ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1429 แลกด้วยชีวิต

บทที่ 1429 แลกด้วยชีวิต

เพิ่งจะเข้าสู่ช่วงเวลาบ่าย แต่ดูเหมือนพระอาทิตย์ที่นี่จะคล้อยลงทางทิศตะวันตกเร็วมาก ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนยอดสุดของเรือยักษ์ก็ได้หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วส่องไปทางทิศเหนือ

ส่วนวินนี่หนาวจนกระโดดหน้ากระโดดหลังอยู่ข้างล่าง แต่เหมือนฉงต้านั้นชอบใจ หมีสีน้ำตาลสามารถทนอยู่ในอุณหภูมิที่ติดลบยี่สิบองศาได้ นอกจากมันแล้วบนเรือยังมีเจ้าตัวเล็กอย่างแมวป่าซิมบ้าที่ทนได้ นอกนั้นอย่าได้พูดถึง

และพวกที่ไม่สามารถทนกับอุณหภูมิต่ำแบบนี้ได้ก็จะมีหู่จือ เป้าจือ หัวไชเท้าน้อย พี่น้องเฟอเรท แต่พวกมันกลับนั่งนิ่งอยู่บนเรือ นั่นก็เพราะพวกมันได้เสื้อขนเป็ดที่วินนี่สั่งทำพิเศษให้พวกมัน…

“ที่รัก เห็นขั้วโลกราตรีนั่นไหม?” วินนี่ทนหนาวไม่ไหวแล้ว จึงส่งเสียงดังพูดออกไป

ขั้วโลกราตรีที่ขั้วโลกเหนือเริ่มเดือนกันยายนและสิ้นสุดในเดือนมีนาคมปีหน้านู้น อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นช่วงพีกของขั้วโลกราตรี อยู่ที่เกาะกรีนแลนด์ยังมองเห็นเลยเถอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขึ้นเหนือไปอีกหน่อยเพื่อเข้าสู่เขตขั้วโลกเหนือ เพราะถ้าอยู่ที่เกาะแอตตูจะมองไม่เห็นน่ะสิ

ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างท้อใจ ที่เขาเห็นอยู่มีเพียงแค่สีขาวกับสีฟ้า สีขาวของพื้นดิน และสีฟ้าของน้ำทะเลเท่านั้น

ขณะที่เขากลับมาถึงห้องเดินเรือ วิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น เนื่องจากมีเรือลำหนึ่งเจอพวกเขาเข้า เสียงจากปลายสายได้ถามขึ้น “ไฮ พวก ต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม?”

ฉินสือโอวตอบไปอย่างมีมารยาท “พวกเราไม่เป็นไร ตรงนี้มีปลาให้จับพอดี พวกเราเลยว่าจะตกปลาสักหน่อยน่ะ”

คนนั้นเลยพูดด้วยความหวังดีว่า “ระวังด้วยล่ะเพื่อน ที่พวกนายอยู่คือทะเลอะเล็กซานเดอร์ ที่นั่นมันทางด่วนไปนรกเลยนะ อย่าได้หลงในเงินจนเสียสติ ทางที่ดีควรรีบออกมาจากที่นั่นจะดีกว่า”

ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณพร้อมกับบอกว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร และจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย

ถึงจะพูดออกไปอย่างมั่นใจ แต่ท่านชายฉินก็ไม่กล้าวางใจขนาดนั้น น่านน้ำกรีนแลนด์ในฤดูหนาวมีแต่น้ำแข็งเต็มไปหมด นอกจากนี้ภูเขาน้ำแข็งยังชอบถล่มแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าสิ่งนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด น่ากลัวกว่าหินโสโครกพวกนั้นอีก ถ้าชนเข้าล่ะก็คิดถึงตอนจบของเรือไททานิกได้เลย

เมื่อใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนล่อให้ปูจักรพรรดิเข้ามาในกระชังปูแล้ว ฉินสือโอวจึงใช้โอกาสในตอนที่ยังพอมีแสงอาทิตย์เรียกคนงานมารวมตัวกันแล้วให้เริ่มยกกระชังขึ้นมา

ทันใดนั้นก็มีคนพูดขึ้น “กัปตัน ปูจักรพรรดินั้นเคลื่อนไหวช้ามากเลยนะ ควรจะปล่อยกระชังปูไว้สักสิบสองชั่วโมงขึ้นไป ไม่อย่างนั้นผมคิดว่าเราน่าจะเก็บเกี่ยวมาไม่ได้มากขนาดนั้น”

ชาร์คดึงคอเสื้อคนผู้นี้พร้อมกับขึ้นเสียง “สมุดบันทึกชาวประมงข้อแรก คำสั่งของกัปตันสำคัญกว่าสิ่งใด! ได้ยินแล้วใช่ไหม รีบไปทำงานสิ ไปประจำตำแหน่งตัวเอง และเริ่มทำงานได้!”

ชาวประมงเหล่านี้คือล็อตที่เรียกมาจากในเมือง พวกเขายังคงสงสัยในความสามารถของฉินสือโอว เพียงแต่เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นเรื่องมหัศจรรย์มาก่อน ไม่เหมือนกับพวกชาร์คและคนอื่นๆ ที่ตอนนี้ไม่ว่าฉินสือโอวจะพูดอะไรไปพวกเขาก็จะเชื่อฟังเสมอ

ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า ฉินสือโอวก็ให้ชาร์คเปิดโคมไฟใหญ่ ส่องให้เห็นทุกซอกทุกมุมบนเรือ ในขณะเดียวกันก็ตะโกนออกคำสั่งด้วยตัวเอง “ส่องให้พวกนายขนาดนี้แล้วนะ ระวังตัวกันด้วย! ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวนะ ระวังตัวกันด้วย! เพราะนี่คือทางตรงลงนรกได้เลย!”

พอตะวันเริ่มคล้อย ลมทะเลก็เริ่มแรงขึ้น เรือปริ้นเซสเมล่อนยักษ์ที่ลอยไปตามคลื่นทะเลเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้น

เนื่องจากกระชังปูหนักเกินไปและมีปูจักรพรรดิอยู่ข้างใน จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมอเตอร์ดึงขึ้น ความเร็วของเครื่องมอเตอร์ดึงกระชังปูจะค่อนข้างเร็ว เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและทำให้ปูจักรพรรดิยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะพวกมันสามารถอยู่รอดได้สิบสองชั่วโมงในสภาพแวดล้อมเย็นชื้น

มอเตอร์ดึงเชือกหนาใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กระชังกรงแรกถูกดึงขึ้นมา ชาวประมงมือไวตาไวที่อยู่ทั้งสองข้างจับกระชังปูแล้วดึงมันขึ้นมา จากนั้นก็ดันไปทางดาดฟ้าเรือ

ในตอนนี้ต้องมีคนไปคอยรับกระชังปู แล้วก็ต้องมีคนคอยไปเช็ดรอยน้ำแถวๆ สองคนก่อนหน้า เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นน้ำแข็ง ไม่อย่างนั้นคนที่ทรงตัวไม่ดีก็จะลื่นตกลงไป

ด้วยอุณหภูมิเช่นนี้ ตกลงไปก็ไม่ตายก็เหมือนตาย และได้รับบาดแผลจากน้ำเย็นแน่นอน!

ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เหนื่อยและอันตรายที่สุด ในแต่ละปีรัฐบาลจะกำหนดโควตาไว้อย่างแน่นอน และการแข่งขันจับปูในน่านน้ำอะแลสกาก็ดุเดือดมาก ในห้าหกวันนี้จำเป็นต้องพยายามจับปูให้ได้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากห้าหกวันไปแล้วหมดโควตา ถึงแม้จะยังเหลือปูจักรพรรดิให้จับก็ไม่อนุญาตให้ทำการจับแล้ว

ในกรณีเช่นนี้ การทำหนึ่งกะยี่สิบชั่วโมงเป็นอะไรที่ธรรมดามาก อีกทั้งเหล่าชาวประมงยังต้องทำงานภายใต้อุณหภูมิติดลบ และต้องยืนอยู่บนดาดฟ้าที่ทั้งลื่นและโคลงเคลงเป็นอย่างมาก

ดังนั้น นักจับปูแห่งอะแลสกาจะมีแผลเมื่อกลับขึ้นฝั่งแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือและนิ้วแหลก หรือแม้แต่ซี่โครง แขนและขาหัก ไปจนถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การที่มีคนเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ซึ่งในคนที่เสียชีวิตนั้น แปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็คือโดนคลื่นน้ำทะเลที่รุนแรงเป็นพิเศษซัดตกเรือ และจมน้ำตายในที่สุด!

แต่ทางน่านน้ำกรีนแลนด์จะดีขึ้นมาหน่อย เนื่องด้วยปูราชาแดงมีจำนวนน้อย และโควตาที่ให้มาก็ยากที่จะทำเสร็จได้ง่ายๆ ดังนั้นการจับปูจึงสามารถยืดไปได้จนถึงสองสามวันสุดท้ายของฤดูกาลจับปู มิเช่นนั้นฉินสือโอวจะไม่สามารถทำกิจกรรมจับปูได้

ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ดวงตะวันพลันลับขอบฟ้า พร้อมกับดวงจันทร์ที่โผล่ขึ้นมา ลมทะเลยิ่งมืดก็ยิ่งหนาว

วินนี่ยังคงต้มกาแฟและโกโก้ร้อนอยู่ในครัว ทั้งยังต้องช่วยเพิ่มความร้อนให้แก่ชาวประมง และสร้างพลังงานให้พวกเขา

กระชังปูถูกดึงขึ้นมาแล้วครึ่งหนึ่ง ในตอนนี้เองชาวประมงคนหนึ่งมีหน้ารับผิดชอบยกกระชังขึ้นที่ยืนอยู่บนขอบพื้นกระดานเรือก็ได้ตะโกนขึ้นมา “ชิบหาย! มือ!”

ไม่ต้องพูดให้มากความ แค่สองคำที่เขาพูดออกมาก็เป็นที่เข้าใจแล้ว จากนั้นเกิงจุนเจี๋ยที่ศึกษางานอยู่ด้านข้างก็รีบรุดเข้าไปช่วยเขาที่กำลังติดอยู่ในรูโบ๋ บวกกับชาวประมงที่อยู่ตรงข้ามก็ช่วยดึงกระชังปู

ฉินสือโอวก็เข้ามารับชาวประมงคนนี้แล้วพยุงพากลับห้องโดยสารเรือ ทั้งยังช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออก และเอาวอดก้าไปใกล้ๆ ปากเขาเพื่อให้เขาดื่ม ในขณะเดียวกันก็ถามขึ้น “มือซ้ายมือขวา?”

“มือขวาครับกัปตัน ขอบคุณครับ!” ชาวประมงก็ทั้งแยกเขี้ยวยิงฟันเพื่อพยายามยกมือขวาที่สั่นเทาขึ้นมา

ด้วยความที่อุณหภูมิข้างนอกถึงขั้นติดลบสิบกว่าองศา กล้ามเนื้อที่ทนกับสภาพอากาศหนาวไม่ได้จึงเกิดอาการที่สามารถเห็นได้เป็นปกติก็คืออาการเกร็งไปทั้งฝ่ามือ ซึ่งทำให้ทั้งมือขวาของชาวประมงเปลี่ยนไปจนเหมือนกับตีนไก่และไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อนิ้วได้อีกด้วย

ฉินสือโอวเทวอดก้าร้อนลงบนอุ้งมือ จากนั้นก็ออกแรงนวดตั้งแต่ข้อศอกลงมาจนถึงฝ่ามือ เพื่อช่วยให้มือของเขามีกำลังขึ้นมา

เช่นนี้ชาวประมงก็ถึงกับปวดไปถึงกระดูกสันหลัง แต่หลังจากนวดเสร็จก็รู้สึกดีขึ้นมาก นิ้วมือก็ค่อยๆ กลับมามีความรู้สึก จากนั้นเขาก็เอาเสื้อคลุมมาพาดไหล่ไว้เพื่อเตรียมออกไปทำงานต่อ

และการจับปูจักรพรรดิก็ต้องแบกรับความเสี่ยงให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะมาเจอกับความซวยคือไม่ได้อะไรกลับไปเลย ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองการจับปูจักรพรรดินั้นอันตรายกว่าปัจจุบันมาก ในขณะนั้นมีประโยคหนึ่งของชาวอเมริกาในอะแลสกากับชาวโซเวียตประโยคหนึ่งว่า ที่แห่งนี้พระเจ้าจะดูแลแค่คนที่ตายไปแล้วเท่านั้น ความหมายก็คือถ้าอยากได้ผลการเก็บเกี่ยวจำนวนมากก็ต้องแลกด้วยชีวิต

ซึ่งแน่นอนว่าหากชาวประมงทั้งทุ่มเทแรงกายแรงใจบวกกับเจอความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน ก็จะได้ผลการเก็บเกี่ยวจำนวนมหาศาลเป็นการตอบแทน ในฤดูกาลจับปูจักรพรรดิ โดยเฉลี่ยแล้วเรือจับปูแต่ละลำจะสามารถจับปูจักรพรรดิได้ประมาณห้าสิบตัน แต่ฤดูกาลจับปูครั้งนี้ ฉินสือโอวอ่านข่าวแล้วพบว่าเรือประมงของอะแลสกาจับปูได้ทั้งหมดเป็นจำนวนแปดพันแปดร้อยตัน มูลค่าประมาณหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ!

ซึ่งนี่หมายถึงอะไรน่ะเหรอ? ก็หมายถึงว่าเรือประมงลำนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมามากมาย ในระยะภายในห้าวันชาวประมงทุกคนจะสามารถทำเงินได้สองหมื่นถึงหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งกัปตันยิ่งได้เยอะ มากกว่าสองสามแสนดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่งสำหรับชาวประมงที่มีพื้นฐานชีวิตธรรมดาไม่ได้สูงนี่ถือว่าเป็นรายรับที่ไม่น้อยเลย

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท