ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1437 ฤดูติดสัดของแลบราดอร์

บทที่ 1437 ฤดูติดสัดของแลบราดอร์

ถึงแม้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่อุณหภูมิข้างนอกกลับยิ่งต่ำลง เดาว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุของกระแสลมหนาวมาถึง

แล้วท่านชายฉินก็สวมชุดแล้วเดินออกมาอย่างงกๆ เงิ่นๆ เหมือนนกแพนกวิน เวนท์ลี่ก็หัวเราะและพูดขึ้น “เพื่อน คุณมาวงกลมอาร์กติกเป็นครั้งแรกใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพยักหน้า “แน่นอน”

พอเขาอ้าปาก หายใจออกก็เหมือนกับมีเศษน้ำแข็งและไอน้ำสีขาวที่เพิ่งจะออกจากปากก็เลือนหายไป เดาว่าคงจะร่วงลงพื้นไปแล้ว

เวนท์ลี่พูดว่า “ถ้างั้น คุณไม่ควรใส่เสื้อผ้าเยอะนะ สัมผัสอากาศแถบขั้วโลกเหนือสักหน่อยสิ ผมว่านะหลังจากที่คุณได้ประสบการณ์จากครั้งนี้แล้ว คราวหน้าก็คงไม่มาแล้วล่ะมั้ง?”

ฉินสือโอวเห็นด้วยกับที่เวนท์ลี่พูด และก็จริงนั่นแหละ คราวหลังเขาคงไม่มาดูแสงเหนืออะไรนี่แล้วเพราะมันหนาวเกินไป

พวกเขาเตรียมไปเดินในเขตชุมชนอยู่อาศัย เย็นวานนี้ฉินสือโอวเห็นแบบผ่านๆ ว่ามีโรงแรมวังน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงอยู่ที่หนึ่ง โดยโรงแรมนั้นสร้างจากก้อนน้ำแข็งและหิมะทั้งหมด เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองนี้ ถ้ามาแล้วไม่ได้เข้าไปที่นั่นคงน่าเสียดายมาก

ส่วนชาร์คนายทหารใหญ่ก็เดินตัวสั่นออกมา และพูดขึ้น “บอสครับ พวกบอสต้องการไปเดินเล่นจริงเหรอครับ? พวกเรารออยู่ในห้องไม่ได้เหรอ? รอให้แสงเหนือออกมาก่อนแล้วพวกเราค่อยออกไปดูอย่างนี้น่ะ?”

บีบีซวงที่ฟันกระทบกันอยู่ ก็พูดแบบติดอ่างขึ้น “หรือ หรือว่า ผม ผมเห็นว่าที่นี่ค่อนข้าง ค่อนข้างปลอดภัยดี ถ้าอย่างนั้นให้แบล็คไนฟ์และแอร์แบ็คพาไปดีไหม ผมไม่ไปแล้วได้ไหม?”

แบล็คไนฟ์จ้องไปอย่างตาขวางคิ้วขมวด “พูดบ้าอะไร แล้วทำไมให้แต่พวกเราสองคนไป?”

แล้วบีบีซวงมีเหตุผลที่จะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “นั่นก็เพราะว่าผิวนายดำ สามารถดูดแสงแดดได้มากกว่า เลยอุ่นกว่า ส่วนเจ้าแอร์แบ็คน่ะนิสัยดีอยู่แล้ว ไม่งั้นนายก็ไปถามทริกเกอร์กับออสเปรดูด้วยก็ได้ว่าพวกเขาจะไปไหม?”

แอร์แบ็คหัวเราะชอบใจดูสองคนปะทะคารมกัน ดูแล้วรู้สึกดีแถมพวกเขายังดูไม่หนาวดีด้วย

แบล็คไนฟ์ยื่นมือออกมาชี้บีบีซวงแล้วพูดออกไปอย่างโมโห “นาย ไอ้คนเลือกปฏิบัติ! นายมันพวกเหยียดคนดำ เพื่อน ฉันจะฟ้องนาย และพอหลังจากนายตายแล้วก็จะต้องตกนรก”

“คนแข็งตายแม้แต่นรกก็ยังไม่อยากรับเลย” ทริกเกอร์พูดขึ้น เขาคิดไปคิดมาแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “ถ้านรกอบอุ่นเหมือนกับเซนต์จอห์นละก็ ฉันลงไปตอนนี้เลยก็ยังได้”

วินนี่อุ้มเถียนกวาเดินออกมา พร้อมกับหู่เป้าฉงหลัว แมวป่า และพวกเฟอเรทตัวน้อยเดินตามหลังมา แต่ละตัวแต่งตัวเต็มยศมาก ตัวกลมอย่างกับฟักทองลูกเล็กใหญ่

“ออกเดินทางกันได้หรือยังคะ ที่รัก?” วินนี่ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ตอนนี้พวกเราอยู่ในวงกลมอาร์กติก มา ทุกคนมาถ่ายรูปกัน นี้เต็มไปด้วยความหมายที่น่าจดจำล่ะ”

แล้วฉินสือโอวก็พูดขึ้นว่า “พวกคุณถ่ายกันไปเลย ผมไม่ถ่าย ตอนนี้ผมไม่อยากจะขยับไปไหนเลยด้วยซ้ำ กระดูกผมแข็งไปแล้วเรียบร้อย”

วินนี่เลิกคิ้วแล้วพูดขึ้น “พูดอะไรของคุณ ทำไมถึงจะไม่มาถ่ายรูปด้วยกัน? พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ พวกนั้นไม่ถ่ายก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องถ่าย นี่มันภาพครอบครัวนะคะ!”

ฉินสือโอวตอบ “ไม่เป็นไรหรอกน่า ออสเปรก็อยู่ข้างคุณไม่ใช่เหรอ? ถ่ายไปเถอะน่า ยังไงก็ไม่เห็นหน้าอยู่แล้ว แล้วค่อยไปบอกเอาก็ได้ว่านั่นน่ะคือผม”

วินนี่ “…”

เวนท์ลี่ถือว่าเป็นเถ้าแก่ที่ดีคนหนึ่งเลย จากการที่ฉินสือโอวและคนของเขาเช็คเอาท์นั่นก็จะทำให้เขาเสียลูกค้ารายใหญ่ไป แต่เขาไม่ได้คิดมาก แถมยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสองสามที่ในเมืองให้พวกเขา และสุดท้ายยังช่วยติดต่อรถลากเลื่อนหิมะที่ใช้สุนัขลากหนึ่งคันให้พวกเขาอีก

“เพื่อน ที่นี่มีเพียงสองอย่างที่ใช้เป็นเครื่องมือการเดินทาง สโนว์โมบิลกับรถลากเลื่อนหิมะ สำหรับผม ผมรู้สึกว่ารถลากเลื่อนหิมะที่ใช้สุนัขลากจะดีกว่า พวกคุณว่าอย่างไร?” เวนท์ลี่พูดไปพลางหัวเราะ

ฉินสือโอวและวินนี่มองตากัน แล้วก็พากันพยักหน้า

ไม่นานก็มีชายแก่เคราขาวชาวอินูเปียตคนหนึ่งมาที่โรงแรม พอพาพวกเขาออกมาแล้วก็ได้พูดขึ้นว่า “พวกเราต้องเดินเท้าสักประมาณสองสามร้อยเมตร เพราะที่นี่เป็นสนามบินไม่สามารถนำรถลากเลื่อนมาจอดในบริเวณนี้ได้”

หลังจากย่ำหิมะออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ชายแก่ก็ผิวปากเสียงดังกังวานขึ้น แล้วรถลากเลื่อนสุนัขอะแลสกาก็วิ่งส่ายหางมาด้วยความดีใจ

ทันทีที่พวกมันปรากฏตัวหู่จือและเป้าจือก็ตื่นเต้น ในขณะเดียวกันพวกมันก็เห่าอย่างมีความสุข และพยายามที่จะถอดเสื้อขนเป็ดที่อยู่บนตัวทิ้ง

เมื่อพวกสุนัขรถลากเลื่อนได้ยินเสียงเห่าของแลบราดอร์ก็หยุดวิ่งทันที พลางรวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับพิจารณามองพวกมันอย่างประหลาดใจ

แลบราดอร์ก็ดิ้นอยากออกนอกหน้า ฉินสือโอวจึงจับพวกมันไว้และขึ้นเสียง “นิ่งไว้ นิ่งไว้! พวกเขาคือเพื่อน ห้ามมีการทะเลาะกันเข้าใจไหม? มานี่มา มาสงบสติลงก่อน…”

ในอดีตหู่จือและเป้าจือจะเฉลียวฉลาดที่สุดแต่ตอนนี้กลับไม่เชื่อฟังแล้ว ทั้งสองตัวพยายามดิ้นอย่างหนักออกจากอ้อมแขนของเขาเพราะอยากจะหลุดออกจากเชือกจูงและเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของพวกมัน

ฉินสือโอวเริ่มโมโห จึงพูดอย่างเข้มงวดขึ้น “เป็นอะไร ไม่เชื่อฟังแล้วใช่ไหม?”

วินนี่จับแขนของเขาแล้วกระซิบเขาว่า “ที่รัก ฉันว่าพวกมันไม่ได้อยากทะเลาะหรอกแต่…”

วินนี่อายที่จะพูดคำต่อมาจึงแอบขยิบตาให้เขา นี่เป็นสัญญาณลับของทั้งสองเวลาอยู่ที่บ้าน ซึ่งเมื่อคนใดคนหนึ่งทำแบบนี้นั่นคือสัญญาณว่าอยากขึ้นไปจัดหนักบนบ้านแล้ว

พอฉินสือโอวเข้าใจก็ถึงกับงง และพูดขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไงกัน นี่มันฤดูหนาวนะ ยังไม่ถึงช่วงฤดูติดสัดเลยนี่?”

โดยธรรมชาติแล้วนั้น มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นสัตว์ที่มีเพศสัมพันธ์ตลอดทั้งปี แต่กับสุนัขโดยปกติแล้วจะทำการผสมพันธุ์กันในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน

วินนี่ยักไหล่จากนั้นก็ช่วยหู่จือและเป้าจือถอดเสื้อโค้ตออก แลบราดอร์ทั้งสองตัวไม่กลัวความหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย พวกเขาสะบัดขนสั้นสีทองแล้วกระโดดเข้าไปใกล้กับกลุ่มสุนัขรถลากเลื่อน พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้สุนัขเพศเมียแสนสวยสองตัว

แต่ขณะที่พวกมันเข้าไปใกล้ เหล่าสุนัขรถลากเลื่อนเพศผู้ก็โมโห พลางแยกเขี้ยวขู่คำรามใส่พวกมัน

หู่จือและเป้าจือไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย แถมทั้งสองยังใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อแสดงความองอาจเชี่ยวชาญด้านการรบของตัวเอง อุ้งเท้าพวกมันเหยียบลงไปในหิมะพร้อมทั้งจ้องและแยกเขี้ยว “โฮ่งๆ!”

ในฐานะสหายร่วมรบของแลบราดอร์ เมื่อพวกมันร้องเรียก ไม่ว่าจะเป็นฉงต้า หัวไชเท้าน้อยหรือแม้แต่ราชาเจ้าป่าซิมบ้าที่กำลังดูสถานการณ์อยู่ข้างสนามก็พากันลุกขึ้น โดยเฉพาะฉงต้าที่แค่คำรามผ่านลำคอ เหล่าสุนัขรถลากเลื่อนก็ตกใจลงไปหมอบอยู่กับพื้นในทันที

หลังจากเห็นฉงต้าแล้ว ชายแก่ที่คุยอยู่กับเวนท์ลี่ก็ถึงกับตกใจหน้าซีดและร้องขึ้น “ทำไมพวกคุณถึงมีหมีด้วยล่ะ?”

พูดแล้วเขาก็วิ่งไปรวมหมาของตนพร้อมทั้งให้พวกมันถอยไปเพื่อระวังตัว

เวนท์ลี่จึงช่วยฉินสือโอวอธิบายให้ชายแก่ฟัง “ตาซาลา หมีตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงไม่มีพิษมีภัยอย่างแน่นอน เมื่อวานนี้ลูกชายผมก็ยังเล่นกับมันอย่างสนุกสนานอยู่เลย”

ชายแก่พูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “น้องชายฉันเวนท์ลี่เอ๊ย ฉันน่ะไม่ได้กลัวมันหรอก แต่เด็กๆ ของฉันกลัวมันน่ะสิ! ไม่ไหวๆ ฉันคงรับงานนี้ไม่ได้หรอก”

ทั้งฉินสือโอวและเวนท์ลี่ก็ขอร้องจนปากเปียกปากแฉะ แต่ชายแก่ยังคงกอดสุนัขรถลากและยืนหยัดส่ายหน้า บอกว่าหมาพวกนี้กลัวหมีสีน้ำตาล แล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่

วินนี่คิดไปคิดมา และพูดขึ้น “หรือจะเอาอย่างนี้ไหม ถ้าคุณทิ้งรถลากเลื่อนหิมะไว้จะโอเคไหม? เดี๋ยวพวกเราขอเช่าแค่รถลากเลื่อนหิมะของคุณ แล้วให้หมีกับแลบราดอร์ของพวกเราลากแทน”

ชายแก่พยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา พวกเธอเอาไปใช้ได้เลย”

พอแก้รถลากเลื่อนหิมะออกแล้ว หมาเหล่านั้นก็รีบวิ่งออกห่าง ส่วนสีหน้าของหู่จือและเป้าจือก็เต็มไปด้วยความผิดหวังและวิ่งตามไปสองสามก้าว แล้วเห่าออกไปด้วยอารมณ์ไม่อยากจาก “โฮ่งๆๆ โฮ่งๆๆ…”

ทันทีที่พวกมันเห่า ฉงต้าก็คำรามตาม ยิ่งทำให้เหล่าสุนัขรถลากเลื่อนตกใจกลัวและวิ่งหายวับไปกับตา

………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท