ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1423 ออกเดินทาง เรือปริ้นเซสเมล่อน

บทที่ 1423 ออกเดินทาง เรือปริ้นเซสเมล่อน

“สิบ เก้า แปด…”

พวกชาวประมงเมาหัวราน้ำและส่งเสียงกันออกมาอย่างคึกคัก พวกเขาล้อมกันเป็นวงกลม ตรงกลางวงเป็นโต๊ะเหล้าขนาดเล็กที่มีฉินสือโอวที่กำลังยิ้มอยู่และชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่กำลังหน้าดำหน้าแดง

“สาม สอง หนึ่ง…ศูนย์!”

หลังจากนับเลขจนจบ ฉินสือโอวขมวดคิ้วขึ้นมาทันที กล้ามเนื้อแขนด้านขวามีพลังงานปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ทำให้แขนขนาดใหญ่กว่าสองเท่าของฝ่ายตรงข้ามเอนไปที่โต๊ะโดยตรง!

“ฟัค!” ลีโอนาร์โดผู้หล่อเหลาที่พยายามประคับประคองความอ่อนโยนของตัวเองอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

ผู้คนในผับพากันวิ่งออกไปข้างหน้าพร้อมส่งเสียงร้องออกมา คาเมรอนและคนอื่นๆ ก็วิ่งออกไปเช่นกัน ไม่นานข้างในผับก็ว่างเปล่า ผู้คนต่างพากันเดินไปตามถนนด้านนอก

เสียงดอกไม้ไฟดังไปทั่วบริเวณ เสียงระฆังบอกปีใหม่ดังขึ้น เนื่องจากการตีระฆังของบาทหลวง ผู้คนในเมืองต่างพากันร้องเพลงสวัสดีปีใหม่ขึ้นมา

คนแคนาดาเรียนรู้เรื่องนี้จากคนอเมริกัน เพลงปีใหม่ที่พวกเขาชอบร้องกันคือเพลง ‘ออลด์แลงไซน์’ เป็นเพลงจากภาพยนตร์คลาสสิคอย่างเรื่อง ‘ฟอร์เรสท์ กัมพ์’ นี่คือเหตุผลที่ผู้คนพากันร้องเพลงส่งท้ายปีเก่าที่ไทม์สแควร์นิวยอร์ก หลังจากวันปีใหม่เริ่มขึ้น พวกเขาก็จะร้องเพลงนี้ขึ้นมา

“เหตุไฉนใดควรลืมเลือนความคุ้นเคย และเหตุไฉนถึงไม่ควรจดจำ?…”

เสียงร้องเพลงดังขึ้น เพราะว่าตอนนี้ทุกคนดื่มเหล้ากันจนเมาแล้ว เพลงที่ร้องออกมาจึงไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน และผิดทำนองเป็นครั้งคราว ตอนที่ผู้คนในเมืองร้องเพลงพวกเขาต่างร้องออกมาด้วยความสุข ทำให้เป็นการต้อนรับวันปีใหม่ที่มีความสุขมาก

แน่นอนว่า ที่พวกเขามีความสุขไม่ใช่เพราะการเริ่มต้นปีใหม่ แต่เพราะว่าฉินสือโอวนั้นแข่งชนะคนพวกนั้น ต่อจากนี้ไปในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาจะสามารถดื่มได้อย่างสบายใจ เพราะมีคนจ่ายค่าเครื่องดื่มให้

ไชด์ที่อยู่ด้านข้างฉินสือโอวร้องเพลงพลางยื่นมือไปหาเขา หลังจากที่ทั้งสองคนจับมือกัน เพลงก็จบลงพอดี เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจและพูดว่า “ฉิน ขอบคุณสำหรับของขวัญปีใหม่นะ!”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ฉันไม่ได้ให้ของขวัญอะไรสักหน่อย?”

ไชด์ตะโกนออกมาว่า “ไม่ ต่อไปนี้พวกเราจะดื่มได้โดยไม่ต้องเสียเงินไปอีกนาน เรื่องนี้ต้องขอบคุณนายจริงๆ สำหรับพวกเราแล้ว นี่คือของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุด…ใช่ไหม พวก?!”

เขาหมุนตัวมองไปรอบๆ เสียงชาวเมืองร้องโห่ดังขึ้นทั่วทั้งเมือง

คาเมรอนมองหน้าลีโอนาร์โด มุมปากของเขากระตุกขึ้น สุดท้ายพวกเขาก็อดไม่ได้ แล้วพูดขึ้นมาด้วยความพอใจว่า “ฉันว่า พวกนายออกกำลังกายก่อนหน้าที่จะมาถ่ายหนังนานถึงสามเดือนแน่เลยใช่ไหม? หรือว่ากล้ามเนื้อบนร่างกายพวกนี้ มาจากการทานโปรตีนงั้นเหรอ?”

ลีโอนาร์โดพูดขึ้นอย่างเศร้าใจว่า “ไม่ใช่นะ เจมส์ ฉินคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาด! ฟัค เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งด้วย!”

คาเมรอนตอบกลับอย่างดูถูกว่า “หรือว่าพวกนายไร้ประโยชน์กันแน่ ถ้าฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่ล่ะก็ ฉันชนะเขาไปได้ตั้งนานแล้ว!”

เสียงระฆังและเสียงร้องเพลงดังประสานกัน หลังจากที่ผู้คนชมการแสดงของพลุที่งดงามบนท้องฟ้ายามค่ำคืนจบ นีลบาร์เทนเดอร์ในผับก็แจกกระดาษและปากกาให้กับทุกคน เพื่อให้พวกเขาเขียนคำปฏิญาณปีใหม่ เป็นการประกาศเป้าหมายที่ตัวเองตั้งใจจะทำหรือทำให้สำเร็จในปีใหม่นี้ ก่อนหน้านี้ที่ฉินสือโอวทำงานฝ่ายบุคคล ทุกปีพนักงานบริษัทก็จะเขียนคำปฏิญาณเช่นกัน

แน่นอนว่าพวกเขาไม่เหมือนกับที่บริษัท พวกคนในบริษัทจะเขียนเป้าหมายในการทำงานในปีใหม่นี้ หรือไม่ก็มุ่งมั่นที่จะซื้อบ้าน เลื่อนตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน ซื้อรถยนต์ แต่งงานและอื่นๆ แต่ที่แคนาดานี้ไม่เหมือนกัน คำปฏิญาณของพวกเขาไม่ได้เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทะเยอทะยาน เป็นเพียงการวางแผนบนความเป็นจริงเท่านั้น

ฉินสือโอวได้ดูรายงานข่าวเมื่อปีที่แล้ว รายงานแจ้งว่าสิ่งที่ชาวแคนาดาต้องการทำเป็นสิ่งแรกในปีใหม่คือการลดน้ำหนัก สองคือการออกกำลังกายมากขึ้น เขาออกกำลังกายทุกวัน เขาเลยไม่อ้วน ซึ่งโดยปกติแล้วเขาไม่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้

เมื่อคิดดูแล้ว เขาเขียนปฏิญาณลงไปในกระดาษด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ใส่กระดาษลงไปในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ที่ชั้นบนสุดของเคาน์เตอร์บาร์

ต่อไปพวกชาวประมงก็จะเปิดคำปฏิญาณเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นเขาก็จะหาคำปฏิญาณของตัวเอง เพื่อเป็นการยืนยันว่าตัวเองนั้นทำได้สำเร็จหรือไม่

ปีที่แล้วฉินสือโอวไม่ได้เขียน จึงไม่เกี่ยวกับเขา เขาจึงเตรียมตัวออกจากร้าน

ปรากฏว่าเมื่อเขาเดินไปหยุดอยู่หน้ารถ เขาก็เห็นว่ามีสาวร่างเพรียวยืนอยู่ที่ข้างรถของเขา ไม่ต้องดูให้ละเอียด แค่เห็นท่าทางดูน่าเกรงขามทะเยอทะยานออกมาก็รู้แล้วว่า คนคนนั้นคือเชอริล

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในคืนนี้นะ” เชอริลยิ้มพลางยื่นมือออกมา

ฉินสือโอวไม่ได้จับมือเธอ แต่เลือกที่จะไฮไฟท์ให้เธอแทน ราวกับเป็นการทักทายเพื่อนพี่น้อง แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร คืนนี้เธอเป็นควีนของพวกเราในเมือง จะปล่อยให้คนพวกนั้นมาทำรุ่มร่ามกับเธอได้ยังไง!”

เชอริลยิ้มออกมา เธอยืนกรานที่จะจับมือกับฉินสือโอว เธอมองไปยังเขาและพูดว่า “สวัสดีปีใหมท่ ฉิน ขอให้ปีใหม่นี้ การงานราบรื่น มีความสุขมากๆ”

“ขอให้พรนี้ส่งกลับถึงเธอเหมือนกันนะ เชอริล”

เชอริลยิ้มออกมาพลางปล่อยมือ หลังจากนั้นเธอก็โบกมือให้เขาและเดินไปยังรถของตัวเอง เธอพูดประโยคสุดท้ายออกมาว่า “ลาก่อน วันนี้สนุกมากเลย ฉันมีความสุขจริงๆ”

ฉินสือโอวยิ้มพลางพยักหน้าให้ หลังจากที่เชอริลขับรถออกไป เขาก็ขับรถออกจากผับด้วยเช่นกัน

ตอนที่ขับรถออกมาจากผับ เขาก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนรวมกันร้องเพลงอยู่ที่ประตูตรงริมถนน ค่ำคืนของฤดูหนาวทั้งหนาวและโดดเดี่ยว ฉินสือโอวมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสูงกว้างขวาง ประดับไปด้วยดวงดาว ภาพวิวทิวทัศน์ของเกาะแฟร์เวลในตอนนี้ ราวกับภาพวาดอันสงบสวยงามภาพหนึ่ง

วันปีใหม่วันแรก ทั้งเกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง

งานที่ฟาร์มปลานั้นยิ่งยุ่งกว่าปกติ พวกชาวประมงนำเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า รวมถึงเสื้อกันหนาวและผ้าห่มมากมายหอบขึ้นเรือใหญ่ไป ทุกคนสวมชุดทำงานกันอย่างเรียบร้อย ชาร์คอยู่ที่หัวเรือคอยสั่งการ เรือปริ้นเซสเมล่อนใกล้ออกเดินทางแล้ว

สีหน้าของพ่อแม่ของฉินสือโอวดูเป็นกังวล ฉินสือโอวปลอบพวกเขาว่า “ไม่เป็นไร พ่อแม่ สบายใจเถอะครับ การออกทะเลครั้งนี้เพียงแค่เดือนเดียวเอง พวกเรายังกลับมาฉลองงานตรุษจีนได้ เวลาแป๊บเดียว เมื่อก่อนผมเคยออกทะเลนานถึงสามสี่เดือนเลยนะ”

แม่ของฉินสือโอวมองไปยังเสี่ยวเถียนกวาด้วยความลังเล พลางพูดขึ้นว่า “ใครบอกว่าแม่ห่วงแก? แม่ห่วงหลานสาวต่างหาก เธอยังเล็กอยู่เลย พวกแกจะไปที่ขั้วโลกเหนือไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นจะไปได้ยังไง? เด็กไม่สามารถทนหนาวได้นะ”

พ่อของฉินสือโอวพยักหน้า เมื่อเห็นดังนั้นฉินสือโอวก็ทำอะไรไม่ถูก เป็นปู่ย่าที่ดีจริงๆ

วินนี่กอดเสี่ยวเถียนกวาแล้วพูดว่า “วางใจเถอะค่ะ พ่อแม่ ลูกอายุหนึ่งขวบแล้ว เธอปรับตัวกับสภาพแวดล้อมบนเรือได้ และเราควรปล่อยให้เธอปรับตัวกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้แล้ว เราไม่ควรปล่อยให้เธออยู่แต่ในห้อง ต้องให้เธอเจอแดดเจอลม แบบนั้นเธอถึงจะเติบโตมาเป็นอย่างดี”

ที่หัวเรือ ชาร์คตะโกนออกมาว่า “บอส ทุกอย่างสงบดี เตรียมตัวออกเรือได้!”

ฉินสือโอวพยักหน้า พลางมองไปยังเบิร์ด แล้วพูดว่า “ยกฟาร์มปลาให้นายแล้วกัน ฉันไม่อยู่ นายก็เป็นคนดูแลที่นี่นะ”

เบิร์ดทำความเคารพแบบทหารอเมริกัน แล้วตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “วางใจผมเถอะครับ หัวหน้า ก่อนที่คุณจะออกเดินทางฟาร์มปลาเป็นแบบไหน พอคุณกลับมามันก็จะยังคงเป็นแบบนั้น!”

แลนซ์และบลูพยักหน้า ฉินสือโอวหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ทำงานให้ฉันดีๆ ล่ะ กลับมาจะให้รางวัล! ”

“เย้!” เสียงร้องดีใจดังออกมา

ทุกคนที่อยู่บนเรือ พากันเป่านกหวีดออกมาเสียงดัง เรือลำใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ มุ่งหน้าสู่มหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่

……………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท