ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1432 การโคจรกลับมาเจอกันของศัตรูคู่แค้น

บทที่ 1432 การโคจรกลับมาเจอกันของศัตรูคู่แค้น

บาร์ที่พวกเขาเข้ามามีชื่อร้านว่า ‘หิมะกับไฟ’ พอฉินสือโอวเห็นว่าร้านไม่ใหญ่เลยอยากเปลี่ยนไปร้านใหม่ แต่สุดท้ายพวกชาวประมงก็โอดครวญไม่อยากเปลี่ยนร้าน

พอเป็นอย่างนี้เขาก็พอจะรู้แล้วว่าบาร์นี้เป็นบาร์ประเภทไหน หนีไม่พ้นบาร์ระบำเปลื้องผ้าเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นคนเถื่อนพวกนี้คงไม่ตื่นเต้นและคงไม่อยากเข้าไปเที่ยวข้างในอย่างออกหน้าออกตาได้ขนาดนี้

แต่ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้รู้ว่านี่เป็นบาร์ระบำเปลื้องผ้ากันล่ะ? ฉินสือโอวบอกว่ามันยากที่จะเข้าใจนะ เขานั้นดูไม่ออกเลย แถมชื่อร้านก็โอเคไม่มีวี่แววว่าจะสื่อไปในทางนั้นด้วย

เมื่อได้ยินข้อสงสัยของเขาแล้ว ซีมอนสเตอร์ก็หัวเราะคิกคักและพูดขึ้นอย่างภาคภูมิว่า “รับรู้ได้จากกลิ่นน่ะบอส มันจะมีกลิ่นที่ชาวประมงคุ้นเคย!”

ฉินสือโอวไม่พอใจกับคำพูดชวนงงของพวกเขา จึงพูดขึ้น “ประสาทการรับรู้กลิ่นของพวกนายดีขนาดนั้นเลย? หรือพวกชาวประมงจะจมูกดีแค่กับเรื่องนี้หรือเปล่า?”

ชาวประมงพยักหน้าอย่างภูมิใจจากนั้นเขาก็รีบพูดเสริมด้วยมุขแป้กว่า “ก็เหมือนกับหมาที่ได้กลิ่นขี้แม้ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน ใช่ไหมล่ะ?”

ชาวประมงกลุ่มหนึ่งไม่พอใจและได้บ่นขึ้นว่า “เพื่อน อย่าเป็นแบบนี้สิ พวกเรากำลังจะได้กอดสาวสวยเลยนะ แถมยังมีงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะอีกมากมายรอเราอยู่ในห้องเล็กๆ นี่เลยนะ”

พอผลักประตูของบาร์เล็กๆ นี้ รังสีความเร่าร้อนพร้อมกับเสียงเพลงอึกทึกครึกโครมก็ถาโถมออกมา

ในบาร์คนก็ไม่ถึงกับว่าเยอะ ประมาณสิบกว่าคนเห็นจะได้ ซึ่งเมื่อดูจากการแต่งตัวแล้วเป็นชาวประมงทั้งนั้น และพวกเขาก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันอยู่บริเวณบาร์ อีกกลุ่มก็ไปผิวปากแซวผู้หญิงอยู่ที่เวทีตรงกลางร้าน

ฉินสือโอวถอดเสื้อโค้ตออก ข้างในนี้ร้อนมาก และเมื่อมองขึ้นไปเห็นนักเต้นพวกนั้นสวมเพียงแค่…ก็รู้เลยว่า

ทุกอย่างในบาร์นี้ไม่มาตรฐาน ขนาดแค่เขาถอดเสื้อออกยังไม่มีคนมาช่วยดูแล มีเพียงแค่ตะโกนมาบอกประโยคเดียวเท่านั้น “ดูแลทรัพย์สินเงินทองของตัวเองให้ดีๆ ที่นี่ถ้าหายแล้วจะไม่มีคนช่วยหาให้หรอกนะ”

ฉินสือโอวได้แต่ยักไหล่ พลางยื่นเสื้อให้ชาร์คและพูดขึ้น “ดูแลให้ฉันดีๆ ด้วยล่ะ”

จากนั้นซีมอนสเตอร์ก็ยื่นเสื้อให้เขาพร้อมกับบอกว่า “ฝากดูแลให้ฉันด้วยเลยแล้วกันนะพวก”

“ฟัคยู แกมีเหตุผลอะไรมาใช้ให้ฉันเฝ้าเสื้อแกวะ?” ชาร์คสบถด่าซีมอนสเตอร์พร้อมกับโยนเสื้อทิ้งใส่หน้าเขา เพื่อแลกกับเสียงหัวเราะของชาวประมงที่อยู่รอบๆ เขา

ฉินสือโอวสั่งเบียร์ร้อนหนึ่งขวด นี่เป็นเบียร์ที่ร้อนจริงๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกรีนแลนด์

จากนั้นก็มีชาวประมงคนหนึ่งที่นั่งอยู่โซนบาร์เอียงหัวมาถามเขา “เพื่อน ได้ยินสำเนียงของนายแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่คนที่นี่ พวกนายมาจากไหนกันเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว พวกเราไม่ใช่คนกรีนแลนด์ มาจากนครเซนต์จอห์น แคนาดา นายเคยไปไหม?”

ชาวประมงคนนั้นก็ได้ตอบว่า “แน่นอนสิ ฟาร์มปลาขนาดใหญ่นิวฟันด์แลนด์ ทำไมจะไม่มีคนเคยไปล่ะ?”

“น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีขนเจ้าโลกแล้วสักเส้นน่ะ ฮ่าๆ” ชาวประมงไร้มารยาทคนหนึ่งพูดขึ้น ซึ่งคำพูดของเขาก็เรียกเสียงหัวเราะยกใหญ่จากพวกเดียวกัน

ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วชายคนที่คุยกับเขาคนแรกก็บอกกับเขาว่า “อย่าไปสนใจไอ้คนพรรค์นั้นเลย ฉันเคยไปเซนต์จอห์นนะ เป็นเมืองที่สุดยอดมากเมืองหนึ่งเลยล่ะ หนึ่งปีมีสี่ฤดู ต่างจากที่นี่นอกจากกลางวันก็เป็นกลางคืนเท่านั้น”

คำพูดของชาวประมงคนนี้ยังถือว่านับถือ ฉินสือโอวจึงพยายามที่จะหาเรื่องคุยต่อ เลยได้ทำการแนะนำตัวเอง “ฉันมาจากเกาะแฟร์เวลแห่งนครเซนต์จอห์น ฉันทำฟาร์มปลา จุดประสงค์หลักในครั้งนี้คือขึ้นเหนือมาดูแสงออโรร่า ไม่ได้มาทำการเก็บเกี่ยวอะไร”

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ชาวประมงที่อยู่บริเวณนั้นสองสามคนก็มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วชาวประมงคนที่คุยกับเขาอยู่ก็ถามขึ้นว่า “นายมาจากไหนนะ? เกาะแฟร์เวล? นายทำฟาร์มปลาอยู่ที่เกาะแฟร์เวลงั้นสินะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า พลางคิดในใจว่าตอบอะไรผิดไปหรือเปล่า?

ชาวประมงคนนั้นก็ได้แต่ขำแห้งออกมาสองครั้ง แล้วก็ไม่พูดกับเขาอีก ฉินสือโอวไม่รู้ว่ามีปัญหาตรงไหน แต่ก็ไม่ได้อยากจะสนใจ เขาจึงดื่มเบียร์ที่สั่งมาและหันมาคุยโวกับชาร์คและคนอื่นๆ

พวกเขามาถึงที่บาร์ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ทันใดนั้นประตูบาร์ก็ถูกคนถีบเปิด และมีเสียง ‘กระแทก’ อย่างดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด “ไอ้ลิงจีนสารเลวที่มาจากเกาะแฟร์เวลมันอยู่ไหนแล้ว?”

ซึ่งนี่บ่งชี้มาหาเขาอย่างชัดเจน สีหน้าของฉินสือโอวถึงกับถอดสี พลางถือขวดเบียร์ยืนขึ้น แต่เขาก็งงว่าทำไมถึงได้มีคนมาหาเรื่องเขาถึงที่นี่ได้? เพราะเขาก็อยู่ดีๆ ของเขา ไม่เคยไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนมาก่อน

จากนั้นชาวประมงท่าทางเหี้ยมโหดก็เดินเข้ามาในร้าน ฉินสือโอวและคนของเขาก็นั่งอยู่ด้วยกันในตำแหน่งที่เห็นได้ชัด หลังจากคนพวกนี้ตะโกนก็เจอที่ที่พวกเขานั่งอยู่ เพราะในบาร์มีคนไม่เยอะ

ฉินสือโอวยืนขึ้น ชาร์คและพวกของเขาก็ยืนขึ้นตามโดยเฉพาะพวกเกิงจุนเจี๋ยห้าคนจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ พวกเขารีบเดินมาแล้วล้อมฉินสือโอวไว้ตรงกลาง

นี่คือกลวิธีในการอยู่รอดของทหาร ถ้าอยากเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ยืนหยัดต่อสู้อยู่ข้างพวกเขาก็พอ แล้วคุณก็จะกลายเป็นคนของเขาโดยทันที

ตอนนี้พวกเขามาที่ฟาร์มต้าฉินได้เดือนกว่าแล้ว พอจะเข้าใจในการปฏิบัติตัวของฉินสือโอวต่อผู้อื่นและสถานการณ์การทำงาน และพบว่าการที่ได้สมัครเข้ามาทำงานที่เรือประมงลำนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก จากที่พวกเขาได้คุยกับชาร์คและคนอื่นๆ ก็ทำให้รู้ว่าฉินสือโอวชอบแจกโบนัสและขึ้นเงินเดือนให้คนของตัวเอง

ซึ่งนี่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขาในก่อนหน้านี้

ทางฝ่ายฉินสือโอวมีคนประมาณยี่สิบกว่า แต่ที่มานั้นมีแค่สิบคนแถมแต่ละคนก็แต่งตัวหนาเงอะงะอย่างกับนกแพนกวิน เมื่อทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน ความโอหังของพวกนั้นก็ต้องถูกสยบลง

แต่ไม่นาน ชาวประมงในบาร์ก่อนหน้านี้สิบกว่าคนก็ไปยืนอยู่ข้างๆ กับคนกลุ่มนั้น ทำให้การเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายดูสูสีขึ้นมา

ประชากรของกรีนแลนด์มีน้อยมาก จากสถิติล่าสุดแสดงให้เห็นว่ามีไม่ถึงหกหมื่นคนด้วยซ้ำ แต่ที่จีน มีประชากรในแต่ละเมืองเยอะมาก หกหมื่นคนยังเอาไม่อยู่ และเนื้อที่แต่ละเมืองก็เล็กมากด้วย แต่เนื้อที่ของประเทศนี้ใหญ่มาก คนหกหมื่นคนก็กระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานในหลายร้อยถิ่นฐาน ซึ่งทำให้แต่ละคนอยู่ไกลกันมาก

สถานการณ์แบบนี้จึงทำให้เกิดความสามัคคีกันของชาวกรีนแลนด์ และความสัมพันธ์ของคนในละแวกเดียวกันก็ดีมากด้วย เวลามีบ้านใดบ้านหนึ่งเจอปัญหา ทั้งละแวกนั้นก็จะมาช่วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าการต่อสู้ก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าคนของฝ่ายตัวเองเพิ่มเยอะขึ้น ชาวประมงหัวโจกนั้นก็กลับมาลำพองใจอีกครั้ง เขามองมาทางฉินสือโอวอย่างน่ากลัวพร้อมกับถามขึ้น “เห้ย นี่มันพรหมลิขิตจริงๆ เลยนะ ว่าแต่นายยังจำฉันได้ไหม?”

โคมไฟในบาร์มืดสลัวดูแล้วเข้ากับสถานการณ์นี้ดี จากนั้นเจ้าของร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก็เปิดไฟทุกดวง ทันใดนั้นตรงกลางของบาร์ก็สว่างจ้าขึ้น และพวกสาวนักเต้นที่เต้นอยู่ก่อนหน้าก็พากันหัวเราะคิกคักนั่งดูความสนุกอยู่ข้างเคาน์เตอร์

ฉินสือโอวพิจารณามองหน้าตาของหัวหน้าผู้บึกบึนก็รู้สึกคุ้นหน้า แต่ก็นึกไม่ออก ว่าเคยเจอกันที่ไหน

ชาร์คเข้าไปสะกิดเขาและถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า “บอส เอาเลยไหม!”

แล้วเจ้าของร้านก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “พีท ถ้าจะตีกันไปตีกันข้างนอก อย่ามาทำโต๊ะทำเก้าอี้ร้านฉันพัง ฉันเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่ด้วยเนี่ย”

แล้วหัวหน้าชาวประมงคนนั้นก็มองไปยังฉินสือโอวด้วยเจตนาไม่ดีแล้วพูดขึ้น “ไอ้ลิงเหลืองนี่มีเงินเยอะจะตายห่า! ให้มันมาจ่าย ให้มันมาชดใช้ร้านให้…โอ๊ะ แม่งเอ๊ย!”

เขาพูดไปได้แค่ครึ่งเดียว ขวดเบียร์ที่อยู่ในมือฉินสือโอวก็ลอยออกมาโดนเข้ากลางกบาลของหัวหน้าชาวประมงนั่น พร้อมกับมีเสียงดัง ‘ปั้ก’

“ไอ้สารเลวแกกล้าลงมืองั้นเหรอ? จัดการพวกมัน!”

พวกชาวประมงคำรามพร้อมกับวิ่งเข้าใส่ พวกเกิงจุนเจี๋ยห้าคนที่เป็นแนวหน้าก็คว้าโต๊ะคว้าเก้าโยนไปใส่พวกนั้น

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท