ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1424 วาฬไรท์

บทที่ 1424 วาฬไรท์

เรือปริ้นเซสเมล่อนขนาดใหญ่กำลังล่องลอยไปในท้องทะเล วันนี้คลื่นค่อนข้างใหญ่ ลมก็แรง แค่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปริ้นเซสเมล่อนมากนัก นี่เป็นเรือขนาดใหญ่หลายพันตันเชียวนะ!

ฉินสือโอวยืนอยู่ที่หัวเรือ เขายืนยืดตัวตรง สายตาแหลมคม เขารู้สึกว่าถ้าเขามีดาบจริงๆ สักหนึ่งเล่ม ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงอยู่ในท่าของฮีโร่แล้ว หลังจากที่ถ่ายรูปและโพสลงเว่ยป๋อ มันจะต้องเป็นที่ฮือฮาอย่างแน่นอน

ปริ้นเซลเมล่อนล่องไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มั่นคง ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเรือขนาดใหญ่ สบายมาก

การออกทะเลครั้งนี้ของฉินสือโอวไม่ใช่เพราะออกมาตกปลา ตอนนี้เขาเชื่อมั่นในรายได้ของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของเขา อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินมุ่งเน้นไปที่ตลาดระดับกลางจนถึงระดับสูงมาตลอด สินค้าทั้งหมดคือผลผลิตจากฟาร์มปลา เพราะของที่ได้จากการตกปลานั้นขายไม่ค่อยได้เงินมากเท่าไร

เพราะเหตุนี้ การออกทะเลในครั้งนี้ของเขาจึงมีวัตถุประสงค์อยู่สองอย่าง หนึ่งคือการมาฮันนี่มูนกับวินนี่ โดยการมาท่องเที่ยวที่มหาสมุทรแอตแลนติก สองคือมาหาเรืออับปางเพื่อสร้างรายได้

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เมื่อก่อนเขาขี้เกียจ คิดว่าเงินที่มีอยู่ในกระเป๋านั้นเพียงพอ เขาขี้เกียจที่จะไปหาเรืออับปาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกหาเรืออับปางที่มีมูลค่าเพียงครั้งคราวเท่านั้น

ตอนนี้เงินของเขาขาดแล้ว ทำให้เขาขยันขันแข็งที่จะหาสมบัติที่อยู่ในเรืออับปาง ปรากฏว่ากลับหาไม่เจอแล้ว แน่นอน เขาไม่ได้หาเรืออับปางไม่เจอ แต่เขาต้องการหาสมบัติที่อยู่ในเรืออับปาง ไม่ได้สมบัติแล้วเขาจะกอบกู้เรือพวกนั้นทำไมกัน?

แต่ว่าจุดประสงค์ที่สำคัญกว่าคือการพักผ่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พาวินนี่ออกมาเที่ยว เดิมทีฉินสือโอวคิดไว้ว่าการไปเที่ยวครั้งแรกของพวกเขาจะไปยังประเทศที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ไม่คิดเลยว่าจะมายังขั้วโลกเหนือ

วินนี่อยากเห็นแสงเหนือ ฉินสือโอวก็ไม่เคยเห็น เรื่องนี้ดันเป็นเรื่องที่ทั้งสองคนใจตรงกัน

เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ฉินสือโอวจึงทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ ไม่เพียงแต่จะพาแบล็คไนฟ์ บีบีซวงและพวกทหารมาด้วย แต่ยังมีการจัดเตรียมบอดี้การ์ดใต้น้ำที่ทรงพลังด้วย…นั่นคือทีมสัตว์ประหลาดทะเล ที่นำทีมโดยเฮยป้าหวัง ละตามมาด้วยกองกำลังงูทะเลยักษ์ กองกำลังทหารนี้ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพเรือ

ชาร์คเดินออกมาจากห้องควบคุม ฉินสือโอวหันไปถามเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ทุกอย่างปกติดีไหม?”

ชาร์คพยักหน้า แล้วตอบว่า “ไม่มีปัญหาครับ ผมกับพอลคุยกันแล้ว การเดินทางของปริ้นเซสปกติดีมากครับ”

พอลก็คือเพ่าไห่ นามสกุลของเขาหายากมากในประเทศจีน ฉินสือโอวไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีตระกูลที่มีนามสกุลนี้อยู่ แต่ว่าเมื่อมาอยู่ที่แคนาดากลับพบเจอสกุลนี้ได้บ่อย ‘เพ่า’ ออกเสียงเหมือนกับคำว่า ‘พอล’ ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้ว่าเพ่าไห่ว่าพอล

ชาร์คเห็นว่าฉินสือโอวยืนอยู่ที่ดาดฟ้าอยู่คนเดียว จึงถามว่าต้องการเบ็ดตกปลาสักหน่อยไหม ให้ทุกคนมาแข่งตกปลากัน

ฉินสือโอวไม่สนใจ ที่รอบๆ เรือมีสัตว์ประหลาดใต้น้ำคอยคุ้มกันอยู่ ปลาตัวใหญ่ที่ไหนจะกล้าเข้ามาใกล้เรืองั้นเหรอ? และต่อให้จะมีลูกปลาตัวเล็กๆ อยู่ที่ด้านล่างเรือ และจะเอาไปทำอะไรได้? ตกปลาเพื่อมาเป็นอาหารสุนัขงั้นเหรอ?

ด้วยเวลาและพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ สู้ให้เขาหาเรืออับปางยังจะดีกว่า

ยิ่งล่องเรือไปทางเหนือ อากาศก็แย่ลง ตามประวัติศาสตร์ที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือถือว่าเป็นสุสานเรืออับปางที่มีชื่อเสียง แต่ว่าไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการกอบกู้สมบัติ เพราะว่าเรือที่จมลงที่น่านน้ำแห่งนี้ไม่มีสมบัติอยู่ เรือสมบัติไม่ค่อยแล่นผ่านมาแถวนี้ มีเพียงเรือของโจรสลัดบางลำเท่านั้น

แต่โจรสลัดแห่งแอตแลนติกเหนือก็มีเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน พวกเขามีชื่อเสียงเรื่องความโหดร้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีสิ่งของที่มีค่าอะไรเลย

ฉินสือโอวถามหาแผนที่สมบัติทั่วโลกจากบิล มีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือน้อยมาก ดังนั้นมาหาสมบัติจากบริเวณนี้ถือว่าศูนย์เปล่า

จากทางเหนือของมหานครเซนต์จอห์น ระยะห่างจากกรีนแลนด์ถือว่าค่อนข้างไกล ต้องใช้เวลาสองวัน เรือจึงแล่นเข้าสู่น่านน้ำลาบราดอร์

หลังจากที่เข้ามาในน่านน้ำลาบราดอร์ มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือก็ทำให้พวกเขาตกตะลึง ในตอนเช้าฉินสือโอวกำลังเล่นอยู่กับหู่จือและเป้าจือที่ดาดฟ้า จู่ๆ ก็มีคนชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือพลางร้องออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

ฉินสือโอวมองตามไป เสาน้ำทั้งสองต้นโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ จากนั้นก็เกิดเสียงครางต่ำดังขึ้นมา เสียงแบบนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันคือการหายใจของวาฬ

เขาเห็นวาฬมาเยอะแล้ว สำหรับเขาพวกมันไม่ได้น่าดึงดูดเท่าไหร่ ฉินสือโอวที่กำลังก้มหน้าลง จู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา เขาพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “เฮ้ ถ้าฉันไม่ได้มองผิดล่ะก็ เสาน้ำมีสองต้นใช่ไหม? ใช่ของวาฬไรท์แห่งอาร์กติกหรือเปล่า?”

เมื่อเทียบกับวาฬชนิดอื่นวาฬไรท์อาร์กติกมีความพิเศษกว่า นั่นคือเวลาที่มันพ่นน้ำออกมามันจะพ่นออกมาเป็นเกลียวคู่ แต่วาฬอื่นๆ จะพ่นน้ำออกมาแค่เสาน้ำเกลียวเดียวเท่านั้น นอกจากนี้วาฬชนิดนี้ยังชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง

ฉินสือโอวหยิบกล้องโทรทรรศน์ที่แขวนอยู่ที่เสาข้างเรือมาส่องดูวาฬ เขาเห็นเกาะเล็กๆ หลายเกาะปรากฏขึ้นที่ผิวน้ำทะเล

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เกาะจริงๆ นี่เป็นร่างของวาฬไรท์ พวกมันชอบโผล่ขึ้นมาจากน้ำและอวดเรือนร่างของตัวเอง และนี่คือที่มีมาของชื่อพวกมันด้วย

เพราะว่าการล่าวาฬที่มีมากเกินไป ทำให้ตอนนี้วาฬไรท์เหลือจำนวนไม่มาก จึงถูกขึ้นเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ มีอยู่เพียงในบันทึกสังเกตการณ์ทางทะเลในทะเลโอค็อตสต์และทะเลแบร์ริ่งเท่านั้น พวกมันอาจจะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น

วินนี่ที่กำลังเข็นรถเข็นเด็กก็เห็นร่างของวาฬเหล่านี้เช่นกัน คุณแม่สุดฮอตไม่สนใจลูกสาวอีกต่อไป เธอหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาและชมภาพนั้นอย่างเพลิดเพลิน เธอพูดออกมาว่า “พวกเราโชคดีจัง ได้ยินมาว่ามีวาฬไรท์ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเพียงร้อยตัวเท่านั้น ปรากฏว่าพวกเราเจอพวกมันทันทีที่เข้ามายังน่านน้ำลาบราดอร์”

พวกชาวประมงที่อยู่ในป่ามาตลอดหลายปีนี้ แทบไม่ค่อยได้เห็นวาฬไรท์มากนัก เพื่อที่จะสัมผัสกับพวกมัน ตอนนี้ทำได้เพียงพึ่งพาสื่อเท่านั้น เนื่องจากวาฬไรท์มีวิธีการหายใจที่เป็นเอกลักษณ์และมีร่างกายที่ใหญ่โต ทำให้ถูกขนานนามว่าเป็นวาฬที่มีรูปร่างสวยงามที่สุด แต่น่าเสียดายที่มีจำนวนน้อย หากเรือชมวาฬสามารถเจอกับพวกมันได้ก็ถือว่าพวกเขาได้รับพรจากพระเจ้า

แม้ว่าจะดูแดกดัน แต่สาเหตุของเหตุการณ์แบบนี้คือการฆ่าวาฬโดยไม่เลือกหน้าของมนุษย์ ไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าไม่หยุดยั้งพวกเขาตั้งแต่แรก

พวกชาวประมงต่างพากันออกมาดูวาฬ ปรากฏว่าหลังจากที่วาฬไรท์พวกนั้นปรากฏขึ้นไม่นาน พวกมันก็ค่อยๆ ว่ายน้ำดำลงทะเลลึกไปทีละตัว

วินนี่พูดขึ้นมาอย่างเสียดายว่า “เด็กๆ พวกนี้จะหาเราไหม? ฮ่า พวกมันไม่ได้ขี้อายหรอกใช่ไหม?”

ชาร์คพูดกลั้วหัวเราะว่า “เด็กงั้นเหรอ? ไม่นะครับ นายหญิง ผมกล้าพูดเลยว่าอายุพวกมันมากกว่าพ่อแม่ของเราเยอะ พวกเราควรจะเรียกพวกมันว่าปู่ย่าด้วยซ้ำ”

ฉินสือโอวรู้สาเหตุที่วาฬไรท์จากไป เพราะว่าเฮยป้าหวังและคราเคนได้มาถึงน่านน้ำแห่งนี้แล้ว พวกมันสร้างคลื่นใต้น้ำ ทำให้วาฬเหล่านั้นหวาดกลัวและหนีไป

อันที่จริงไม่ได้ทำให้พวกมันกลัวเท่านั้น วาฬไรท์ยังตกเป็นเป้าของคราเครและเฮยป้าหวังอีกด้วย พวกมันทั้งสองตัวอยากจะจับวาฬเหล่านี้กินเป็นอาหาร

ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกโพไซดอนให้พวกมันทั้งสองตัว เพื่อบังคับให้พวกมันกลับไปยังทะเลลึก เพื่อปล่อยให้วาฬไรท์หนีไป พวกมันมีจำนวนที่น้อยมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มวาฬนี้ คาดว่าน่าจะเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกนี้

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าสู่ร่างของเฮยฟ้าหวังและคราเคนอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวส่งพลังโพไซดอนส่วนหนึ่งให้กับวาฬไรท์ฝูงนั้น มีวาฬขนาดใหญ่ทั้งหมดสี่ตัว พวกมันนำฝูงลูกวาฬอีกสามตัว ถือว่าเป็นฝูงที่ค่อนข้างใหญ่

วาฬเป็นสัตว์ที่ฉลาด แม้ว่าพวกมันจะไม่มีจิตสำนึก แต่พวกมันก็มีสมอง พวกมันรู้ว่าจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเป็นสิ่งดี จึงว่ายช้าๆ เข้ามาใกล้กับเรือปริ้นเซสเมล่อน

เมื่อเห็นดังนั้น ฉินสือโอวก็รีบโบกมือทันที ชาร์ครับคำสั่งและไปลดความเร็วเรือทันที

หลังจากการออกกฎหมายห้ามล่าวาฬในปี 1985 สาเหตุหลักของการบาดเจ็บของวาฬก็คือชนเข้ากับเรือ ดังนั้นหลังจากที่เข้าใกล้พวกมันจึงต้องระวังอย่างมาก

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท