ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1436 แลนดิงสู่เขตเหนือสุด

บทที่ 1436 แลนดิงสู่เขตเหนือสุด

ฉินสือโอวเดินออกมาจากโรงแรมก็เห็นพวกปีเตอร์สันกำลังยืนเสวนาอยู่กับชาวประมง เขาแปลกใจจึงเอ่ยถามไปว่า “พวกนายคุยอะไรกันอยู่? ดูสภาพอากาศเร็วเข้าสิ ถ้าพรุ่งนี้อากาศเป็นใจล่ะก็เริ่มออกทะเลได้เลย ไหนจับปูจักรพรรดิสักล็อตให้ฉันดูสิ”

ชาร์คเลยพูดขึ้น “ได้เลยบอส เนี่ยพวกโชคดีมากเลยนะ หนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้คลื่นลมทะเลนิ่งสงบ โอเคผมรับปากเลย หรือถ้าหากมีคลื่นลม แต่ก็ไม่สะเทือนเรือปริ้นเซสเมล่อนได้ ตอนนี้พวกเรากำลังคุยกันเรื่องการว่ายน้ำในทะเลในช่วงฤดูหนาว”

พระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาแขวนอยู่กลางนภา แต่มันก็ไม่ได้เจิดจ้าสว่างไสวอย่างที่ฉินสือโอวคุ้นเคย แสงอาทิตย์ที่นี่คล้ายกับกำลังอ่อนกำลังลงทั้งยังไม่มีแม้แต่ไอความร้อนเลยสักนิด

อันที่จริงเขารู้สึกผิดหวังในการมาที่นี่ กรีนแลนด์หนาวเกินไป ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าที่แห่งนี้หนาวจนส่วนล่างแข็งได้ขนาดนี้ เขาคงไม่มาดูแสงออโรร่าอะไรนี่หรอก สู้พาวินนี่กับเถียนกวาไปนอนอาบแดดที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟยังจะดีกว่าเป็นไหนๆ

ช่วงเวลาประมาณนี้ของปีที่แล้ว เขาไปเข้าร่วมการประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส หลังจากนั้นทุกครั้งที่ถึงช่วงฤดูนี้ เขามักจะคิดถึงแสงแดดอันอบอุ่นและน้ำทะเลที่ใสสะอาดที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟ

ซึ่งที่กรีนแลนด์ก็มีมหาสมุทรที่ใสสะอาดไม่ต่างจากเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ทว่าด้วยอุณหภูมินั้นต่างกันลิบลับ

ฉินสือโอวเงยหน้าไปมองพระอาทิตย์ที่เซื่องซึม เลยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “พวก เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ? ว่ายน้ำในทะเลในช่วงฤดูหนาวงั้นเหรอ? ฮ่าๆ ฉันกล้าพนันได้เลย ด้วยสภาพอากาศแบบนี้ ไขกระดูกพวกนายแข็งแน่”

ถึงแม้จะยังไม่ได้ดูเครื่องวัดอุณหภูมิ แต่เขาก็เดาได้เลยว่าอุณหภูมิข้างนอกห้องตอนนี้อย่างน้อยก็ลบสิบองศา

ชาร์คถูมือไปมาพร้อมกับพูดว่า “ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ก็ได้รับปากปีเตอร์สันไปแล้วน่ะสิบอส”

ดูเหมือนว่าพวกฉินสือโอวจะไม่กล้าลงน้ำในสภาพอากาศเช่นนี้ ทำให้พวกปีเตอร์สันดีใจมาก พวกเขาพากันแสดงท่าทางอย่างผู้ได้รับชัยชนะ จากนั้นปีเตอร์สันก็พูดว่า “พวก อากาศดีแบบนี้น้อยนักที่จะเห็นได้ในเกาะแอตตู แล้วพวกเราจะไม่ไปว่ายสักรอบสองรอบเลยเหรอ? พวกเราต่างก็คือชายที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่รึไง?”

“ใช่ แต่ไม่ใช่คนบ้าน่ะสิ” ฉินสือโอวกลอกตาอย่างหยิ่งยโส

จากนั้นพวกปีเตอร์สันที่สวมเสื้อนวมหนาๆ พากันเดินไปทางท่าเรือ ซึ่งดูแล้วเหมือนจะฝ่าความหนาวที่สามารถแช่แข็งจนกลายเป็นไอติมแท่งลงไปว่ายน้ำกันจริงๆ ชาร์คและคนอื่นๆ รู้สึกว่าน่าสนุกจึงตามพวกเขาไปด้วย

ฉินสือโอวเรียกให้ชาร์คหยุดก่อน และเรียกเขากับเกิงจุนเจี๋ยเข้าไปในห้อง แล้วพูดว่า “ฉันกับวินนี่เตรียมจะไปดูแสงเหนือที่ทุนดราฟรีดริช เรื่องจับปูทางนี้ก็ฝากให้เป็นหน้าที่ของพวกนายแล้วกันนะ ชาร์ค นายจำเส้นทางที่จะเข้าสู่น่านน้ำแนวโขดหินพวกนั้นได้แล้วใช่ไหม”

ชาร์คพยักหน้า “ใช่ครับบอส บอสไปเที่ยวอย่างสบายใจได้เลย เรื่องทางนี้ให้เป็นหน้าที่ของผม ไม่มีปัญหาแน่นอน”

ฉินสือโอวเตือนเขาพวกให้ระวังเกี่ยวกับเรื่องในทะเล และให้ชาร์คคอยดูแลพวกเกิงจุนเจี๋ย จากนั้นเขาก็ไปหาเจ้าของโรงแรมแล้วถามเขาว่ามีช่องทางไหนบ้างที่จะสามารถไปทุนดราฟรีดริชได้

ได้ฟังดังนั้น เจ้าของโรงแรมก็พอจะเดาจุดประสงค์ของเขาออก แล้วพูดขึ้นว่า “พวกเธอจะไปดูแสงเหนือกันใช่ไหม? ที่นี่ห่างจากทุนดราฟรีดริชประมาณหนึ่ง แต่พวกเธอสามารถนั่งเครื่องบินไปได้นะ นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดหากจะไปทุนดราฟรีดริช”

นอกจากถนนทางหลวงของเมืองใหญ่หลายแห่งในกรีนแลนด์แล้ว เขตอื่นบนเกาะเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะไม่เดินทางด้วยรถยนต์ การเดินทางของที่นี่จะใช้รถลากเลื่อนที่ใช้สุนัขเป็นตัวลากหรือเฮลิคอปเตอร์ และเกาะนี้ยังมีสนามบินน้ำแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดในโลก

พอฉินสือโอวจัดแจงเรื่องบนเรือประมงเรียบร้อยแล้วเขาก็ถือโอกาสในวันที่อากาศดีในช่วงเที่ยงพาวินนี่ ลูกสาวและแบล็คไนฟ์ห้าคนขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินตรงสู่อิลลูลิแซทเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทุนดราฟรีดริช

อิลลูลิแซทไม่ถึงกับขนาดที่ต้องเรียกว่าเมือง เพราะเขตนี้ไม่ได้ดูเหมือนเมือง แต่เหมือนสถานที่ที่คนมารวมตัวกันมากกว่า แถมอิลลูลิแซทยังเป็นถิ่นฐานที่ใหญ่เป็นอันดับสาม มีประชากรประมาณสี่พันคน

ซึ่งที่นี่อยู่ในวงกลมอาร์กติกละตินทั้งหมด ชื่อของมันในภาษาละตินคือ “ภูเขาน้ำแข็ง” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในกรีนแลนด์ที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะถูกโอบล้อมด้วยธารน้ำแข็งอิลลูลิแซทที่สวยงามตระการตา

นอกจากบอดี้การ์ดแล้ว เขายังพาพวกหู่เป้าฉงหลัวมาด้วย เพราะพวกมันเป็นเจ้าถิ่นแห่งทุนดรา หากเจอวิกฤตการณ์อะไรบนทุนดรา พวกมันจะน่าไว้วางใจได้มากกว่ามนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นเฟอเรทเบลคฟุต แมวป่า จิ้งจอกขาว สุนัขพันธุ์แลบราดอร์รีทรีฟเวอร์ อีกทั้งหมีสีน้ำตาลโคโลราโด พวกนี้เป็นสัตว์ชนิดที่เอาชีวิตรอดได้ดีในหิมะ

ฉินสือโอวเช่าเครื่องบินชนิดปีกสองชั้นลำที่ใหญ่ที่สุดของเกาะแอตตูหนึ่งลำ เครื่องบินขึ้นเวลาเที่ยงนาฬิกาและมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นสี่ชั่วโมงต่อมาพอเข้าสู่ความมืดก็มีแสงไฟเป็นดวงๆ ปรากฏขึ้นที่ใต้เครื่องบิน

“นี่ก็คืออิลลูลิแซทใช่ไหม?” ฉินสือโอวมองลงไปแล้วถามขึ้น

นักบินเลยตอบว่า “ใช่ครับ นี่คือเมืองแห่งแสงเหนือที่สวยงามมาก แน่นอน ว่าผมไม่รู้หรอกนะว่ามันได้ชื่อนี้มาจากไหน แต่ที่นี่มีเพียงหนึ่งพันครอบครัว และสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่พื้นที่แห้งแล้งกันดารอยู่เลย”

เมื่อลงจากเครื่องบิน ฉินสือโอวก็ได้สังเกตุเห็นเกล็ดหิมะที่เริ่มโปรยลงมาจากท้องฟ้า เขายื่นมือออกไปรองเกล็ดหิมะไว้ แล้วก็พบว่าเกล็ดหิมะที่นี่ไม่เหมือนกับที่เซนต์จอห์น ที่นี่จะแข็งกว่า และเมื่อเอาไปส่องกับไฟสีขาวดูก็รู้สึกได้ว่ามันระยิบระยับแพรวพราวเป็นพิเศษ

ฉินสือโอวมองดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง แต่ท้องฟ้าที่นี่มืดมาก

เมื่อนักบินเห็นเขามองดูนาฬิกาก็หัวเราะกับเขา “เวลาใช้กับที่นี่ไม่ได้หรอกนะคุณ การที่คุณจะใช้ชีวิตที่นี่ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึก”

ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นก็มีชายร่างกำยำในเสื้อคลุมของกองทัพโซเวียตคนหนึ่งเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทักทายขึ้น “คุณฉินที่มาจากเกาะแอตตูใช่ไหม?”

“ใช่แล้วเพื่อน” เขาเข้าไปจับมือทักทายกับชายผู้นี้ พวกเขาพักที่โรงแรมในสนามบินเป็นการชั่วคราวก่อน รอให้พรุ่งนี้ตอนที่มีแสงสว่างอ่อนๆ แล้วค่อยไปหาโรงแรมใหม่พักกัน

ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสูงใหญ่ผู้นี้เป็นผู้จัดการโรงแรม เขามารับฉินสือโอวด้วยตนเอง เพราะสำหรับเขาแล้วนี่คือรายการใหญ่รายการหนึ่ง ทั้งคนและสัตว์พักหนึ่งคืนค่าใช้จ่ายก็สองหมื่นดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

หลังจากจับมือกับฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนก็ทำการแนะนำตัวเอง “ผมชื่อเวนท์ลี่ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณฉิน เห็นทีพวกเราคงจะเป็นเพื่อนร่วมชาติกันว่างั้นไหม?”

เวนท์ลี่เป็นชาวอินูเปียตซึ่งก็เป็นพวกเดียวกันกับชนชาติมองโกเลีย ความต่างของรูปลักษณ์ก็มีให้เห็นน้อยมาก และในปัจจุบันมีการศึกษาค้นคว้าแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีบรรพบุรุษเดียวกัน

ฉินสือโอวจึงพูดว่า “ใช่แล้ว อย่างน้อยพวกเราก็คล้ายกัน อ้อ แต่ดูเหมือนอากาศจะเปลี่ยนแล้วนะเนี่ย ผมเห็นหิมะตกลงมาแล้ว?”

เวนท์ลี่จึงพูดขึ้น “แต่พวกคุณนี่โชคดีนะ นี่ถ้ามาช้ากว่านี้สักหนึ่งชั่วโมงล่ะก็ น่าจะบินลงลำบาก แต่ดูท่าแล้วน่าจะมาล็อตใหญ่เลยล่ะนั่น พวกเราก็รีบเดินกันเถอะ ภรรยาผมเตรียมกาแฟกับชาร้อนไว้เรียบร้อยแล้ว”

ในอาร์กติกเซอร์เคิลการพยากรณ์อากาศไม่มีประโยชน์ หมายความว่าหากกระแสลมหนาวเปลี่ยนทิศทางเมื่อชนกับภูเขาน้ำแข็งก็จะทำให้เกิดพายุหิมะรุนแรงซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้เลย

หิมะยังคงตกลงมาตลอดเวลาจนกระทั่งในช่วงเวลาเกือบเที่ยงของวันที่สองท้องฟ้าถึงค่อยสว่างขึ้น ฉินสือโอวออกไปดู เกล็ดหิมะแวววาวระยิบระยับก็โปรยลงมาท้องฟ้า

ฉินสือโอวเลยถือโอกาสที่ฟ้าเปิดเตรียมพาวินนี่และคนอื่นๆ ไปเดินเล่นในเมืองสักรอบและชมวิวทิวทัศน์ของเขตเหนือสุดสักหน่อย

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท