ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1442 แสงสว่างที่โดม

บทที่ 1442 แสงสว่างที่โดม

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตำแหน่งของเรืออับปาง สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ฉินสือโอวมาบอก ในบันทึกโจรสลัดก็มีบันทึกเอาไว้ เทคโนโลยีการนำทางของยุคนั้นก้าวหน้ามากแล้ว พวกโจรสลัดไม่ได้หลงทางในทางทะเลอีกแล้ว แค่ถูกแช่แข็งเท่านั้นเอง พวกเขารู้ตำแหน่งที่แน่นอนของตัวเองมาโดยตลอด

บิลลี่บอกว่าเขาคอนเฟิร์มตำแหน่งนี้แล้ว และรอให้สภาพอากาศดีขึ้นหลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิ เขาก็จะเข้าไปค้นหาและดำขึ้นมาทันที

หลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันเสร็จ ฉินสือโอวก็วางสายวิดีโอคอล และพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “เอาล่ะ ภาระหนักๆ ในร่างกายหายไปส่วนหนึ่งแล้ว มาเถอะ คุณภรรยา ให้พวกเรามีความสุขไปด้วยกันในค่ำคืนนี้”

เสี่ยวเถียนกวาที่นั่งอยู่ตรงหัวเตียงได้ยินคำพูดของเขาก็เรียนรู้และพูดว่า “มีความสุขๆ คุณพ่อ หนูอยากมีความสุข…”

สีหน้าของวินนี่เปลี่ยนไป เธอจ้องไปที่ฉินสือโอวและเตือนว่า “หลังจากนี้คุณต้องเฝ้าระวังลูกสาว คุณต้องใส่ใจกับคำพูดของคุณ โอเคไหมคะ?”

เสี่ยวเถียนกวาก็ถามกลับตามวินนี่เหมือนกัน “โอเคไหม?”

ฉินสือโอวหัวเราะเยาะและดันเด็กน้อยลงพร้อมกับบ่นพึมพำว่า “เธอเป็นนกแก้วเหรอ? พูดอะไรก็เรียนรู้ทุกอย่าง วุ่นวายจริงๆ”

เด็กน้อยสวมเสื้อหนามาก เหมือนกับขนมบะจ่างอ้วนๆ ชิ้นหนึ่ง หลังจากถูกดันล้มเธอก็พยายามลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ผลคือเธอไม่สามารถทนแรงต้านได้ บนเตียงมีผ้าห่มกำมะหยี่ที่ทั้งนุ่มและหนา เธอขยับตัวได้แต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้ เธอจึงม้วนตัวขึ้นมาแทน

หู่จือกับเป้าจือมองฉากนี้ด้วยสายตาที่เฉียบคม พวกมันกระโดดขึ้นมาบนเตียงและใช้หัวที่โค้งเหมือนกับลูกบอล โค้งตัวเด็กน้อยกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง

เด็กน้อยตะโกนเสียงดังขึ้นมา ฉินสือโอวมองและหัวเราะคิกคัก เขาพูดกับวินนี่ว่า “น่าสนใจมาก”

วินนี่มองเขาด้วยความตกตะลึง และตะโกนอยู่นาน “พระเจ้า คุณเป็นพ่อของเธอรึเปล่า? คุณกำลังทำอะไร? ดูหนังตลกเหรอไง?”

ฉินสือโอวขยับตัวอย่างรวดเร็ว และใช้ฝ่ามือดึงแลบราดอร์ทั้งสองตัวออกมา เขาอุ้มลูกสาวขึ้นมาและเริ่มเขย่าเพื่อปลอบประโลมเธอ

เวลาที่มีแสงแดดส่องนั้นสั้นมาก ตอนที่ฉินสือโอวมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนมีน้ำหมึกกระเซ็นใส่แล้ว

เมื่อคิดย้อนกลับไป เขารู้สึกราวกับว่าวันนี้ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไปเยี่ยมชมโบสถ์และกินข้าว หลังจากนั้นท้องฟ้าก็มืดแล้ว…

สถานที่แบบนี้ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยจริงๆ ท่านชายฉินไม่ใช่คนที่มีแรงจูงใจขนาดนั้นเขารู้สึกว่าการมาที่กรีนแลนด์เป็นเรื่องที่เสียเวลาและเสียพลังชีวิตมาก

แต่พักอยู่ในโรงแรมสโนว์ ซึ่งท้องฟ้ามืดเร็วก็ไม่เลว บนท้องฟ้าตอนกลางคืนจะมีดวงดาวปรากฏขึ้นมา ตอนกลางคืนยิ่งมืดแสงดาวก็ยิ่งสว่าง และก้อนน้ำแข็งที่หลังคาก็เป็นประกายและโปร่งใสมาก เมื่อนอนลงบนเตียงก็สามารถมองเห็นดวงดาวที่อยู่เต็มท้องฟ้านั้นได้

“สวยงามมากจริงๆ” วินนี่อุทานด้วยความชื่นชม

เริ่มจากก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเกาะแอตตู สภาพอากาศไม่ค่อยดี ตอนกลางคืนมองไม่เห็นดวงดาวด้วยซ้ำ ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจจะไปดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของที่นี่เป็นพิเศษ แต่ตอนนี้หลังจากที่นอนอยู่บนเตียงและเงยหน้าขึ้นไปดู จิตใจของเขาก็ถูกทำให้สั่นไหวอีกครั้ง

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในดินแดนขั้วโลกนั้นไม่เหมือนกับสถานที่อื่นๆ ท้องฟ้าของที่นี่สูงเป็นพิเศษ และห่างไกลจากผู้คนมาก ตอนกลางวันเขาเห็นก้อนเมฆสีขาว และรู้สึกว่าก้อนเมฆสีขาวนั้นอยู่นอกท้องฟ้า

แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าตอนกลางคืนของที่นี่กลับสว่างเป็นพิเศษ เพราะท้องฟ้าของที่นี่เป็นท้องฟ้าที่มีมลพิษเบาบางที่สุดบนโลก และเป็นท้องฟ้าที่โปร่งใสมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นเกาะแฟร์เวลที่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมก็เทียบกับที่นี่ไม่ได้

กรีนแลนด์เป็นเกาะที่ไม่มีโรงงานเคมี

ฉินสือโอวเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรภายในห้องถึงไม่มีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์และของอื่นๆ เลย การนอนอยู่ใต้ท้องฟ้าแบบนี้ ถ้ามัวแต่มานอนดูโทรทัศน์ก็เสียแรงเสียเวลาหมด!

สำหรับนักท่องเที่ยว โทรทัศน์สามารถดูได้ตลอดเวลา คอมพิวเตอร์สามารถเล่นได้ตลอดเวลา แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่สวยงามขนาดนี้ ไม่ใช่ของทั่วไปที่จะสามารถหาดูได้! เมื่อมาถึงที่นี่ เขาก็ควรล้มตัวนอนลงบนเตียงและมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ฉินสือโอวรู้สึกว่าผู้ชายที่หยาบคายอย่างเขา ยังสามารถดูได้ทั้งคืน!

ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแบบนี้ แสงดาวสามารถเปล่งออกมาได้มากที่สุด การดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในสถานที่อื่นจะเป็นแบบ 2 มิติ แต่ที่นี่เป็นแบบ 3 มิติ ฉินสือโอวรู้สึกว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายนั้นได้สัดส่วนพอดี และสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน บางส่วนก็อยู่ใกล้เขา บางส่วนก็อยู่ไกลเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของที่อื่นๆ ก็เป็นสีดำกับสีขาว ท้องฟ้าเป็นสีดำ และแสงดาวเป็นสีขาว แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของที่นี่กลับเป็นหลากสี ท้องฟ้ายังคงเป็นสีดำ แต่สีของดวงดาวกลับแตกต่างกัน สีแดง สีส้ม สีเขียว สีน้ำเงิน สีทอง…

สิ่งที่ลึกลับยิ่งกว่านั้นคือ ทันใดนั้น ขอบฟ้าที่มืดมิดก็ปรากฏผ้าไหมสีเขียวขึ้นมา ผ้าไหมนี้กวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วอยู่บนท้องฟ้าสองสามครั้ง จากนั้นก็จางหายไป

“เฮ้ บอส แสงออโรร่า!” เสียงตะโกนของแบล็คไนฟ์ดังขึ้นมาจากห้องข้างๆ “คุณได้ยินที่ผมพูดไหม? เตรียมตัวดูแสงออโรร่าเร็ว พวกเราโชคดีมากจริงๆ คืนนี้ไม่มีเมฆดำ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแสงออโรร่า!”

ฉินสือโอวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโยนไปที่กำแพงก้อนน้ำแข็ง และพูดด้วยความโกรธ “หุบปาก แบล็คไนฟ์! ฉันไม่ใช่คนตาบอด! อย่าทำลายบรรยากาศแบบนี้…”

“พูดแค่สองสามคำเอง ออกไปดูเร็ว!” วินนี่เริ่มสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ

การปรากฏตัวของแสงออโรร่านั้นกะทันหันมาก และก็รวดเร็วมากเหมือนกัน ตอนที่พวกเขาสวมเสื้อผ้ายังไม่มีอะไร หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งออกไปจากโรงแรม ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงและเงาสีเขียวเข้มแล้ว

แสงออโรร่าสีเขียวเข้มลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง หรือล่องลอยไปตามสายลม ในเวลาสั้นๆ มันทำให้ความประทับใจของฉินสือโอว เหมือนกับกำลังลุกไหม้

แสงออโรร่าเปล่งประกายลอยไป และเปลี่ยนรูปร่างอยู่ตลอดเวลา แต่ขอบเขตโดยรวมจะขยายออกไป ตอนแรกจะดูเหมือนสีน้ำสีเขียวอ่อน ต่อมาแสงจะขยายออกไปอย่างช้าๆ และกลายเป็นรัศมี รัศมีกลายเป็นครึ่งผืนฟ้า…

ฉินสือโอวจับมือของวินนี่ วินนี่จับมือของเขากลับอย่างแนบแน่นในทันที และพูดพึมพำว่า “ที่รัก ฉันอยากจะยืนอยู่ที่นี่กับคุณจนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ”

ฉินสือโอวอยากจะพูดล้อเล่นว่าจนถึงวินาทีสุดท้ายของพวกเรานั้นแล้วลูกสาวเราจะทำอย่างไร แต่เมื่อเขาอ้าปาก ก็จับพลัดจับผลูเปลี่ยนไปเป็น “ใช่ ที่รัก ผมก็คิดว่าชีวิตครึ่งหลังของพวกเราควรจะใช้เวลาอยู่ที่นี่”

แสงออโรร่าสีเขียวเข้มที่อยู่ด้านหลังเริ่มเปลี่ยนสีอย่างช้าๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน สีเหลืองอ่อน สีเหลืองสลัว สีแดง สีฟ้า และดวงดาวที่อยู่ไกลออกไปก็พากันส่องแสง ช่วงเวลานี้แสงดาวเริ่มสว่างขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ รัศมีก็สวยงาม

ทันใดนั้นแสงออโรร่าหลากหลายสีก็หยุดนิ่ง เหมือนภาพวาดทิวทัศน์ที่เงียบสงบและสวยงาม และทันใดนั้นมันก็ม้วนไปมาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนกับคลื่นที่ปั่นป่วน ด้านหลังแสงออโรร่าเริ่มเปลี่ยนเป็นสายน้ำไหล และไหลไปอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า

ฉากแบบนี้ ฉินสือโอวเคยเห็นในสารคดีมาก่อน สารคดีบางช่องเพื่อแสดงให้เห็นถึงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็จะใช้วิธีแบบนี้

แต่บนโทรทัศน์ ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เวลานี้เขากำลังมองแสงออโรร่าที่ไหลไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงเข้าใจว่าเวลาก็เหมือนความรู้สึกของสายน้ำไหล เวลาดูเหมือนจะเร็วขึ้นทันทีเมื่ออยู่ที่นี่ เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วนิรันดร์

ใครจะรักจะเกลียดก็ช่าง เมื่อชมดอกไม้บานและร่วงที่หน้าศาล และจากไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ พร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพบกันก็ต้องมีจากลา!

ตอนที่ฉินสือโอวเตรียมตัวไปดูแสงออโรร่า เขาเคยอ่านคำแนะนำของแบ็กแพ็กเกอร์บางคน ซึ่งบอกจุดที่เห็นแสงออโรร่า ราวกับว่าทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงชีพจรที่ยิ่งใหญ่ของโลก และทุกคนก็รู้สึกตระหนักถึงการทำอะไรไม่ถูกอันเล็กน้อยของตัวเองในทันที

เวลานี้ เขาตระหนักว่าความรู้สึกแบบนี้ชัดเจนเป็นพิเศษ ทุกคนไม่ได้แกล้งทำเลย แสงออโรร่าที่ม้วนตัวจากไป สามารถทำให้คนรู้สึกสะเทือนใจแบบนี้ได้จริงๆ!

ชัดเจนว่าวินนี่ก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เธอจับมือของฉินสือโอวแน่นขึ้นเรื่อยๆ และก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉินสือโอวตกตะลึงเมื่อเห็นหู่เป้าฉงหลัวเจ้าตัวน้อยพวกนี้ก็นั่งเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนเหมือนกัน…

ส่วนทหารทั้งห้านายนั้น ยิ่งแสดงสีหน้าตกตะลึงมากขึ้นไปอีก!

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท