ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1426 น้ำมันวาฬถังหนึ่ง

บทที่ 1426 น้ำมันวาฬถังหนึ่ง

วาฬไรท์พ่นน้ำออกมาเป็นลักษณะรูปตัววี แรงดันน้ำแรงมาก สามารถพ่นออกมาได้สูงห้าถึงหกเมตรคล้ายกับน้ำพุสองช่อ

จากนั้นพอมีวาฬไรท์ตัวหนึ่งพ่นน้ำออกมา ตัวอื่นๆ ก็ทำตามโดยเริ่มทยอยพากันพ่นน้ำออกมาเช่นกัน ประจวบเหมาะกับที่วาฬตัวหนึ่งที่อยู่ข้างเรือปริ้นเซสเมล่อนพอดีจึงทำให้ละอองน้ำกระเด็นขึ้นมาบนเรือ!

วินนี่โยนชิ้นปลาพวกนี้แบ่งให้วาฬไรท์จนหมดแต่พวกมันที่มีรูปร่างใหญ่โตจึงทำให้กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ทั้งในน้ำก็ไม่มีชิ้นปลาแล้ว พวกมันจึงยื่นตัวขึ้นมาคราวนี้ไม่ใช่แค่แอบมองแล้วแต่ยังเอาหัวโผล่ขึ้นจากน้ำมาตั้งครึ่งหนึ่ง

“โอ้โห ไอ้เจ้าพวกจอมตะกละ” วินนี่หัวเราะพลางโบกมือแล้วตะโกน “ไปแล้วนะทุกคน หมดแล้ว อาหารหมดแล้วล่ะ พวกแกต้องไปหากินเองแล้ว!”

วาฬไรท์ไม่มีแรงพอที่จะตั้งตัวตรงในน้ำได้นาน พอเริ่มเหนื่อยแล้วก็ว่ายกลับลงไปในน้ำเหมือนเดิม เวลานี้เรือปริ้นเซสเมล่อนก็ได้ขับมุ่งหน้าไปยังทางเหนือต่อ

ขับไปได้สักพัก ซีมอนสเตอร์ที่อยู่ในห้องเดินเรือก็เดินออกมาพร้อมกับหัวเราะ “ดูจากมอนิเตอร์หาปลาแล้ว เจ้าพวกนั้นดูเหมือนจะยังตามพวกเรามาอยู่นะ”

ชาร์คอุทานด้วยความตกใจว่า “จะเป็นไปได้ไง ความเร็วในการว่ายน้ำของวาฬไรท์ช้ามาก พวกมันไม่มีทางว่ายตามเรือพวกเราทันอยู่แล้ว!”

ซีมอนสเตอร์ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “หรือพวกมันเพิ่งกินอิ่มก็เลยทำให้มีพลังมากขึ้นอย่างนี้เหรอ? แต่พวกมันก็ตามอยู่ตลอดนะ ไม่เชื่อนายก็เข้าไปดูในห้องเดินเรือดูสิ”

ฉินสือโอวยังรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะวาฬไรท์ว่ายน้ำช้ามาก จึงไม่มีทางตามเรือที่แล่นด้วยความเร็วสี่สิบห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงได้แน่ ดังนั้นเขาจึงเดาออกว่าเหล่าบอดี้การ์ดอยู่ในน้ำใกล้เกินไป

อย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อถอดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงน้ำไปดู ก็พบคราเคนกับเฮยป้าหวังว่ายน้ำมาอย่างเร็วราวกับว่ายแข่งกันอยู่ เขาจึงรีบควบคุมทั้งสองเอาไว้ จากนั้นก็ออกคำสั่งพวกงูเหลือมทะเลที่อยู่ด้านหลัง ให้พวกมันดำลงลึกและว่ายออกจากเขตการแผ่คลื่นรังสี

และเมื่อยิ่งเข้าใกล้ทางเหนืออากาศก็ยิ่งหนาวขึ้น จากก่อนหน้านี้ฉินสือโอวยังดูตื่นเต้นที่จะออกไปรับลมทะเลและหยอกล้อกับหู่เป้าฉงหลัวอยู่ด้านนอกอยู่เลย แต่พอหลังจากเข้าสู่เขตน่านน้ำแลบราดอร์ก็หมดแล้วซึ่งความตื่นเต้น ส่วนใหญ่ช่วงบ่ายๆ ถึงค่อยจะออกมาอาบแดดด้านนอก

ปกติเวลาว่างมากๆ ฉินสือโอวก็จะถอดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปล่องทะเล และหลังจากเข้าสู่อ่าวแดงของน่านน้ำแลบราดอร์ ก็พบซากเรืออับปางลำหนึ่งขนาดยาวยี่สิบกว่าเมตรปรากฏอยู่บนก้นทะเล

เมื่อเห็นซากเรืออับปาง จิตใจของท่านชายฉินก็ถึงกับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรือลำนี้คือเรือสำเภา ที่เมื่อดูจากโครงสร้างแล้วเห็นได้ว่าเป็นเรือไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้กันทั่วไปในช่วงศตวรรษที่สิบห้าสิบหก ส่วนหัวเรือก็มีเครื่องเสากันชนและตราประจำตระกูล ดูแล้วเหมือนกับเรือขนสมบัติ

แต่เมื่อเข้าดูใกล้ๆ เขาพบว่ามีเรือไม้ลำเล็กๆ อีกสี่ลำอยู่ที่ส่วนหางของเรือโทรมๆ ผุพังลำนี้ เช่นนี้ก็คงจะไม่ใช่เรือขนสมบัติแล้วล่ะ

เพื่อเป็นการป้องกันกะลาสีเรือที่ไม่จงรักภักดี แอบหนีหรือแอบขโมยสมบัติบนเรือหนี เรือขนสมบัติจึงจะไม่พ่วงเรือเล็กไปเยอะ กลับกันจะเป็นเรือล่าวาฬซะมากกว่าที่ทำอย่างนั้น

และเมื่อเข้าไปดูห้องโดยสารเรือ ฉินสือโอวถึงกับตกใจ สิ่งที่เห็นก็คือศพสองสามศพ เนื่องด้วยน่านน้ำแลบราดอร์หนาวเย็นตลอดทั้งปี ศพพวกนี้จึงถูกผนึกไว้ในห้องโดยสารเรือ และด้วยความที่มีแบคทีเรียน้อยร่างจึงไม่มีการเน่าเปื่อย มันถูกรักษาให้คงอยู่ในสภาพร่างที่แห้งกรัง มองดูแล้วน่าสยดสยองเป็นที่สุด

ศพที่อยู่ก้นทะเลก็มีหลากหลายแบบ บ้างก็เน่าเปื่อย บ้างก็ขึ้นอืดเนื่องจากแช่อยู่ในน้ำทะเล แต่ศพแบบสุดท้าย หากสุดท้ายแล้วศพไม่มีการเน่าเปื่อยเซลล์ก็จะตายไปตามสภาวะความหนาแน่นของภายนอกและภายใน จนเข้าสู่กระบวนการสูญเสียน้ำ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะที่เขาเจอ

และลักษณะศพแห้งกรังเป็นสิ่งที่ฉินสือโอวกลัวมากที่สุด เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง สีหน้าท่าทางของศพพวกนี้จึงดูโหดร้ายทารุณเป็นอย่างมาก แม้แต่อวัยวะบนใบหน้าก็บีบตัวเข้าหากันจนไม่สามารถที่จะแยกออกได้

จากนั้นเขาก็ไปเจอเข้ากับกล่องใบใหญ่สองกล่องที่ห้องข้างๆ โดยถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาค่อนข้างมีความหวังว่าหรือจะมีของล้ำค่าอะไรอยู่ข้างใน?

สุดท้ายพอเขาทำให้คลื่นปั่นป่วน กล่องผุๆ พังๆ นั้นก็แตกออกอย่างง่ายดาย และของทั้งหมดที่ทะลักออกมาก็คือกระดูกสีขาวโพลน! อีกทั้งเมื่อดูจากกระดูกกะโหลกศีรษะแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือกระดูกของคน!

แต่จะว่าไปฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะศพที่อยู่ห้องข้างๆ นั้นแห้งกรังแล้ว แต่ศพที่อยู่ในกล่องนั้นจะเน่าเปื่อยจนเนื้อหนังรุ่ยไปหมดเลยได้อย่างไรกัน?

แต่นี่ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจมาก ถ้าคิดไม่ออกก็ปล่อยไป แล้วเขาก็ทำการหาต่อ สุดท้ายก็เจอเข้ากับกองถังไม้ยางขนาดใหญ่จำนวนมากในห้องโดยสารเรือ พอเอาหนึ่งในนั้นมาผ่าดู ก็พบอีกว่าข้างในนั้นคือตัวอย่างน้ำมันวาฬที่แข็งตัว

เช่นนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าเรือลำนี้คือเรือล่าวาฬ น้ำมันพวกนี้ก็คงจะเป็นน้ำมันปลาของวาฬนั่นเอง

เมื่อก่อนน่านน้ำแลบราดอร์เคยเป็นแหล่งสำคัญในการล่าวาฬของชาวบาสก์ ซึ่งวาฬไรท์สองสามหมื่นตัวเริ่มดำรงชีวิตอยู่ในน่านน้ำนี้นับตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่สิบห้าสิบหกเป็นต้นมา แต่เนื่องด้วยถูกล่าโจมตีอยู่ตลอด วาฬไรท์ที่อยู่ที่นี่ถึงได้ดูร่อยหรอจนเกือบจะสูญพันธุ์ในปัจจุบัน

ตามที่ฉินสือโอวรู้ ในยุคเฟื่องฟูของศตวรรษที่สิบหก ช่วงฤดูล่าวาฬ มีนักล่าวาฬมากกว่าสองพันคนอาศัยอยู่แถบบริเวณอ่าวแดง ผลิตน้ำมันวาฬได้ห้าแสนแกลลอนทำให้ได้กำไรอย่างมหาศาล

ในช่วงเวลานั้น น้ำมันวาฬถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากอย่างหนึ่ง สามารถใช้ในการให้แสงสว่าง ทำน้ำมันหล่อลื่น รวมไปถึงเอามาทำเป็นสารเติมแต่งในยา สบู่ และยางมะตอยได้ ทั้งการเติมเครื่องเทศลงในน้ำมันวาฬในสมัยศตวรรษที่สิบหกซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่เหล่าผู้ดีชอบมากที่สุด

หลังจากที่ชาวบาสก์ล่าวาฬได้และนำไปลนอาบน้ำมันปลา เรือเดินสมุทรก็ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนทำการตลาดไปถึงทวีปยุโรป ซึ่งราคาขายของน้ำมันวาฬหนึ่งถังในปริมาณห้าสิบห้าแกลลอนนั้นสูงถึงหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน

ดังนั้นสำหรับชาวบาสก์แล้ว การที่เจอแหล่งวาฬไรท์ในแลบราดอร์ก็เหมือนกับว่าเจอเหมืองทองคำ

แต่สำหรับท่านชายฉิน นี่คือไร้ประโยชน์ หลังจากเขาค้นหาอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าสิ่งเดียวที่มีค่าในเรือลำนี้คือน้ำมันวาฬถังหนึ่งกับกล่องใบหนึ่งที่เจออยู่ในห้องโดยสารเรือที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา

กล่องใบนี้ถูกน้ำมันวาฬซีลไว้ ดังนั้นถึงจะไม่รู้ว่าข้างในกล่องมีอะไร แต่ฉินสือโอวคาดว่าข้างในจะต้องเก็บของดีไว้แน่

เขาคิดจะเปิดมันแต่เมื่อวิเคราะห์ดูจากการที่เจ้าของใช้น้ำมันวาฬซีลมันไว้ งั้นก็แสดงว่าของข้างในกล่องกลัวน้ำ ดังนั้นเขาจึงเรียกคราเคนมาให้มันใช้หนวดดูดกล่องไว้ เอาไว้หลังจากขึ้นจากน้ำแล้วถึงค่อยเปิดดู

เอากล่องมาได้แล้ว ฉินสือโอวก็ต้องจากมาด้วยความจำใจ เพราะปัจจุบันน้ำมันวาฬไม่มีมูลค่าอะไรแล้ว ไม่ว่าจะนำมาทำแสงสว่างหรือน้ำมันหล่อลื่น เพราะน้ำมันวาฬมีสิ่งมาแทนที่มันเป็นที่เรียบร้อย

เช่นนี้แล้วเขาจึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับ พอรู้สึกตัวเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ วินนี่ที่อยู่ข้างๆ เลยหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ พร้อมกับถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ? ทำไมคุณถึงได้ดูเศร้าอย่างนั้นล่ะ?”

ฉินสิอโอวตอบ “คงเป็นเพราะว่าอยู่ในทะเลมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรที่ดูเหมาะจะเก็บเกี่ยวได้เลย แล้วจะไม่ให้ผมเศร้าได้อย่างไรล่ะ”

เมื่อถึงที่สุดแล้วก็คงต้องหันกลับ ตลอดทางเหนือพอเข้าไปส่งเสบียงที่ท่าเรือเบอร์เวลล์แล้ว ถึงค่อยออกจากน่านน้ำแลบราดอร์ จากนั้นก็เข้าสู่เขตเกาะแบฟฟินเขตที่หนาวที่สุดของแคนาดา

ผ่านคาบสมุทรฮอลล์ของเกาะแบฟฟินและเข้าสู่ช่องแคบดาวิส ในเวลานี้ข้ามช่องแคบไปก็จะสามารถเห็นแคนาดาและเกาะกรีนแลนด์ได้อยู่ไกลลิบๆ

พอถึงสถานที่แห่งนี้ อุณหภูมิก็ลดลงถึงขั้นติดลบ ที่พวกเขาแพลนไว้ก็คือลอดผ่านช่องแคบดาวิสไปถึงอ่าวน้ำเย็นอิลูลิสแซท สุดท้ายเมื่อเรือประมงเข้าเทียบท่าเรือเกาะแอตตูเพื่อเตรียมส่งเสบียง ฉินสือโอวก็พบว่าน่านน้ำแห่งนี้มีปูจักรพรรดิอาศัยอยู่จำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ!

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท