ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1422 เตรียมตัว เรือปริ้นเซสเมล่อน

บทที่ 1422 เตรียมตัว เรือปริ้นเซสเมล่อน

หลังจากเทศกาลคริสต์มาส วินนี่ก็ส่งมอบงานส่วนใหญ่ให้กับรองนายกเทศมนตรีฮานี่ย์ แบบนี้เธอก็จะได้หยุดพักร้อนยาว

ไม่กี่วันต่อมา เรือปริ้นเซสเมล่อนก็เริ่มยุ่งขึ้นมา เพ่าไห่เปลี่ยนมาใส่ชุดเครื่องแบบสีขาวเต็มยศ ที่ไหล่ของเขามีตราสัญลักษณ์อยู่ ที่ด้านบนตรานั้นเป็นรูปประแจสองอันไขว้กันอยู่ สัญลักษณ์นี้หมายถึงหัวหน้าวิศวกร

เขาทำการตรวจสอบเรือขนาดใหญ่ลำนี้รอบด้าน ตั้งแต่หัวเรือจนถึงท้ายเรือ เขาไม่สามารถละเลยพื้นที่ใดๆ ที่มีการทำงานของเครื่องกลได้ โดยเฉพาะบริเวณล้อ หลังจากที่ตรวจสอบทุกตารางนิ้วเรียบร้อยแล้ว เขาก็จำเป็นที่จะต้องลงบันทึกลงในบันทึกประจำวันของหัวหน้าวิศวกร แม้กระทั่งการสึกหรอของสกรูก็ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน

ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และนีลเซ็นทั้งสามคนที่มีร่างกายใหญ่เป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสามตามลำดับ เบิร์ด แลนซ์และบลูอยู่ที่ฟาร์มปลา พวกเขาเป็นหัวหน้าชาวประมงทั้งสิบคนรวมถึงชาวประมงชาวจีนอีกสิบคนในการทำงานประมง ส่วนชาวประมงชาวจีนอีกห้าคนขึ้นเรือออกทะเลไป หนึ่งในนั้นมีเกิงจุนเจี๋ยเป็นหัวหน้า

ชาร์คเป็นหัวหน้าในการตรวจสอบความต้องการอื่นๆ ของเรือเช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่อง น้ำจืด อาหาร ผลไม้ ผักสดและของเสริมอื่นๆ ซีมอนสเตอร์มีหน้าที่ในการตรวจสอบความเรียบร้อยของอุปกรณ์บนเรือประมง นีลเซ็นจัดการวางแผนหมุนเวียนหน้าที่ของลูกเรือและงานต่างๆ นอกจากนี้เขายังคอยจัดการงานดับเพลิงและงานช่วยชีวิต

ด้วยวิธีนี้เรือปริ้นเซลเมล่อน สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลลำนี้ก็มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง มันตื่นหลังจากที่จำศีลมานาน สายตาของมันทอดมองออกไปยังบริเวณน้ำลึกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ

ฉินสือโอวติดต่อไปยังกรมอุตุนิยมวิทยาทางทะเลของเซนต์จอห์น มีการบันทึกพยากรณ์อากาศอย่างละเอียดในช่วงเจ็ดวันข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีการพยากรณ์อากาศโดยประมาณสำหรับเดือนหน้าด้วย

ในคืนก่อนวันปีใหม่จีน พวกเขาทุกคนจะไปในเมืองเพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองวันปีใหม่

ชาวประมงและครอบครัวของเขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกัน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางออกมหาสมุทรไป อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน สำหรับแหล่งตกปลาที่ไม่ได้ไปบ่อยๆ ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างยาวนาน

สถานที่เฉลิมฉลองยังคงจัดที่ผับประกายดาว หลังจากที่ฉินสือโอวมาถึงพวกของไซด์ก็กรูกันเข้ามาพลางตะโกนออกมาว่า “ฉิน ปีที่แล้วคุณถูกเอาเปรียบ ปีนี้ยังกล้าลงมืออีกหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวโบกมืออย่างไม่สนใจพลางพูดว่า “ช่างมันเถอะ เพื่อน ปีที่แล้วฉันเป็นคิงของงานเลี้ยงปีใหม่แล้วผลเป็นอย่างไร? ฉันยังไม่เห็นควีนของงานเลย และก็ไม่ได้รับอะไรเลย ทำไมยังอยากให้ฉันแข่งกับนายอีกล่ะ?”

เชอริลที่กำลังมองดูพวกเขาเสียงดังด้วยรอยยิ้มกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที อาจารย์หญิงมองไปยังพวกเขาด้วยความประหลาดใจ พลางพูดว่า “เฮ้ พวกนายมองฉันทำไมกัน?”

นีลเซ็นพูดกลั้วหัวเราะว่า “ปีที่แล้วคุณเป็นควีนงานเลี้ยงนี่ เชอริล ว่ากันตามหลักแล้วพวกคุณต้องทำให้มันถูกต้องนะ”

อาจารย์รีบโบกปฏิเสธ ทุกคนก็พากันส่งเสียงเอะอะออกมา เธอเบนสายตาไปยังฉินสือโอว แต่เขาไม่ได้มองเธอ เขาทำเพียงมองไปยังโทรศัพท์มือถืออย่างใจจดใจจ่อ

วินนี่ต้องดูแลเสี่ยวเถียนกวาจึงไม่ได้มาด้วย กลุ่มชายเหล่านั้นหันมองไปมาซ้ายขวา หลังจากนั้นก็หันมาพูดให้กำลังใจฉินสือโอวว่า “เพื่อน พระเจ้า วินนี่ก็ไม่อยู่ที่นี่ นายจะกลัวอะไร?”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ไม่ ฉันไม่ได้กลัวอะไร ฉันไม่เคยกลัวอะไรเลย”

“แต่ตอนนี้ท่าทางของนายแสดงให้เห็นชัดๆ ว่านายกลัวเมีย” ฮิวจ์คนน้องพูดออกมาเสียงดัง เขาเดินไปหาอาจารย์หญิงด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นก็วางมือบนไหล่ของเธอ

คนที่อยู่รอบๆ พากันหัวเราะและโห่ร้องกันออกมา ไม่รู้ว่าโห่ร้องคำพูดของเขาหรือการกระทำของเขากันแน่

ฉินสือโอวและเชอริลมีเหตุผลของตนเอง ฉินสือโอวพูดออกมาว่า “ฟังฉันนะ เพื่อน ที่เกาะแฟร์เวลไม่มีผู้ชายคนไหนกลัวเมีย มีเพียงชายที่เคารพเมียเท่านั้น วินนี่เป็นภรรยาของฉัน เป็นแม่ของลูกฉัน เธอคือคนที่ฉันอยากใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอดชีวิต ฉันคิดไม่ออกเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำให้เธอเสียใจ”

เชอริลเอื้อมมือไปคว้าขวดแชมเปญแล้วควงมันไปมาราวกับมันเป็นค้อน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “อยู่ห่างๆ ฉันเลย ไม่อย่างนั้นภายในไม่กี่วินาทีฉันจะเปิดกะโหลกนายออก เชื่อฉันไหม?”

ฮิวจ์คนน้องอยากจะพูดว่าไม่เชื่อออกมา แต่เชอริลยกขวดแชมเปญขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ทำได้เพียงปล่อยเธอแล้วเดินออกมาตรงๆ แต่ว่าเขาไม่อยากเสียหน้า จึงหันไปพูดกับคนที่อยู่รอบๆ ว่า “ที่เกาะแฟร์เวลไม่มีชายคนไหนกลัวผู้หญิง มีแค่ชายที่เคารพผู้หญิงเท่านั้น แบบฉันไงล่ะ”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากทั่วทิศทาง ตอนนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาที่ผับ นั่นคือทีมงานที่นำมาโดยคาเมรอน มีทั้งนักแสดงและทีมผู้ผลิต จำนวนคนถือว่าไม่น้อยเลย พวกเขามีคนมากกว่าห้าสิบคน ไม่นานผับเล็กๆ แห่งนี้ก็มีคนแน่นขนัดจนแทบจะระเบิดออกมา

ทีมงานกองถ่ายและพวกชาวประมงทักทายกัน ทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดี พวกชาวประมงไม่ได้เป็นคนเฉิ่มอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เพราะว่ากระแสตอบรับของคาเมรอนหรือลีโอนาร์โดที่ดีมานาน หลายวันมานี้พวกเขาทำงานร่วมกับคนในกองถ่ายอยู่หลายครั้ง จึงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบคนมีชื่อเสียง

เมื่อเห็นคาเมรอนนำคนเหล่านี้เข้ามา พวกชาวประมงก็มีความคิดใหม่ ฮิวจ์คนน้องตะโกนออกมาว่า “นีล เสิร์ฟเครื่องดื่มให้เพื่อนใหม่เราสักแก้วสิ แก้วนี้ฉันเลี้ยงเอง!”

คาเมรอนพูดกลั้วหัวเราะว่า “อ้อ ฮิวจ์คนน้อง เด็กดีของฉัน นายคิดจะซื้อพวกเราเหรอ? ไม่ๆ ไม่มีบทบาทไหนที่เหมาะกับนายจริงๆ แน่นอนว่าถ้านายเต็มใจที่เป็นตัวประกอบ ฉันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ”

ฮิวจ์คนน้อยหัวเราะหึหึออกมา “ไม่ คุณผู้กำกับ คืนนี้เราไม่พูดเรื่องนี้ ผมแค่อยากจะทักทายคุณเฉยๆ พวกคุณเป็นชายแท้ใช่ไหม? ชายแท้แกร่งกล้าน่ะ?”

ลีโอนาร์โดถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “พวกเราทุกคนเป็นชายแท้หมด”

ฮิวจ์คนน้องยกนิ้วโป้งให้เขา พลางพูดออกมาว่า “ฉันชอบคนที่ขี้โม้แบบนี้จริงๆ อ่า ไม่สิ ยกโทษให้กับความไร้สาระของฉันด้วยนะ! ฉันหมายถึงว่า นายเห็นผู้หญิงตรงนั้นไหม? นั่นคืออาจารย์เชอริล เธอเป็นควีนในงานเลี้ยงคืนนี้!”

แน่นอนว่ากลุ่มผู้ชายเหล่านี้สังเกตเห็นอาจารย์ผู้หญิง ที่เมืองนี้มีดอกไม้อยู่สองดอก วินนี่คือหนึ่งในนั้น เชอริลรวมกับโลลิต้าถือว่าเป็นดอกที่สอง

“แล้วยังไงเหรอ?” คาเมรอนถามออกมาด้วยความตื่นเต้น

ฉินสือโอวแอบสาปแช่งเงียบๆ อยู่ในใจ ชายคนนี้ไม่เหมือนกับเออร์บักและแซนเดอร์ส ในเรื่องปัญหาการใช้ชีวิตส่วนตัวยังถือว่าห่างกันมาก

ฮิวจ์คนน้องพูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ คิงของงานในคืนนี้คือฉิน ใครสามารถเอาชนะเขาได้…ชนะเขาในเกมงัดข้อ คนนั้นก็จะได้เป็นคิงคนใหม่ของงานในคืนนี้”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” นักแสดงชายร่างใหญ่โตพูดขึ้นมา เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้นักแสดงหลักส่วนใหญ่เป็นลูกเรือชาวประมง ดังนั้นนักแสดงชายจึงจำเป็นที่จะต้องแข็งแรง “ฉันขอก่อน งัดข้อเป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุด”

ฮิวจ์คนน้องยิ้มออกมาอย่างประหลาดใจ พลางพูดว่า “ช้าก่อน เพื่อน ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าถ้าแพ้แล้วจะต้องทำอะไร”

คาเมรอนถามออกมาว่า “งั้นนายบอกมาว่าต้องทำยังไง?”

ฮิวจ์คนน้องพูดว่า “ง่ายมาก พวกนายจะต้องรับผิดชอบเครื่องดื่มในคืนนี้ ต่อไปจนกว่าพวกนายจะถ่ายหนังเสร็จ ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยง พวกนายจะต้องเป็นคนรับผิดชอบเครื่องดื่ม”

ลีโอนาร์โดและคาเมรอนมองตากัน หลังจากนั้นพวกเขาก็มองไปยังเหล่าชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา มา ไม่รู้ว่าฉินยั่วโมโหพวกนายยังไง พวกนายถึงได้ทำแบบนี้กับเขาได้!”

ทันทีที่ตกลงกัน ภายในผับก็มีสภาพเหมือนจะระเบิดออกมา เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งดังไปทั่ว นีลรีบเอาเหล้าดีๆ ออกมาทั้งหมด แล้วทยอยส่งเหล้าจะละขวดไป “รีบดื่มเถอะเพื่อนยาก โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ทำไมพวกนายถึงคิดว่าฉันจะชนะงั้นเหรอ?”

เชอริลเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเขาแล้วพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราเชื่อใจนายยังไงล่ะ”

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท