ้าบนถนน เขาอดที่จะปวดใจขึ้นมาเสียไม่ได้ เสื้อตัวนี้เป็นเสื้ออาร์คเทอริกซ์ที่เขาบริจาคให้ ราคาของมันตั้งหนึ่งพันดอลลาร์เชียวนะ

หลังจากที่เขาผูกเสื้อนั้นเสร็จ เชอร์ลี่ย์ก็นำป้ายแผ่นเล็กๆ มาแขวนไว้ที่เสื้อ ข้างบนป้ายนั้นเขียนไว้ว่า “ที่รัก นี่ไม่ใช่ของหาย ถ้าหากว่าคุณติดอยู่ข้างนอกตอนนี้ อีกทั้งยังรู้สึกหนาวเหน็บ โปรดหยิบเสื้อตัวนี้ไปเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นเถอะ (รูปรอยยิ้มสดใส)”

บนป้ายนั้นถูกเขียนด้วยลายมือ ฉินสือโอวรู้สึกไม่ทุกข์ใจอีกต่อไป เด็กๆ พวกนี้ทำงานกันได้ดีจริงๆ

อากาศหนาวเย็นเกินไป หลังจากที่มีลมหนาวพัดมา ฉินสือโอวก็พาเด็กๆ เข้าไปในร้านอาหารจานด่วนเพื่อไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆ ดื่ม

เมื่อเจ้าของร้านอาหารจานด่วนเห็นเสื้อโค้ตที่อยู่บนรถ ก็ถามออกมาว่าเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรม ‘คบเพลิงในฤดูหนาว’ ใช่หรือไม่ ตอนนั้นเองที่ฉินสือโอวรู้ว่า กิจกรรมนี้ไม่ใช่กิจกรรมที่จัดขึ้นโดยโรงเรียนประถมแกรนท์ แต่เป็นโรงเรียนประถมหลายแห่งในเซนต์จอห์นร่วมกันจัดขึ้นมา

เมื่อรู้ว่าพวกเขาทำกิจกรรมจิตอาสา เจ้าของร้านก็ให้อาหารฟรีอย่างใจกว้าง นอกจากนี้ยังให้บัตรกำนัลแก่พวกเด็กๆ จำนวนไม่น้อย ทุกใบมีมูลค่าห้าดอลลาร์ สามารถนำบัตรกำนัลมาแลกเบอร์เกอร์สองชิ้นหรือว่าเครื่องดื่มร้อนหนึ่งรายการได้จากร้านของเขา

“ให้คนน่าสงสารพวกนั้นมีเสื้อผ้าสวมใส่ ก็ให้พวกเขาได้ทานอาหารอย่างเต็มที่ด้วย” เจ้าของร้านลูบพุงของตัวเองพลางยิ้มออกมา

พวกเด็กๆ พากันเข้าไปกอดเขา ฉินสือโอวทำท่าทางเคารพเจ้าของร้านอาหารจานด่วน คนในประเทศนี้เป็นแบบนี้แหละ ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ แต่ถ้าหากคุณมองดูอย่างจริงจัง ทุกวันคุณจะสัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งใจในทุกวัน

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปทำกิจกรรมกันอีกครั้ง นอกจากนี้เจ้าของร้านฮาร์ดแวร์คนหนึ่งยังนำเทียนเล่มเล็กๆ มาให้พวกเขาอีกจำนวนหนึ่ง เขาบอกว่า “เทียนพวกนี้ใช้ได้นานมาก สามารถทนต่อลมแรงได้ หวังว่าจะสามารถช่วยคนที่ต้องการมันได้”

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท