ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1421 ของขวัญคริสต์มาส

บทที่ 1421 ของขวัญคริสต์มาส

ตกเย็น ฉินสือโอวยังไม่นอนจนถึงเที่ยงคืน ถุงเท้าสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ที่บนหัวเปลของลูกสาว เด็กหญิงตัวน้อยกำลังนอนหลับปุ๋ย ใบหน้ากลมเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข มุมปากของริมฝีปากสีแดงยกขึ้นเบาๆ ราวกับว่ากำลังพบเรื่องราวดีๆ อยู่ในฝัน

ฉินสือโอวหอมแก้มเธอหนึ่งที จากนั้นก็นำกล่องของขวัญใส่เข้าไปในถุงเท้า

เขาออกจากประตูไปเบาๆ แล้วเข้าไปในห้องนอนทีละห้อง จากนั้นก็นำของขวัญที่เขาและวินนี่เตรียมไว้ไปวางไว้ในถุงเท้าสีแดง

ตลอดทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อถึงห้องของพ่อแม่ของตัวเอง เขามองไปตั้งแต่หัวเตียงจนถึงปลายเตียง แต่กลับไม่เจอถุงเท้า เขายกมือขึ้นเกาหัวและหาถุงเท้าต่อ

ปรากฏว่าในตอนที่เขาเริ่มหา จู่ๆ ก็มีแสงสว่างส่องเข้ามาที่ใบหน้าของเขา แสงไฟนั้นแพรวพราวเป็นอย่างมาก มันเข้าตาเขาจนทนไม่ไหวทำให้น้ำตาไหลออกมา เขารีบปิดหน้าและถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

เสียงพูดของพ่อเขาดังขึ้นมาว่า “ไอหยา เสี่ยวโอว แกกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมถึงทำอะไรลับๆ ล่อๆ?”

ไฟสว่างขึ้นมาทั้งห้อง พ่อของฉินสือโอวลุกขึ้นมา ท่าทางถือไฟฉายราวกับกำลังถือปืนอยู่ แสงจากไฟฉายยังคงส่องอยู่ที่ใบหน้าของฉินสือโอว

ฉินสือโอวใช้มือบังแสงไฟไว้ แล้วพูดออกมาว่า “พ่อ แสบตาจะตายแล้ว รีบปิดไฟฉายสิครับ”

ตอนนั้นพ่อของฉินสือโอวจึงนึกขึ้นมาได้ เขาหมุนไฟฉายส่องเข้ามายังตาของตัวเอง พลางพึมพำออกมาว่า “ไอ้นี่มันแสบตามากเลยเหรอ? ไอหยา พระเจ้า แสบตาจริงๆ ด้วย ปวดตามากเลย”

ฉินสือโอวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่วงนี้พ่อของเขาดูเหมือนจะไอคิวน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อกี้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก ก็กลับเอาไฟไปส่องที่ตาของตัวเอง นี่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่านะ?

เมื่อเปิดไฟแล้ว ฉินสือโอวก็เห็นว่าถุงเท้าแขวนอยู่ที่ไม้แขวนเสื้อ เขาทำอะไรไม่ถูก จึงถามออกมาว่า “พ่อ ทำไมเอาถุงเท้าไปแขวนที่ไม้แขวนเสื้อล่ะ? มันต้องแขวนไว้ที่หัวเตียงหรือปลายเตียงนะ”

เขาใส่กล่องผ้าไหมลงไปในถุงเท้า ถุงเท้าหนึ่งข้างใส่ของขวัญหนึ่งกล่อง

พ่อของฉินหัวเราะเหอะๆ ออกมา “นี่เป็นประเพณีในวันตรุษจีนเหรอ? พ่อเห็นในทีวีบอกว่าให้เอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้า ไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปแขวนที่ไม้แขวนเสื้อ พ่อกับแม่อยากให้แกได้พักผ่อนบ้าง แต่ว่าตอนเย็นน่าจะลืมบอกแกไป”

ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนออกมาก หลังจากที่ใส่ของขวัญที่เตรียมไว้แล้วเขาก็เดินออกมา “พ่อ ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่นอนอีก? รีบนอนได้แล้ว”

พ่อของเขาตอบกลับว่า “ยังไม่ง่วงขนาดนั้น จะให้นอนเยอะได้ยังไง? แกรีบกลับไปได้แล้ว ตอนกลางวันก็เหนื่อยมากแล้ว ดึกดื่นยังทำงานอยู่อีก”

ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน แม่ของฉินสือโอวที่กำลังนอนกรนอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เธอตื่นขึ้นมาแล้วมองมา พลางถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ? พ่อลูกสองคนทำอะไรกันอยู่? เสี่ยวโอวทำไมร้องไห้แบบนั้นล่ะ?”

ฉินสือโอวรีบเดินออกมาด้วยความอับอาย ไม่อย่างนั้นคืนนี้พ่อกับแม่เขาคงไม่ได้นอนเป็นแน่

เมื่อปิดประตูลง เขาก็ได้ยินเสียงแม่ซักถามพ่อของเขาอยู่เบาๆ “ทำไมลูกถึงร้องไห้ล่ะ คุณพูดอะไรกับเขา?” “ผมไม่ได้พูดอะไรเลย ใครจะรู้ว่าทำไมเขาถึงร้องไห้ อาจจะเพราะง่วงล่ะมั้ง…”

เช้าวันคริสต์มาส ฉินสือโอวและวินนี่เริ่มอบขนมเค้กสำหรับเช้าวันหยุด เสี่ยวเถียนกวาใช้เท้าสั้นๆ ของตัวเองเดินเตาะแตะมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างพวกเขา ตอนนี้เธอตื่นพร้อมกับพวกเขาทั้งสองคน หลังจากนั้นก็ไปนอนเล่นกับพวกหู่เป้าฉงหลัว

แม้ว่าสิ่งที่สำคัญในวันคริสต์มาสคือค่ำคืนวันคริสต์มาส แต่ว่าช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ มีความสุขมากที่สุด เพราะว่าของขวัญวันคริสต์มาสจะถูกเปิดในตอนเช้า

เด็กทั้งสี่คนเตรียมของขวัญไว้ให้เออร์บัก ฉินสือโอว วินนี่ และพ่อแม่ของฉินสือโอว พวกเขาร่วมกันลงทุน แม้ว่าจะมีคนจำนวนมาก แต่การให้ของขวัญทีละคนเป็นการกดดันมากเกินไป

ของขวัญของฉินสือโอวใหญ่ที่สุด หลังจากที่เขาเปิดของขวัญ ด้านในกล่องเป็นเสื้อขนเป็ดสีน้ำเงินกรมท่าบางๆ ตัวหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ของแบรนด์เนมอะไร แต่ก็เป็นสไตล์ทันสมัย ฉินสือโอวถอดเสื้อแล้วลองสวมเสื้อตัวนั้น เขายิ้มออกมาพลางพูดว่า “เท่มากเลย เสื้อตัวนี้ทั้งอุ่นและก็เท่ด้วย”

ของวินนี่เป็นผ้าขนหนูผืนสวยผืนหนึ่ง ของขวัญของเออร์บักคือผลการเรียนที่สวยงามทั้งสี่ฉบับ ของขวัญชิ้นนี้ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก เขามองผลการเรียนในมือและพยักหน้าไม่หยุด “ถ้าไม่มีของกอร์ดอน ของขวัญชิ้นนี้จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลย”

กอร์ดอนหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาพึมพำออกมาว่า “ผมก็ขยันมากแล้วนะ”

เออร์บักหัวเราะออกมาพลางเข้าไปกอดเขา “ฉันพูดเล่นหรอกน่า เพื่อน นายทำได้ดีมาก เก่งจริงๆ ฉันรักนายนะ รักพวกนายทุกคนเลย”

วินนี่ยกนมขึ้นดื่มพลางพูดว่า “ทำไมไม่แกะของขวัญที่พวกเราให้ล่ะ? เปิดดูสิ”

ของขวัญของพาวลิสกล่องเล็กที่สุด หลังจากที่เขาเปิดดูมันคือรีโมทรถยนต์ ด้านบนมีโลโก้พอร์ชอยู่

ฉินสือโอวชี้ไปที่รถพอร์ชรุ่นเก้าหนึ่งแปดที่จอดอยู่ที่สนามบิน จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “จากวันนี้ไปมันเป็นของนายแล้ว ปีนี้นายสามารถสอบใบขับขี่ได้แล้ว รอถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก่อน ฉันค่อยพานายไปสอบใบขับขี่ ต่อไปเส้นทางการเป็นนักขับรถที่ยิ่งใหญ่ของนายได้เริ่มขึ้นแล้ว”

พาวลิสเข้าไปกอดเขาด้วยความซึ้งใจ แล้วพูดออกมาอย่างมีความสุขว่า “สุดยอดไปเลย มันคือพอร์ชเลยนะ! รถคันที่สองของผมคือพอร์ชงั้นเหรอ? ช่างเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญจริงๆ!”

ของขวัญของมิเชลเป็นการ์ดเชิญสองใบ ใบแรกคือคำเชิญดูการแข่งขันบาสเกตบอลของแมคโดนัลด์แคนาดา ส่วนอีกใบเป็นคำเชิญเข้าร่วมจอร์แดนเทรนนิ่งแคมป์ในสหรัฐอเมริกา ฉินสือโอวพูดว่า “เหมือนกัน มิเชล เส้นทางอาชีพของนายก็ได้เริ่มขึ้นแล้วเช่นกัน”

ของขวัญของกอร์ดอนเป็นกล่องกระดาษที่ค่อนข้างหนัก ราวกับว่าเป็นกล่องโน้ตบุคก็ไม่ปาน เขารีบเปิดออกอย่างตื่นเต้น ข้างในมีบัตรอยู่หลายใบ เป็นการ์ดการเรียนและบัตรห้องสมุดอะไรพวกนั้น บัตรพวกนั้นรวมกันเป็นกองหนึ่งกอง

“ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ!” กอร์ดอนเบิกตากว้าง เขารู้สึกสับสนไปหมด “ฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

วินนี่พูดขึ้นมาอย่างสนิทสนมว่า “ดีใจไหม? ทั้งหมดเป็นบัตรของโรงเรียนกวดวิชา เริ่มตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังปีใหม่ ทุกสัปดาห์นายต้องไปเรียนกวดวิชา ฉันกับฉินอยากให้นายเป็นนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่”

“เหมือนกับไอน์สไตน์ นิวตัน และเกาส์แบบนั้น” ฉินสือโองพูดเสริม

กอร์ดอนแทบจะร้องไห้ออกมา เขาพูดว่า “ไม่เอา นี่เป็นเทศกาลคริสต์มาสนะ ทำไมถึงมาบอกข่าวร้ายกับผมแบบนี้ล่ะ? ยังมีไอน์สไตน์คืออะไรกัน? นิวตันชื่อขนมปังเหรอ? แล้วเกาส์คือน้ำมันเครื่องใช่ไหม?”

ฉินสือโอวใช้มือลูบผมของเขาอย่างมีความสุข พลางพูดว่า “ดูสิ บัตรพวกนี้มีประโยชน์มากนะ ฉันไม่อยากให้ในอนาคตนายกลายเป็นคนโง่ที่รู้จักแค่กินดื่มเที่ยวเท่านั้น”

หลังจากที่แกล้งกอร์ดอนไปพอสมควรแล้ว ฉินสือโอวก็ช่วยเขาแกะกล่องบัตรต่างๆ ที่อยู่ด้านบนออก ส่วนของที่อยู่ด้านล่างเป็นแผ่นเกมยอดนิยมต่างๆ ทั้งหมด

แบบนี้กอร์ดอนจึงดีใจขึ้นมาอีกครั้ง เขาเขย่ากล่องและยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ผมจะให้ชาร์คน้อยและคราเคนน้อยทั้งสองคนนั้นอิจฉาตายไปเลย”

กล่องของขวัญของเชอร์ลี่ย์นั้นใหญ่ที่สุด หลังจากที่เปิดดูของข้างในนั้นคือชุดอุปกรณ์ในการขี่ม้าครบชุดไม่ว่าจะเป็น บังเหียน อานม้า โกลนม้า เสื้อแจ็กเกตขี่ม้า ถุงมือและอื่นๆ ครบชุด

ของพวกนี้เป็นสิ่งที่โลลิต้าต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ลูกม้าอเมริกันเพนต์โตไวมาก มันโตจนกลายเป็นม้าโตเต็มวัยอย่างรวดเร็ว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเธอสามารถพามันไปวิ่งเล่นได้แล้ว

ไวส์กลับชิคาโกไปแล้ว ของขวัญของเขาอยู่ที่นี่ ฉินสือโอวให้อีวิลสันเตรียมของขวัญไว้ นั่นก็คือบัตรอ่านเขียน เขาพูดว่า “อีวิลสัน เอาบัตรใบนี้ไป ต่อไปนายอยากกินอะไร ก็ไปหาทานได้ในเมือง ทานเสร็จแล้วอย่าลืมให้บัตรใบนี้กับพวกเขาล่ะ รู้ไหม?”

อีวิลสันรับมันมาอย่างดีใจ แล้วพูดด้วยเสียงแหบว่า “ให้พวกเขา แล้วกินได้ตามสบาย”

ฉินสือโอวยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว ให้บัตรนี้แก่พวกเขา ให้พวกเขาเขียนจำนวนเงินที่นายต้องจ่ายลงในนั้น หลังจากนั้นนายค่อยกินได้ตามสบาย ไม่ใช่ว่าใครไม่ให้นายกิน นายก็ไปตีเขา เข้าใจไหม?”

อีวิลสันพยักหน้าตามที่เขาทำ “ห้ามตีคน!”

ครู่หนึ่งเขาก็ถามขึ้นมาอย่างลังเลว่า “วัวนับว่าเป็นคนไหม?”

“แน่นอนว่าไม่ใช่” ฉินสือโอวพูดขึ้นมาตามที่หมายความอย่างนั้น

วินนี่พูดขึ้นว่าอย่างตกใจว่า “พระเจ้า เขาหมายถึงบลูไม่ใช่เหรอ?”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน