ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1431 ฉงต้าน่ารัก

บทที่ 1431 ฉงต้าน่ารัก

และแล้วเรือปริ้นเซสเมล่อนก็แล่นเข้าสู่ท่าเรือเกาะแอตตูเป็นที่เรียบร้อยในกลางดึก นี่คือหนึ่งในแปดท่าเรือใหญ่ที่น้ำไม่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งในเกาะกรีนแลนด์ และยังเป็นประเทศที่น้ำไม่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งทั้งที่อยู่ใกล้เหนือมากที่สุด

เดิมทีฉินสือโอวอยากจะนำเรือปริ้นเซสเมล่อนแล่นสู่น่านน้ำอาร์กติกเซอร์เคิลเลย แล้วดูนั่งดูแสงเหนือบนเรือพร้อมกับที่มือซ้ายโอบภรรยาและมือขวาอุ้มลูกสาวเอาไว้ นั่นจะต้องเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ

แต่หลังจากได้เห็นน้ำแข็งที่ลอยบนทะเล พูดตรงๆ เลย ว่า นี่ขนาดเป็นแค่ก้อนน้ำแข็งไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็งที่เขาสามารถใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนผลักออกได้ ถ้าเจอภูเขาน้ำแข็งเข้าจริงๆ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนคงถึงกับเข่าอ่อน

ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการเทียบท่าไว้ที่เกาะแอตตู แล้วค่อยให้ฉินสือโอวกับวินนี่ไปยังทุนดราฟรีดริชทางพื้นดินแทน ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการชมแสงเหนือ

แม้ว่ากรีนแลนด์จะได้ชื่อว่าเป็นเกาะ แต่จริงๆ แล้วมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึงสองล้านหนึ่งแสนหกหมื่นตารางกิโลเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับหนึ่งในสี่ของพื้นที่ของจีนและหนึ่งในห้าของพื้นที่ยุโรปทั้งหมด

อาณาเขตส่วนใหญ่ของประเทศนี้อยู่ในอาร์กติกเซอร์เคิล โพล่าร์เดย์ โพล่าร์ไนท์เป็นเรื่องปกติมากสำหรับที่นี่ ทั้งการดำรงชีวิตของที่กรีนแลนด์ยังใช้ไม่ได้กับที่อื่นๆ ของโลกที่จะมีวงจรการใช้ชีวิต “พระอาทิตย์ขึ้นทำงาน พระอาทิตย์ตกพักผ่อน”เพราะที่นี่มีรูปแบบการดำรงชีวิตเฉพาะเป็นของตัวเอง

เเกาะแอตตูยังไม่ได้เข้าสู่วงกลมอาร์กติก ตอนนี้เลยไม่อยู่ในสถานการณ์เกิดโพล่าร์ไนท์ แต่ช่วงเวลากลางวันจะสั้นมาก บ่ายสามโมงตรงฟ้าก็มืดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังไม่ถึงหกโมงเย็น สีท้องฟ้าก็ดำสนิทจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย

ชาร์คทำการติดต่อกับทางท่าเรือ และนำเรือปริ้นเซสเมล่อนเข้าเทียบท่าในตำแหน่งจอดเรืออย่างระมัดระวัง จากนั้นชายสวมเสื้อโค้ตผ้าฝ้ายหนาสองคนก็ขึ้นมาตรวจ พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากร ส่วนใหญ่จะตรวจสอบว่ามีการลักลอบหรือไม่ จากนั้นก็ทำการตรวจใบรับรองการกักกันของพวกหู่เป้าฉงหลัว

แต่พี่น้องเฟอเรทไม่ได้ยื่นขอใบรับรองการกักกันมาด้วย เพราะไม่สามารถแสดงตัวได้ทั้งสองตัวจึงกลายเป็นประชากรเถื่อน ฉินสือโอวจึงยัดพวกมันไว้ในกระเป๋า พวกมันทั้งสองก็กอดกันกลมอย่างนิ่งเงียบ คล้ายกับรู้ว่าห้ามให้คนเห็นตัวเอง

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคนหนึ่งก็ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นใบรับรองการกักกันของฉงต้า จึงได้พูดขึ้นว่า “คุณออกทะเลเนี่ย ต้องพาหมีควายมาด้วยเหรอ?”

ฉินสือโอวยักไหล่และตอบกลับ “ทำไงได้ล่ะคุณเจ้าหน้าที่ ก็ผมติดนิสัยชอบพาทั้งบ้านออกทะเลน่ะ”

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกคนก็ถึงกับหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “โลกนี้มันใหญ่เลยมีเรื่องให้แปลกใจอยู่ตลอดจริงๆ สินะ”

พวกหู่เป้าฉงหลัวสามารถขึ้นฝั่งได้ เพราะพวกมันมีใบรับรองสัตว์เลี้ยงพร้อมกับบันทึกการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างครบถ้วน

เกาะกรีนแลนด์เป็นหนึ่งในพื้นที่ไม่กี่แห่งของโลกที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ขึ้นฝั่งได้ แคนาดาก็เป็นอีกที่หนึ่ง ซึ่งคุณลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียวของทั้งสองภูมิภาคคือมีประชากรเบาบาง แน่นอนว่าแม้สัตว์จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้อยู่ดี และกระบวนการทั้งหมดก็ต้องการการดูแลจากเจ้าของ

เกาะแอตตูไม่มีเขตเมือง และแม้ว่าจะมีท่าเรือที่มีคุณภาพสูงแต่กลับดูไม่มีการพัฒนา เกาะเล็กๆ แห่งนี้อยู่ติดกับกรีนแลนด์ จึงได้ชื่อว่า ‘หมู่เกาะ’ แต่ในความเป็นจริงถือว่าเป็นส่วนที่ยื่นออกจากกรีนแลนด์ ซึ่งเชื่อมต่อกับพื้นดินด้วยสะพาน

ฉินสือโอวจองโรงแรมไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเกาะแอตตูซึ่งมีเพียงแค่สามห้องเท่านั้น เขาจึงจองเหมาเอาทั้งโรงแรม

ซึ่งโรงแรมในพื้นที่แถวนี้เป็นโรงแรมสำหรับครอบครัว ดำเนินกิจการโดยคู่สามีภรรยาสูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้นของพวกเขาทำให้ออกทะเลไม่ได้ และไม่รู้จะหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีไหนแล้ว ทั้งใช้ชีวิตอยู่ที่แห่งนี้มาตลอดชีวิตไม่คิดจะไปที่อื่นจึงเปิดเป็นโรงแรม เพื่อหารายได้เล็กน้อยจากแต่ละห้อง

โรงแรมอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็เดินย่ำซวบๆ ลงบนหิมะที่ทับถมกันนานหลายวันเข้าไปในตึกเล็กๆ จากนั้นก็มีผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “กัปตันฉินจากเซนต์จอห์นใช่ไหมครับ? ยินดีต้อนรับๆ โอ้แม่เจ้าโว้ย นี่ฉันแก่มากซะจนตาลายไปแล้วเหรอ ทำไมถึงได้มีหมีมาด้วยล่ะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะกลบเกลื่อน “เถ้าแก่ ผมก็บอกในโทรศัพท์ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมจะเอาสัตว์เลี้ยงมาด้วยน่ะ”

ผู้เฒ่าถึงกับอึ้งตาค้าง “แต่คุณไม่ได้บอกผมนะ ว่าสัตว์เลี้ยงที่คุณพามาด้วยเป็นหมีน่ะ?!”

ฉินสือโอวยักไหล่อย่างเขินอายและพูดว่า “ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของผมหรอกครับ เขาเป็นลูกชายผมมากกว่า ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ฉงต้ามานี่ลูก มาทักทายคุณปู่หน่อยเร็ว”

ฉงต้านั่งลงชูมือโบกไปมาเล็กน้อย พร้อมกับอ้าปากและคิดจะคำรามออกมา แต่ท่านชายฉินป้องปากตัดตอนในตอนที่มันกำลังจะร้องออกมา แค่ให้มันโบกมือทักทายก็พอแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าถ้าฉงต้าคำรามออกไปผู้เฒ่าจะต้องฉี่ราดแน่ๆ

วินนี่จึงพูดขึ้นพร้อมด้วยยิ้มหวานสไตล์แอร์โฮสเตส “คุณคะ พวกเราได้ทำสัญญากับโรงแรมของคุณเรียบร้อยแล้ว และดิฉันคิดว่าคุณก็คงจะสัมผัสได้ถึงความน่ารักฉลาดหลักแหลมของลูกชายเราแล้วใช่ไหมล่ะคะ? งั้นก็คงจะอนุญาตให้มันเข้าห้องได้ใช่ไหมคะ?”

ฉันสือโอวคิดว่าผู้เฒ่าต้องปฏิเสธแน่ เพราะฉงต้านั้นดูน่ากลัวมาก แต่มันแค่กินเยอะไม่เลือกทำให้ตอนนี้อ้วนขึ้นกว่าแต่ก่อนก็เท่านั้นเอง จริงๆ แล้วมันดูสมาร์ทมากในหมู่หมีเลยก็ว่าได้

เขาจึงได้เตรียมตัวมาอย่างดี หากแต่ผู้เฒ่ายังคงปฏิเสธเขาก็จะทุ่มเงินเพิ่ม ทุ่มเพิ่มจนกว่าผู้เฒ่าจะยอมรับ

แต่หลังจากที่วินนี่พูดจบ ผู้เฒ่าก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดว่า “รีบเข้ามาสิ โธ่ เมียฉันน่ะชอบหมีน้อยน่ารักจะตายไป แถมเธอคิดอยากจะเลี้ยงหมีขั้วโลกสักตัวมาโดยตลอดด้วยนะ แน่นอนว่านั่นน่ะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าได้เจอหมีสีน้ำตาลแทนก็คงจะดีไม่น้อยว่าไหม?”

สุดท้ายพอตกลงกันได้ด้วยดี พวกเขาก็เข้าไปในอาคาร พร้อมกับสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น หู่จือกับเป้าจือก็พยายามดิ้นรนที่จะถอดเสื้อขนเป็ดออก

จากนั้นเถ้าแก่ก็ทำการแบ่งห้อง พอหันไปก็เจอเข้ากับพวกหู่เป้าฉงหลัว ก็ถึงกับร้องด้วยความตกใจ “มายก็อด คุณไม่เพียงแต่พาหมีมาด้วยหนึ่งตัว แต่ยังพาหมามาด้วยอีกสามตัวเลย? พวกคุณคงไม่ใช่คณะละครสัตว์หรอกใช่ไหมเนี่ย?”

วินนี่ยิ้มหวานและตอบ “นี่คือลูกๆ ที่น่ารักของพวกเราค่ะ”

และคุณยายผมขาวคนหนึ่งก็เดินลงบันไดลงมาอยู่ด้านหลัง จากนั้นผู้เฒ่าก็ตะโกนเรียก “ที่รัก มาดูนี่สิ มาดูว่าแขกที่มาพักกับเรามีใครบ้าง?”

แม้ว่าฉงต้าจะไม่กลัวความหนาว แต่วินนี่ก็ยังคงห่มผ้าขนหนูและสวมหมวกหนังให้มัน ดังนั้นตอนนี้เจ้าตัวนี้จึงดูเหมือนตุ๊กตาผ้าฝ้ายบื้อๆ ขนาดใหญ่

คุณยายถึงกับยิ้มดีใจออกมา และทักทายมัน “ไฮ หมีน้อยน่ารัก”

ฉงต้าเห็นคุณยายโบกมือทักทาย มันเลยชูมือขึ้นมาโบกทักทายตอบ และยังยกมุมปากไปทางด้านหลังคล้ายกับว่ามันกำลังยิ้มให้

วินนี่ถอนหายใจแล้วรีบค้นกระเป๋าหาขนมแป้งหนึ่งก้อนเพื่อเอาไว้ยัดใส่ปากฉงต้า เพราะมันเรียนรู้จากโลมาปากขวด ก็คือต้องได้กินหลังจากยิ้มให้แล้ว ไม่ได้กินไม่ได้

แต่คุณยายนั้นกลับไม่กลัวฉงต้าเหมือนคนอื่นๆ แถมยังชื่นชอบมันเป็นพิเศษอีกด้วย หลังจากที่ได้รับอนุญาตก็ยื่นมือไปบีบแก้มอ้วนๆ ของฉงต้า

ฉินสือโอวเหลือบไปมอง แล้วเขาก็รู้สึกว่าเวลาฉงต้าไม่คลุ้มคลั่ง แถมตอนนี้ทั้งตัวและหน้าของมันเต็มไปด้วยไขมัน ที่ดูแล้วไม่น่ากลัวเลยสักนิดแต่ดูแล้วท่าทางน่าสนุกมากกว่า

หลังจากเก็บของเสร็จ ฉินสือโอวมองดูเวลาเห็นว่ายังเร็วไป จึงโทรชวนพวกชาวประมงไปดื่มกันที่บาร์

กิจกรรมฆ่าเวลาเดียวในสถานที่แบบนี้ก็คือการไปดื่มที่บาร์ หรือไม่ก็นอนดูละครน้ำเน่าอยู่ในโรงแรม แต่เมื่อเทียบกันแล้วเขารู้สึกว่าออกไปดื่มที่บาร์จะยังดีซะกว่า เพราะก่อนหน้านั้นที่อยู่ในห้องเดินเรือก็อึดอัดจะแย่

บาร์ที่เกาะแอตตูมีเยอะแยะมากมาย ร้านเล็กร้านใหญ่มีมากกว่าสิบร้าน ซึ่งนี่เป็นลักษณะเด่นของท่าเรือที่ชาวประมงเป็นพวกขาดเหล้าขาดเบียร์ไม่ได้

ฉินสือโอวจึงเลือกร้านที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม จากนั้นก็พาชาวประมงและคนอื่นๆ เดินเข้าไป

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท