ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1430 ปูจักรพรรดิแช่แข็ง

บทที่ 1430 ปูจักรพรรดิแช่แข็ง

ปูจักรพรรดิเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งมาก พวกมันเป็นสัตว์ทะเลลึก แต่เมื่อหลังจากถูกนำขึ้นจากน้ำ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของความดันภายนอกและภายในที่ดุเดือด มันกลับไม่ตายในทันที เมื่อขึ้นจากน้ำทะเลแล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชื้นและเย็นมันก็จะสามารถอยู่ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง!

แต่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เช่นปลาอินทรีทอง ปลาหัวเมือก หรือปลาอื่นๆ ที่หลังจากถูกลากขึ้นมาจากน้ำไม่นานพวกมันก็ตาย

นอกจากนี้ หลังจากทำการแช่แข็งได้อย่างเหมาะสมแล้ว ปูจักรพรรดิแช่แข็งจะสามารถเก็บไว้ได้นานถึงหนึ่งปี ดังนั้นเจ้าสิ่งนี้จึงเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลทางเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยมที่สุด เนื่องจากจับเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถวางขายได้ทั้งปี

กระชังปูจักรพรรดิแต่ละอันถูกดึงขึ้นมา บนดาดฟ้าเรือทันใดนั้นก็ชุลมุนวุ่นวายกับงาน กระดองใหญ่ของปูพวกนี้ออกสีแดงคล้ำ และเต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่น่ากลัว ดูเหี้ยมโหดเป็นอย่างมาก

ทางฝั่งเจ้าพวกตัวน้อยก็ไม่ยอมอยู่เฉย พวกมันวิ่งขึ้นไปเล่นบนดาดฟ้าเรือ ทันใดนั้นฉงต้าก็เห็นปูจักรพรรดิที่กำลังวางก้ามใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ตรงนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู และมันก็ได้ยึดพื้นที่ตรงส่วนนี้เป็นอาณาบริเวณของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

แต่ปูจักรพรรดินั้นโมโหร้าย หลังจากที่ฉงต้าเข้าไปใกล้ ก็มีปูจักรพรรดิขนาดเท่าฝาหม้อหุงข้าวตัวหนึ่งง้างก้ามอันเหี้ยมโหดออกมาแล้วยกขึ้นไปเพื่อจะหนีบอุ้งมืออ้วนของฉงต้าที่ยื่นเข้ามา

ในชั่วพริบตานั้น ฉินสือโอวก็นึกขึ้นได้ว่าฉงต้าเคยถูกปูหิมะหนีบเมื่อสามปีก่อน

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาจับปูหิมะขึ้นมาได้ บวกกับฉงต้าที่ยังเด็กและตะกละตะกลามเป็นที่สุด พอเห็นปูหิมะก็อยากจะกิน สุดท้ายจึงโดนหนีบเข้าให้ ในตอนนั้นอุ้งมือน้อยๆ ของมันโดนหนีบจนปริแตก กระทั่งตอนนี้หากแหวกขนดกดำของมันออกก็จะเห็นรอยแผลที่กลายเป็นแผลเป็น

แต่ฉงต้าได้บทเรียนจากครั้งที่แล้ว เดิมทีมันแค่จะยื่นมือไปแหย่ปูจักรพรรดิเล่นก็เท่านั้น แต่พอปูยักษ์ตัวนี้ทำท่าชูก้ามขึ้นมา มันก็ไม่ลังเลที่จะฟาดฝ่ามือลงไป!

‘แกรก’ เสียงคล้ายของแตกดังขึ้น จากนั้นปูจักรพรรดิตัวนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ…

“โอ้มายก๊อด” พอเห็นฉากนี้ชาร์คก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปแล้วลากมือฉงต้าออกไป

ปูจักรพรรดิมีราคาแพงมาก หนึ่งตันก็ประมาณมากกว่าหมื่นดอลลาร์สหรัฐ แล้วกลับมาคำนวณที่ปูจักรพรรดิหนักสิบกว่ากิโลกรัมตัวนี้ นั่นเป็นเงินมากกว่าร้อยดอลลาร์สหรัฐ แต่ฉงต้ากลับใช้ฝ่ามือฉีกแบงก์ร้อยดอลลาร์ขาดย่อยยับไปกับมือ!

อีกทั้งนี่ยังเป็นแค่ราคาในตลาดขายส่ง แต่ถ้าได้เข้าสู่อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินแล้วล่ะก็ ราคาปูจักรพรรดิพวกนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าตัว แล้วถ้าเป็นอย่างที่คาดการณ์ขายปูจักรพรรดิสิบโลกว่าจะเป็นเงินถึงสองพันดอลลาร์

ซึ่งนี่ก็นับได้ว่าขาดทุนอย่างมหาศาลเลย

หู่จือเป้าจือที่สวมเสื้อหนาวหนาทำจากขนสัตว์กำลังลื่นไถลอยู่ที่หางเรือ ตอนนี้ทั้งเรือถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง แม้ว่าชาวประมงจะคอยเช็ดอยู่ตลอดเวลา แต่ไอน้ำในทะเลนั้นมีปริมาณมากเกินไปบวกกับอุณหภูมิที่ต่ำจึงเกิดการควบกล้ำและกลายเป็นชั้นน้ำแข็ง

ทั้งสองวิ่งอย่างระวังสองก้าวจากนั้นก็กางแขนกางขาออกแล้วไถลลื่นเหมือนกับอยู่บนไอซ์สเกต

พี่น้องเฟอเรทเห็นว่าน่าสนุกจึงวิ่งเข้าไปร่วมด้วย จากนั้นตามด้วยหมาป่าน้อย และสุดท้ายเป็นซิมบ้า

ฉินสือโอวเห็นก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น และคิดจะเดินไปจับพวกมันกลับไปไว้ที่ห้องโดยสารเรือ สุดท้ายขณะที่ก้าวเท้าออกไปแต่ยืนไม่มั่น ร่างของเขาก็เกือบจะล้มหัวทิ่ม

ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาอยากจะจับพวกมันกลับไป เพราะบนเรือลื่นเกินไป หากไม่ระวังอาจจะลื่นตกลงไปก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่อันตรายมาก

กางแขนค้ำทั้งซ้ายและขวาแล้วถึงขนาดนั้นก็ยังยากที่จะยืนให้มั่นได้ ฉินสือโอวจึงถอนหายใจแล้วพึมพำขึ้น “บ้าเอ๊ย รักษาสมดุลได้ดีซะไม่มี!”

จากนั้นคนที่อยู่ข้างแคมเรือก็ส่องไฟมาทางเขาแล้วถามว่า “บอส คุณกำลังเต้นอยู่เหรอ?”

“เต้นอะไร รีบทำงาน! แล้วไปท่าเทียบเรือ!” ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

จากนั้นเขาก็ขึ้นไปจับหู่จือที่หมอบอยู่บนพื้นแล้วร้องขึ้น “กลับเข้าไปข้างในให้หมด ไม่อนุญาตให้มาเดินอยู่บนนี้ หู่จือ ตามฉันมา!”

อากาศที่หนาวมาก เจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยจึงสวมเสื้อมิดชิดมาก หู่จือเป้าจือถูกห่อตั้งแต่หัวยันตูด มีเพียงแค่ลูกตาสองข้างกับจมูกเปียกที่ยื่นออกมาเท่านั้น ฉินสือโอวกวักมือเรียกหู่จือ สุดท้ายมันที่ทำเหมือนจะไม่ลุก ก็ได้แต่เงยหน้ามองเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา

ท่านชายฉินจึงตีไปที่ก้นมันสองที พร้อมกับด่ามัน “ไม่ฟังคำสั่งแล้วใช่ไหม? เรียกแกเนี่ยไม่ได้ยินรึไง กลับเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้!”

แลบราดอร์พยายามยื่นหน้าออกจากหมวกหมา แล้วมองท่านชายฉินด้วยความน้อยใจ ฉันคือเป้าจือ แต่นายเรียกหู่จือแล้วทำไมฉันต้องขยับด้วย?

หู่จือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และยังคงไถลลื่นปื้ดลื่นปื้ดอยู่ที่เดิม ส่วนพี่น้องเฟอเรทก็ง้างปากงับที่หางเสื้อขนสัตว์ตรงตูดมันแล้วไถลไปกับมันอย่างสนุกสนาน

ให้ตายสิ ฉินสือโอวแอบด่าในใจ ก็วินนี่ซื้อเสื้อขนสัตว์มาให้แลบราดอร์เหมือนกันทั้งสองตัว แล้วเขาไปจะแยกออกได้ยังไงกัน

ทั้งร้องทั้งด่า ไม่ง่ายเลยที่เขาจะไล่พวกตัวน้อยกลับเข้าไปในห้องโดยสารเรือ เพราะแลบราดอร์นั้นต่อต้านมาก พวกมันเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า และต้องการออกกำลังเพื่อปลดปล่อยพลังงานสะสมในทุกๆ วัน ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายตัว

พวกชาวประมงยังคงง่วนอยู่กับงาน การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ค่อนข้างดี กระชังปูทั้งแปดสิบอันเต็มทุกอัน และไม่ว่าจะหยิบปูจักรพรรดิตัวไหนขึ้นมาก็ทั้งตัวอ้วนตัวโตทั้งนั้น

และไม่เหมือนกับการจับในครั้งที่ผ่านมา ปูจักรพรรดิหลังจากจับขึ้นมาได้หากไม่นำออกขายเลยก็ต้องทำการเคลือบแข็ง

การแช่แข็งคือวิธีการทำให้อาหารทะเลมีชั้นน้ำแข็งบางๆ มาเคลือบที่ผิวของมันไว้โดยการทา แช่ หรือฉีดละอองน้ำ จนก่อตัวเป็นเหมือนห่อพัสดุ เพื่อป้องกันน้ำในส่วนของอาหารทะเลระเหยไป ในขณะเดียวกันเยื่อน้ำแข็งยังสามารถป้องกันไม่ให้อาหารสัมผัสกับอาหาร และป้องกันการเกิดออกซิไดซ์

เรือปริ้นเซสเมล่อนนั้นมีความทันสมัยมาก บนเรือมีการติดตั้งเครื่องเคลือบแข็งเอาไว้ด้วย เครื่องจักรตัวนี้มีลักษณะคล้ายกับเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ มีหนึ่งท่อเอาไว้ดูดน้ำจากในทะเลขึ้นมา และยังมีอีกท่อยื่นออกมาฉีดก๊าซน้ำแข็งที่ด้านนอก ซึ่งนี่เป็นการใช้เทคนิคพ่นละอองน้ำจนก่อตัวเป็นเกราะน้ำแข็ง

ปล่อยท่อดูดน้ำลงทะเล อีกหัวหนึ่งก็เชื่อมกับประตูทางเข้าห้องแช่แข็งบนเรือเพื่อลำเลียงพวกปูจักรพรรดิเข้าไปไว้ข้างใน

สิ่งที่เครื่องแช่เยือกแข็งฉีดออกมาอาจดูเหมือนไอน้ำ อันที่จริงแล้วมันคือหมอกน้ำแข็ง ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก แต่มีกำลังแรงดันสูงในท่อจึงสามารถพ่นออกมาได้ ซึ่งสิ่งนี้ยังอันตรายมาก หากฉีดไปโดนผิวหนังคนเข้าจะทำให้เกิดอาการบวมน้ำเหลืองได้โดยตรง!

กระชังปูแปดสิบอัน แต่ละอันเก็บเกี่ยวเฉลี่ยได้ห้าสิบกิโลกรัม การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ได้ปูจักรพรรดิถึงสี่ตัน เมื่อพอคำนวณแล้วเป็นเงินประมาณสี่หมื่นดอลลาร์ เงินจะเข้ามาอย่างเร็วมากเมื่อจับปูจักรพรรดิได้

หลังจากการเก็บเกี่ยว ฉินสือโอวก็สั่งให้ชาวประมงไปกินข้าวและเข้านอนกัน และมุ่งไปยังเกาะแอตตูตลอดคืน

ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้เข้าสู่อาร์กติกเซอร์เคิลเป็นที่เรียบร้อย กระแสลมหนาวลอยเข้ามา ผิวน้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง และหากเรือถูกขังไว้บนทะเล นั่นแหละคือความน่ากลัว แต่เรือยนต์นี้แล่นฉิวมาได้ตลอดทาง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขังในน้ำแข็ง แต่ถ้ามันหยุดเมื่อไรนั่นคือเตรียมใจได้เลย

นอกจากนี้ยังต้องเตรียมการเจอกับภูเขาน้ำแข็ง เพราะเมื่อเจอสิ่งนี้เข้าจะไม่มีแม้กระทั่งโอกาสรอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย!

จากนั้นฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปและเจอกับก้อนน้ำแข็งหลายก้อน เมื่อมองจากบนเรือ พวกมันเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดเท่ากับตั่ง สำหรับเรือปริ้นเซสเมล่อนแล้วแทบจะไม่มีผลอะไรเลย

แต่จากการสำรวจโดยจิตแห่งโพไซดอนแล้วรูปลักษณ์ทั้งหมดของมัน ส่วนใต้ทะเลของก้อนน้ำแข็งพวกนี้ใหญ่มาก โดยรวมแล้วทั้งอันแทบจะเท่ากับห้องหนึ่งห้องเลยก็ว่าได้!

ซึ่งถ้าเรือปริ้นเซสเมล่อนชนเข้ากับก้อนน้ำแข็งในมุมที่เหมาะเจาะ ก็จะสามารถทำให้ตัวเรือถูกเจาะเป็นรูใหญ่ได้!

ปริ้นเซสเมล่อนสตาร์ทขึ้นและมุ่งหน้าไปยังท่าเรือเกาะแอตตู

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท