ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1418 ติดพิษทั้งหมด

บทที่ 1418 ติดพิษทั้งหมด

กิจกรรมในครั้งนี้มีความหมายจริงๆ เมื่อกลับมาฉินสือโอวก็ดูข่าวภาคค่ำ พวกเขาทุกคนอยู่ในโทรทัศน์ แต่อย่างไรก็ตามพวกเด็กๆ ที่ถูกแช่แข็งก็ดูมีความสุขมากเช่นกัน

ตอนที่กำลังเก็บข้าวของกันอยู่ ฉินสือโอวพบว่ายังมีเทียนเหลืออีกสองเล่ม เขาคิดจะทิ้งมัน แต่เมื่อเออร์บักเห็นมัน เขาก็พูดออกมาว่า “เฮ้ ฉิน อย่าพึ่งทิ้ง เก็บไว้ก่อน ใกล้ถึงวันคริสต์มาสพอดี มันสามารถใช้ในการแสดงแสงสีจากเรือในวันคริสต์มาสได้”

ในแคนาดาแต่ละที่จะฉลองวันคริสต์มาสแตกต่างกัน เหมือนที่คนจีนฉลองวันปีใหม่ งานเฉลิมฉลองมีลักษณะคล้ายกัน แต่ความแตกต่างอันเล็กน้อยนี้ค่อนข้างใหญ่ ทุกพื้นที่ต่างก็มีกิจกรรมการเฉลิมฉลองที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

ที่เกาะแฟร์เวลมีกิจกรรมหนึ่ง ปกติแล้วจะจัดคืนก่อนวันคริสต์มาส โดยการปล่อยเรือไฟเข้ามาในทะเลสาบเฉินเป่า

เรือไฟนี้ ไม่ใช่เรือที่ตกแต่งด้วยไฟต่างๆ แต่เป็นแสงไฟเล็กๆ ที่รวมกันเป็นรูปเรือลำหนึ่ง งานนี้ฉินสือโอวเคยเห็นมาก่อน คนส่วนมากเคยเห็นมันมาก่อน ที่ผับดาราประกายก็มีเรือไฟสองสามลำ แต่ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคิดมาตลอดว่าของพวกนี้คือเรือจำนวนมากที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง ไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะการตกแต่งไฟแบบนี้

เวลาผ่านไปเรื่อย ปกติฉินสือโอวมักจะยุ่งอยู่กับการเตรียมการตกปลาและส่งสินค้าให้บัตเลอร์ เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของเดือนธันวา ที่อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะถึงวันคริสต์มาสแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เริ่มเตรียมต้นคริสต์มาส

ทรัพยากรป่าไม้ของแคนาดานั้นอุดมสมบูรณ์มาก แค่ไปที่ป่าและตัดต้นสนเล็กๆ มาต้นหนึ่งก็พอแล้ว ฉินสือโอวใช้เครื่องตัดไม้น้ำมันดีเซล เขาพาพวกเด็กๆ และหูเป่าฉงหลัวไปยังป่าเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของฟาร์มปลา

ในป่าเต็มไปด้วยหิมะ สองวันมานี้อากาศค่อนข้างดี หิมะในฟาร์มปลาละลายจนเกือบหมดแล้ว แต่ในป่ายังคงมีหิมะหนาแน่น ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งบนต้นไม้แต่พื้นดินต่างมีแต่หิมะปกคลุม

พวกฉงต้าค่อยๆ เดินไปบนพื้นหิมะช้าๆ ฉินสือโอวเดินไปใต้ต้นสนต้นหนึ่งพลางมองไปรอบๆ ทุกคนต่างพากันเดินมาอยู่ข้างๆ เขา

กอร์ดอนด้อมๆ มองๆ ไปยังพวกเขา จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปที่หลังต้นไม้ เขาแสยะยิ้มและใช้เท้าเตะเข้าไปที่ต้นไม้ แต่ว่าฉินสือโอวสังเกตเห็นเขาตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังมีความคิดเดียวกัน ฉินสือโอวยกเท้าขึ้นมา ฝั่งของฉินสือโอวนั้นเตะไปบังลำต้นของต้นไม้ จากนั้นเขาก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

‘สวบ ซ่า’ ทันใดนั้นต้นสนต้นเล็กก็สั่นไหวไปมา หิมะที่อยู่ตามกิ่งไม้ร่วงลงมาทันที ก่อนหน้านี้หิมะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บนต้นไม้มีหิมะปกคลุมอยู่ไม่น้อย หลังจากที่หิมะร่วงลงมาพวกเขาก็ไม่สามารถเห็นตำแหน่งที่กอร์ดอนได้ ทำให้ต้องแยกกันหากอร์ดอน

ในกองหิมะที่เดียวกัน สีหน้าของฉงต้านิ่งเฉย บนหัวของมันมีกองหิมะอยู่ มันยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างสงบนิ่ง หู่จือและเป้าจือส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว หิมะที่อยู่บนร่างของมันกระเด็นไปถูกร่างของกอร์ดอน ราชาเจ้าป่าซิมบ้าปีนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความรวดเร็ว ตูดอ้วนๆ ของมันนั่งอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ท่าทางดูสบายเป็นอย่างมาก

สีหน้าของกอร์ดอนเหมือนจะร้องไห้มา เขาถอดเสื้อออกและกระโดดไปมา เกล็ดหิมะจำนวนหนึ่งตกเข้ามาใส่คอของเขา ตอนนี้หิมะพวกนั้นกลายเป็นน้ำและไหลเข้าไปในเสื้อของเขาแล้ว มันทำให้เขาอึดอัด

ไวส์พูดกลั้วหัวเราะว่า “นายนี่หาเรื่องจริงๆ ไปหาเรื่องใครไม่หา มาหาเรื่องอะจารย์งั้นเหรอ?”

กอร์ดอนเดินเข้าไปหาไวส์ด้วยท่าทีอุกอาจ ไวส์ชี้ไปที่เขาและพูดเตือนว่า “นายมองแบบนี้อยากโดนพิษใช่ไหม?”

ฉินสือโอวให้ทั้งสองคนเงียบๆ เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าแห้งยัดเข้าไปในเสื้อของกอร์ดอน แล้วเช็ดตัวกอร์ดอนจนแห้งพลางพูดออกมาว่า “ฉันพาพวกนายมาเพื่อหาต้นคริสต์มาส พวกนายจริงจังกันหน่อย เข้าใจไหม?”

กอร์ดอนที่รู้สึกสบายขึ้นแล้ว เมื่อฉินสือโอวหันไป เขาก็หยิบหิมะที่ตกลงมายังพื้นก่อนหน้านี้ขึ้นมาปั้นเป็นก้อน แล้วขว้างใส่ไวส์

ไวส์ไม่ทันได้เตรียมตัว เขาถูกบอลหิมะกระแทกใส่พอดี เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโหว่า “ฉิน คุณดูเขาสิ…”

กอร์ดอนพูดแทรกขึ้นมา พร้อมรอยยิ้มเย็นว่า “นายแค่หาเรื่องฟ้องผู้ใหญ่เท่านั้น ใช่ไหม? ว่าไงจอมยุทธไวส์?”

คำสบประมาทพวกนั้นสำหรับไวส์ก็เหมือนกับการตะโกนบอกว่า ‘ฟัคยู’ จอมยุทธไวส์ไม่พูดอะไรสักคำ เขาก้มตัวลงและเริ่มปั้นลูกบอลหิมะ จากนั้นก็ขว้างกลับไปโจมตีกอร์ดอน

ทั้งสองคนตะโกนโวยวายไล่กันไปมา ไวส์วิ่งตามกอร์ดอนไม่ทัน เลยขอให้มิเชลมาช่วย ลูกบอลหิมะบินไปมาทั่วทั้งป่า เป็นการยากที่กอร์ดอนจะเอาชนะมือทั้งสี่ได้ เขาทำได้เพียงไปขอความช่วยเหลือจากพาวลิส

ฉินสือโอวตะโกนเรียกพวกเขาทั้งสองคนแต่ไม่มีใครฟัง เขาจึงเลิกสนใจ เด็กๆ เล่นสงครามหิมะกัน เป็นเรื่องปกติ

เขามองดูต้นสนเล็กๆ ในป่าแห่งนี้อย่างละเอียด เชอร์ลี่ย์เดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่เดินไปหยุดอยู่ใต้ต้นสนอีกต้นหนึ่ง เธอก็แอบยิ้มออกมาแล้วคิดอยากจะเข้าไปเตะต้นไม้ต้นนั้น

ฉินสือโอวคิดเงียบๆ ว่ายิ่งโลลิต้าโตขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ใช้ความคิด บทเรียนจากกอร์ดอนก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่ในความทรงจำแล้วใช่ไหม? เขารอจนเชอร์ลี่ย์เดินมาจนถึงใต้ต้นไม้ จากนั้นก็เขาก็เตะเข้าไปยังลำต้นของมัน และหิมะก็ร่วงหล่นลงมา

ผมสีบลอนด์ของเชอร์ลี่ย์เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน เธอปัดหิมะที่อยู่บนเสื้อด้วยท่าทีเสียใจ เธอเดินเข้ามาฉินสือโอวแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางน่ารักว่า “ฉิน คุณแกล้งหนู”

ฉินสือโอวกลอกตาแล้วพูดว่า “เธอมาหาฉันเองโอเคไหม? ปกติแล้วฉันจะสอนพวกเธออยู่เสมอไม่ใช่เหรอ? ไม่หาเรื่องก็ไม่เกิดเรื่อง…”

เชอร์ลี่ย์มองเขาด้วยท่าทีปั้นปึ่ง พลางสะบัดเสื้อของตัวเอง หลังจากนั้นจู่ๆ เธอก็แสดงท่าทีทุกข์ใจออกมา เธอพูดขึ้นว่า “มีหิมะตกเข้าไปในเสื้อของหนู มันเริ่มละลายแล้ว”

ระหว่างที่พูด เธอก็คว้าแขนเสื้อของฉินสือโอวไว้ พลางพูดขึ้นมาอย่างอายๆ ว่า “คุณช่วงหนูเช็ดมันหน่อยได้ไหมคะ? เหมือนที่คุณทำให้กอร์ดอนเมื่อกี้….”

ฉินสือโอวเกือบจะสำลักออกมาเพราะคำพูดเหล่านั้น เขาก้มหน้าลงมองหน้าอกของโลลิต้า เมื่อครู่ที่เชอร์ลี่ย์ปัดหิมะที่อยู่บนร่างกายของตัวเอง เธอได้รูดซิปเสื้อโค้ตขนเป็ดลง เผยให้เห็นร่างกายที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งปรากฏออกมา โดยเฉพาะที่หน้าอก ที่เห็นขึ้นมาอย่างชัดเจน

ท่านชายฉินที่กำลังคิดหาวิธีปลอบใจโลลิต้า ก้อนหิมะก้อนใหญ่ก็ร่วงลงมาอีกครั้ง คราวนี้มันโดนเข้าที่หัวของโลลิต้าเต็มๆ

กอร์ดอนหัวเราะอยู่ด้านหลังอย่างมีความสุข “เชอร์ลี่ย์ มา มาเล่นสงครามหิมะกัน เธอกับฉินกำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?”

ท่าทางขี้อายของเชอร์ลี่ย์เมื่อครู่นี้ถูกแทนที่ด้วยท่าทางเศร้าหมองทันที เธอกัดฟันกรอด เธอหันกลับมาแล้วยิ้มให้ “เอาล่ะ ฉันกำลังไป…”

เธอพูดพลางก้มตัวลงไปปั้นลูกบอลหิมะ หลังจากที่ปั้นหิมะอย่างดี จากนั้นก็วิ่งไล่กอร์ดอนราวกับกวางน้อย

ไม่นาน เสียงหัวเราะชอบใจของกอร์ดอนก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้อง ฉินสือโอวจ้องมองไปยังร่างอันมีเสน่ห์ของโลลิต้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน

ไม่นานหลังจากที่เชอร์ลี่ย์เข้าร่วมสงคราม สงครามหิมะอันสนุกสนานของพวกเด็กๆ ก็สิ้นสุดลง หัวของกอร์ดอนมีรอยปูดอยู่สองลูก ไวส์และพาวลิสมีคนละหนึ่งลูกใหญ่ ใบหน้าของมิเชลบวมข้างหนึ่ง พวกเขาเข้ามาช่วยตัดไม้อย่างเงียบๆ

ฉินสือโอวทนมาสักพักแล้ว เขาถามออกมาว่า “ทำไมพวกนายถึงเป็นแบบนี้? นี่เล่นสงครามหิมะหรือว่าใช้ปืนใหญ่กันแน่?”

เชอร์ลี่ย์โบกมือปัดไปมา “อย่าไปสนใจพวกเขาเลยค่ะ พวกเขาทุกคนโดนพิษกันหมดเลยค่ะ”

พวกเขาตัดต้นสนที่มีขนาดสูงกว่าคนหลายเท่า ฉินสือโอวและพวกเด็กๆ พามันกลับไปยังฟาร์มปลา หลังจากนั้นก็เตรียมของขวัญและนำมาแขวนบนต้นไม้เพื่อตกแต่งอย่างระมัดระวัง

พวกชาวประมงเก็บรวบรวมเปลือกหอยและของที่คล้ายกันมา ฉินสือโอวพูดติดตลกด้วยรอยยิ้มว่า “พวกนายคิดจะใช้เปลือกหอยพวกนี้ตกแต่งต้นคริสต์มาสเหรอ?”

ชาร์คยักไหล่พลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่ พวกเราจะเอามาพวกมันมาทำเรือไฟ”

ฉินสือโอวเคยเล่นเรือไฟตอนเด็กๆ มันคือเรือเล็กๆ ที่ทำขึ้นจากกระดาษ แค่ใส่เทียนเล็กๆ ลงไปก็ใช้ได้แล้ว ทำไมต้องใช้เปลือกหอยด้วยล่ะ?

อันที่จริงมันง่ายมาก หลังจากที่พวกชาวประมงขัดเปลือกหอยให้บางลง พวกเขาก็เอาเทียนเล่มเล็กมาติดลงบนเปลือกหอย แบบนี้หลังจากที่จุดไฟแล้วมันก็จะกลายเป็นเรือไฟทันที

วัสดุในท้องถิ่นพวกนี้ ทั้งสวยงามและราคาไม่แพง

…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท