“เจ้าพวกนี้มันจะทำอะไรน่ะ? ทำไมจู่ๆ พวกมันก็เข้ามาใกล้ล่ะ?” ชาร์คถามออกมาด้วยความสงสัย
ใบพัดของเรือลำใหญ่ค่อยๆ ลดความเร็วลง แต่ปริ้นเซสเมล่อนก็ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เมื่อเทียบกับน้ำหนักและความเฉื่อยของเรือแล้ว ความต้านทานของน้ำทะเลยังคงค่อนข้างน้อยกว่า
ซีมอนสเตอร์พูดออกมาเสียงดังว่า “บอส ต้องการให้เปิดเครื่องยนต์ไฮดรอลิกถอยหลังไหมครับ?”
เรือไม่มีเบรก แต่ใบพัดสามารถทำให้เรือสามารถเปลี่ยนทิศทางได้ นอกจากนี้ยังเป็นวิธีในการชะลอตัวอีกด้วย แต่ว่าหากไม่จำเป็นเจ้าของเรือจะไม่ค่อยอยากใช้มัน เพราะว่าเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรือลำใหญ่อย่างปริ้นเซสเมล่อนยิ่งเปลืองเข้าไปใหญ่
ฉินสือโอวโบกมือปัด แล้วพูดว่า “ค่อยๆ ปิดใบพัด อย่าให้ใบพัดโดนพวกมันก็พอแล้ว ฉันคิดว่าเจ้าพวกนี้คงไม่โง่ที่จะชนเรือของพวกเราจากด้านหน้าหรอก”
ชาร์คถามออกมาอีกครั้งว่า “ผมไม่เข้าใจ ทำไมจู่ๆ พวกมันถึงเข้ามาใกล้เราล่ะ?”
“ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่มีเรือจำนวนมากทำร้ายวาฬยังไงล่ะ” วินนี่พูดขึ้น พลางหยิบกล้องดีเอสแอลอาร์ขึ้นมาถ่ายรูป วาฬไรท์แห่งอาร์กติกพบเจอได้ยากมากเลยนะ
ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ วาฬถูกเรือชน แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะว่าพวกมันเห็นเรือแล้วเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แล้วได้บาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ สาเหตุที่พวกมันถูกเรือชนเพราะว่าพวกมันประเมินเรือพวกนั้นต่ำเกินไป ทำให้หลีกหนีไม่ทัน”
มหาสมุทรนั้นกว้างขวาง แต่เรือก็มีจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้วาฬยังมีมากมายหลายสายพันธุ์ เรื่องที่เรือทำร้ายวาฬโดยไม่ได้ตั้งใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันก็มีอยู่มาก โดยเฉพาะวาฬสีน้ำเงิน ที่มักจะได้รับบาดเจ็บ
สาเหตุของการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจของวาฬก็เหมือนกับนกที่ชนเครื่องบิน ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นกชนเครื่องบินงั้นเหรอ? เพราะว่าพวกนั้นตัดสินปัจจัยเสี่ยงจากระยะทาง ในขณะที่เครื่องบินบินด้วยความเร็วสูง เมื่อนกเห็นพวกมันครั้งแรกก็รู้สึกว่านั้นยังอยู่ห่างไกลจากตัวเองมากนัก จึงไม่ได้สนใจ
แต่เครื่องบินเจ็ทก็บินด้วยความเร็วที่เร็วมาก เมื่อพวกนกเห็นว่าเครื่องบินอยู่ไม่ห่างจากตัวเองแล้ว ในเสี่ยววินาทีทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกันอย่างจัง
ทำไมวาฬถึงไม่หลีกหนีออกจากเรือ? สาเหตุก็เพราะว่าพวกมันมีศัตรูทางธรรมชาติน้อย แถมขนาดตัวก็ใหญ่ เคลื่อนไหวก็ช้า ดังนั้นจึงขาดความคิดที่จะ ‘หนี’ ไป
ยกตัวอย่างเช่นวาฬสีน้ำเงิน พวกมันมีขนาดยาวถึงสามสิบเมตร หนักถึงสองร้อยตัน สามารถว่ายน้ำได้ด้วยความเร็วคงที่ยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกมันสามารถว่ายได้ถึงห้าสิบกิโลเมตรในเวลาอันสั้น ความสามารถนี้ถูกกำหนดขึ้นหลังจากที่ไม่ได้พบกับศัตรูตามธรรมชาติมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการตอบสนองต่อภัยคุกคามของวาฬสีน้ำเงินจึงมีลักษณะเฉพาะ
วาฬสีน้ำเงินมีสายตาที่ดี พวกมันสามารถตรวจจับเรือต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่พวกมันไม่มีความคิดที่จะหลบหนี เพราะว่าเรือจะเปลี่ยนเส้นทางทันทีที่พบพวกมัน แม้แต่ฉลามก็เลือกวิธีนี้
จนกระทั่งเรือเข้าใกล้ พวกมันก็จะพบว่าเรือพวกนั้นตัวใหญ่กว่าตัวเองมาก พอถึงเวลาที่จะต้องหนี ก็ช้าไปเสียแล้ว เนื่องจากพฤติกรรมการหลบหนีของพวกมันไม่ใช่การว่ายน้ำหนี แต่เป็นการดำน้ำลงไปใต้ทะเลแทน
แต่ว่า วาฬดำน้ำได้ช้ามาก โดยเฉลี่ยเพียงครึ่งเมตรต่อวินาทีเท่านั้น แบบนี้จึงเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับที่นกชนเครื่องบิน…ยากที่หลบหนีอีกครั้งเมื่อเรือได้มาถึงตัวแล้ว
ฉินสือโอวเป็นอาจารย์ที่ดี เขาบอกกับวินนี่ แต่วินนี่ไม่ฟัง และยังคงถ่ายรูปต่อไป แม้แต่ลูกตัวเองก็ไม่สนใจ
แบบนี้ก็หมดทางเลือก ท่านชายฉินจึงต้องคว้ารถเข็นเด็กมาและดูแลลูกสาวตัวน้อยแทน
เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าทุกคนมองออกไปข้างนอก เธอก็พยายามที่จะชะเง้อดู แต่ว่าไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดังนั้นเธอจึงมองไม่เห็นอะไรสักอย่างเดียว เธอทำได้เพียงเรียกหาป่ะป๊าม่ะม๊าอย่างกระวนกระวาย
เมื่อเรืออยู่บนทะเลถือว่าเป็นเรื่องอันตราย บางทีคลื่นลูกใหญ่ที่พัดเข้ามาก็ทำให้เรือโคลงเคลงไปมา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยที่แน่นอน ฉินสือโอวจึงไม่ยอมปล่อยให้ลูกสาวออกจากรถเข็นเด็กเลย
วาฬไรท์อาร์กติกเหล่านี้มีขนาดใหญ่ พวกโตเต็มวัยยาวถึงสิบห้าถึงสิบแปดเมตร วาฬแก่สามารถยาวได้ถึงยี่สิบเอ็ดเมตร พวกมันมีหลังที่กว้างมาก นี่คือที่มาของชื่อของพวกมัน ฝูงวาฬไรท์กำลังเคลื่อนตัวไปมารอบๆ ปริ้นเซสเมล่อนจนเกิดคลื่น อย่ามองว่าเรือลำนี้เป็นเรือขนาดใหญ่ แต่เรือก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
วาฬไรท์เป็นหนึ่งในราชาแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพราะว่าด้วยขนาดของพวกมันที่ใหญ่โต และบ้านเกิดของพวกมันอยู่ที่อาร์กติกด้วย วาฬพวกนี้มีชั้นไขมันที่หนามาก พวกมันทนทานต่อความเจ็บปวดได้ดี การชนเรือจากด้านข้างก็เหมือนเป็นการจั๊กจี้พวกมันเท่านั้น
โชคดีที่วาฬชนิดนี้มีนิสัยที่อ่อนโยน แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่มันก็ไม่ได้เลือกที่จะโจมตีสัตว์หรือพืชขนาดใหญ่ แต่ว่าแค่นี้ก็ทำให้พวกชาวประมงหวาดกลัวกันแล้ว
หลังจากที่ว่ายมาถึงด้านข้างของเรือปริ้นเซสเมล่อน วาฬเหล่านั้นก็แสดงท่าทีที่หาดูยากต่อการเคลื่อนไหวออกมา นั่นคือการที่มันตั้งตัวตรงในน้ำ หัวของมันครึ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ
พวกมันทยอยทำตามๆ กัน วาฬตัวใหญ่สองสามตัวแสดงตัวออกมาครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้น พวกมันก็ค่อยๆ หมุนตัวช้าๆ หลังจากหมุนตัวรอบหนึ่งก็มีวาฬสองตัวกลับลงไปในทะเล ส่วนตัวที่เหลือก็หยุดหมุน และมองมายังเรือตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่
วินนี่เพลิดเพลินไปกับการเคลื่อนไหวอย่างไร้สาระของวาฬไรท์ เธอถามออกมาว่า “เฮ้ นี่มันทำอะไรน่ะ? พวกมันกำลังทำการแสดงงั้นเหรอ? เร็วๆๆๆ ชาร์ค ไปเอาปลาแฮร์ริ่งออกมาหน่อยสิ ฉันอยากให้อาหารพวกมัน”
ฉินสือโอวดุเธอว่า “อย่าไร้สาระ นี่เรียกว่าการแอบดู เป็นวิธีการที่วาฬจะสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างและศัตรู เหมือนกับสิงโตที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าเพื่อดูเหยื่อนั่นแหละ อันที่จริงพวกมันแค่เฝ้ามองดูพวกเรา ว่าพวกเราสามารถกินได้หรือไม่?”
วินนี่ไม่ได้มาจัดการเรื่องงานประมง จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับทะเล เมื่อได้ยินฉินสือโอวพูดอย่างจริงจัง เธอก็พูดออกมาจากจิตสำนึกว่า “วาฬกินคนได้ด้วยเหรอคะ?”
ชาร์คหัวเราะออกมา “ไม่ อาหารของวาฬไม่ได้รวมถึงสิ่งที่อยู่บนบก พวกมันทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของน่านน้ำเท่านั้น บางครั้งก็ขึ้นมาสูดอากาศ อีกอย่าง บางครั้งพวกมันก็ขึ้นมาเพื่อดูสิ่งใหม่ๆ ว่าดูน่าสนใจหรือไม่ หลังจากนั้นก็กลับไปหาเพื่อนเพื่อแลกข้อมูลกัน”
พูดจบ เขาก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “วาฬไรท์ฉลาดมาก พวกมันส่งเสียงออกมาได้หลายแบบมาก”
การแอบมองแบบลอยตัวเป็นวิธีที่ปลาวาฬใช้สังเกตสภาพแวดล้อม วาฬส่วนมากทำแบบนี้ได้ แต่วาฬที่ชำนาญที่สุดคือวาฬเพชฌฆาต ที่ถูกตำนานกล่าวขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแห่งมหาสมุทร แต่ว่าการแอบดูของวาฬเพชฌฆาตคือการหาอาหารจริงๆ พวกมันจะสุ่มดูว่าบนเกาะเล็กๆ มีแมวน้ำ สิงโตทะเล หรือวอลลัสพวกนั้นหรือไม่ สัตว์พวกนี้ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของพวกมัน
เมื่อชาร์คกวักมือ เครนก็เริ่มขยับ กล่องใส่ปลาขนาดใหญ่ก็ถูกยกขึ้นมา สิ่งนี้เตรียมการไว้เพื่อสำหรับจับปูยักษ์และปลาทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
กล่องใบนั้นถูกทิ้งลงทะเลไป ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปล่อยออกมา วาฬไรท์ตกใจและว่ายลงไปในน้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งร่างของพวกมันก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้ง พวกมันว่ายน้ำช้าๆ และพากันแย่งกินปลาพวกนั้น
ปลาแฮร์ริ่งจากฟาร์มปลาเป็นเหยื่อที่ดีที่สุดสำหรับล่อปลาตัวใหญ่ บวกกับมีพลังโพไซดอนด้วยแล้ว จึงสามารถดึงดูดพวกมันได้เป็นอย่างดี
วาฬไรท์ไม่เคยกินอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต วาฬตัวใหญ่ทั้งเจ็ดตัวล้อมวงกันเข้ามา แม้แต่ลูกวาฬก็ต่อสู้แย่งชิงด้วยเช่นกัน พวกมันอ้าปากกว้างและดูดน้ำเข้าไป
เมื่อกินจนมีความสุขแล้ว วาฬไรท์ก็โผล่หัวขึ้นมาบนผิวน้ำ มันอ้าปากกว้างและทำเสียง ‘วู่ วู่’ ออกมา จากนั้นก็มีเสาน้ำสองสายออกมาจากรูที่หัวของมัน!
……………………………………………