ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1425 วาฬผู้ใจดี

บทที่ 1425 วาฬผู้ใจดี

“เจ้าพวกนี้มันจะทำอะไรน่ะ? ทำไมจู่ๆ พวกมันก็เข้ามาใกล้ล่ะ?” ชาร์คถามออกมาด้วยความสงสัย

ใบพัดของเรือลำใหญ่ค่อยๆ ลดความเร็วลง แต่ปริ้นเซสเมล่อนก็ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เมื่อเทียบกับน้ำหนักและความเฉื่อยของเรือแล้ว ความต้านทานของน้ำทะเลยังคงค่อนข้างน้อยกว่า

ซีมอนสเตอร์พูดออกมาเสียงดังว่า “บอส ต้องการให้เปิดเครื่องยนต์ไฮดรอลิกถอยหลังไหมครับ?”

เรือไม่มีเบรก แต่ใบพัดสามารถทำให้เรือสามารถเปลี่ยนทิศทางได้ นอกจากนี้ยังเป็นวิธีในการชะลอตัวอีกด้วย แต่ว่าหากไม่จำเป็นเจ้าของเรือจะไม่ค่อยอยากใช้มัน เพราะว่าเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรือลำใหญ่อย่างปริ้นเซสเมล่อนยิ่งเปลืองเข้าไปใหญ่

ฉินสือโอวโบกมือปัด แล้วพูดว่า “ค่อยๆ ปิดใบพัด อย่าให้ใบพัดโดนพวกมันก็พอแล้ว ฉันคิดว่าเจ้าพวกนี้คงไม่โง่ที่จะชนเรือของพวกเราจากด้านหน้าหรอก”

ชาร์คถามออกมาอีกครั้งว่า “ผมไม่เข้าใจ ทำไมจู่ๆ พวกมันถึงเข้ามาใกล้เราล่ะ?”

“ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่มีเรือจำนวนมากทำร้ายวาฬยังไงล่ะ” วินนี่พูดขึ้น พลางหยิบกล้องดีเอสแอลอาร์ขึ้นมาถ่ายรูป วาฬไรท์แห่งอาร์กติกพบเจอได้ยากมากเลยนะ

ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ วาฬถูกเรือชน แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะว่าพวกมันเห็นเรือแล้วเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แล้วได้บาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ สาเหตุที่พวกมันถูกเรือชนเพราะว่าพวกมันประเมินเรือพวกนั้นต่ำเกินไป ทำให้หลีกหนีไม่ทัน”

มหาสมุทรนั้นกว้างขวาง แต่เรือก็มีจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้วาฬยังมีมากมายหลายสายพันธุ์ เรื่องที่เรือทำร้ายวาฬโดยไม่ได้ตั้งใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันก็มีอยู่มาก โดยเฉพาะวาฬสีน้ำเงิน ที่มักจะได้รับบาดเจ็บ

สาเหตุของการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจของวาฬก็เหมือนกับนกที่ชนเครื่องบิน ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นกชนเครื่องบินงั้นเหรอ? เพราะว่าพวกนั้นตัดสินปัจจัยเสี่ยงจากระยะทาง ในขณะที่เครื่องบินบินด้วยความเร็วสูง เมื่อนกเห็นพวกมันครั้งแรกก็รู้สึกว่านั้นยังอยู่ห่างไกลจากตัวเองมากนัก จึงไม่ได้สนใจ

แต่เครื่องบินเจ็ทก็บินด้วยความเร็วที่เร็วมาก เมื่อพวกนกเห็นว่าเครื่องบินอยู่ไม่ห่างจากตัวเองแล้ว ในเสี่ยววินาทีทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกันอย่างจัง

ทำไมวาฬถึงไม่หลีกหนีออกจากเรือ? สาเหตุก็เพราะว่าพวกมันมีศัตรูทางธรรมชาติน้อย แถมขนาดตัวก็ใหญ่ เคลื่อนไหวก็ช้า ดังนั้นจึงขาดความคิดที่จะ ‘หนี’ ไป

ยกตัวอย่างเช่นวาฬสีน้ำเงิน พวกมันมีขนาดยาวถึงสามสิบเมตร หนักถึงสองร้อยตัน สามารถว่ายน้ำได้ด้วยความเร็วคงที่ยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกมันสามารถว่ายได้ถึงห้าสิบกิโลเมตรในเวลาอันสั้น ความสามารถนี้ถูกกำหนดขึ้นหลังจากที่ไม่ได้พบกับศัตรูตามธรรมชาติมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการตอบสนองต่อภัยคุกคามของวาฬสีน้ำเงินจึงมีลักษณะเฉพาะ

วาฬสีน้ำเงินมีสายตาที่ดี พวกมันสามารถตรวจจับเรือต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่พวกมันไม่มีความคิดที่จะหลบหนี เพราะว่าเรือจะเปลี่ยนเส้นทางทันทีที่พบพวกมัน แม้แต่ฉลามก็เลือกวิธีนี้

จนกระทั่งเรือเข้าใกล้ พวกมันก็จะพบว่าเรือพวกนั้นตัวใหญ่กว่าตัวเองมาก พอถึงเวลาที่จะต้องหนี ก็ช้าไปเสียแล้ว เนื่องจากพฤติกรรมการหลบหนีของพวกมันไม่ใช่การว่ายน้ำหนี แต่เป็นการดำน้ำลงไปใต้ทะเลแทน

แต่ว่า วาฬดำน้ำได้ช้ามาก โดยเฉลี่ยเพียงครึ่งเมตรต่อวินาทีเท่านั้น แบบนี้จึงเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับที่นกชนเครื่องบิน…ยากที่หลบหนีอีกครั้งเมื่อเรือได้มาถึงตัวแล้ว

ฉินสือโอวเป็นอาจารย์ที่ดี เขาบอกกับวินนี่ แต่วินนี่ไม่ฟัง และยังคงถ่ายรูปต่อไป แม้แต่ลูกตัวเองก็ไม่สนใจ

แบบนี้ก็หมดทางเลือก ท่านชายฉินจึงต้องคว้ารถเข็นเด็กมาและดูแลลูกสาวตัวน้อยแทน

เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าทุกคนมองออกไปข้างนอก เธอก็พยายามที่จะชะเง้อดู แต่ว่าไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดังนั้นเธอจึงมองไม่เห็นอะไรสักอย่างเดียว เธอทำได้เพียงเรียกหาป่ะป๊าม่ะม๊าอย่างกระวนกระวาย

เมื่อเรืออยู่บนทะเลถือว่าเป็นเรื่องอันตราย บางทีคลื่นลูกใหญ่ที่พัดเข้ามาก็ทำให้เรือโคลงเคลงไปมา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยที่แน่นอน ฉินสือโอวจึงไม่ยอมปล่อยให้ลูกสาวออกจากรถเข็นเด็กเลย

วาฬไรท์อาร์กติกเหล่านี้มีขนาดใหญ่ พวกโตเต็มวัยยาวถึงสิบห้าถึงสิบแปดเมตร วาฬแก่สามารถยาวได้ถึงยี่สิบเอ็ดเมตร พวกมันมีหลังที่กว้างมาก นี่คือที่มาของชื่อของพวกมัน ฝูงวาฬไรท์กำลังเคลื่อนตัวไปมารอบๆ ปริ้นเซสเมล่อนจนเกิดคลื่น อย่ามองว่าเรือลำนี้เป็นเรือขนาดใหญ่ แต่เรือก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

วาฬไรท์เป็นหนึ่งในราชาแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพราะว่าด้วยขนาดของพวกมันที่ใหญ่โต และบ้านเกิดของพวกมันอยู่ที่อาร์กติกด้วย วาฬพวกนี้มีชั้นไขมันที่หนามาก พวกมันทนทานต่อความเจ็บปวดได้ดี การชนเรือจากด้านข้างก็เหมือนเป็นการจั๊กจี้พวกมันเท่านั้น

โชคดีที่วาฬชนิดนี้มีนิสัยที่อ่อนโยน แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่มันก็ไม่ได้เลือกที่จะโจมตีสัตว์หรือพืชขนาดใหญ่ แต่ว่าแค่นี้ก็ทำให้พวกชาวประมงหวาดกลัวกันแล้ว

หลังจากที่ว่ายมาถึงด้านข้างของเรือปริ้นเซสเมล่อน วาฬเหล่านั้นก็แสดงท่าทีที่หาดูยากต่อการเคลื่อนไหวออกมา นั่นคือการที่มันตั้งตัวตรงในน้ำ หัวของมันครึ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ

พวกมันทยอยทำตามๆ กัน วาฬตัวใหญ่สองสามตัวแสดงตัวออกมาครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้น พวกมันก็ค่อยๆ หมุนตัวช้าๆ หลังจากหมุนตัวรอบหนึ่งก็มีวาฬสองตัวกลับลงไปในทะเล ส่วนตัวที่เหลือก็หยุดหมุน และมองมายังเรือตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่

วินนี่เพลิดเพลินไปกับการเคลื่อนไหวอย่างไร้สาระของวาฬไรท์ เธอถามออกมาว่า “เฮ้ นี่มันทำอะไรน่ะ? พวกมันกำลังทำการแสดงงั้นเหรอ? เร็วๆๆๆ ชาร์ค ไปเอาปลาแฮร์ริ่งออกมาหน่อยสิ ฉันอยากให้อาหารพวกมัน”

ฉินสือโอวดุเธอว่า “อย่าไร้สาระ นี่เรียกว่าการแอบดู เป็นวิธีการที่วาฬจะสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างและศัตรู เหมือนกับสิงโตที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าเพื่อดูเหยื่อนั่นแหละ อันที่จริงพวกมันแค่เฝ้ามองดูพวกเรา ว่าพวกเราสามารถกินได้หรือไม่?”

วินนี่ไม่ได้มาจัดการเรื่องงานประมง จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับทะเล เมื่อได้ยินฉินสือโอวพูดอย่างจริงจัง เธอก็พูดออกมาจากจิตสำนึกว่า “วาฬกินคนได้ด้วยเหรอคะ?”

ชาร์คหัวเราะออกมา “ไม่ อาหารของวาฬไม่ได้รวมถึงสิ่งที่อยู่บนบก พวกมันทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของน่านน้ำเท่านั้น บางครั้งก็ขึ้นมาสูดอากาศ อีกอย่าง บางครั้งพวกมันก็ขึ้นมาเพื่อดูสิ่งใหม่ๆ ว่าดูน่าสนใจหรือไม่ หลังจากนั้นก็กลับไปหาเพื่อนเพื่อแลกข้อมูลกัน”

พูดจบ เขาก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “วาฬไรท์ฉลาดมาก พวกมันส่งเสียงออกมาได้หลายแบบมาก”

การแอบมองแบบลอยตัวเป็นวิธีที่ปลาวาฬใช้สังเกตสภาพแวดล้อม วาฬส่วนมากทำแบบนี้ได้ แต่วาฬที่ชำนาญที่สุดคือวาฬเพชฌฆาต ที่ถูกตำนานกล่าวขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแห่งมหาสมุทร แต่ว่าการแอบดูของวาฬเพชฌฆาตคือการหาอาหารจริงๆ พวกมันจะสุ่มดูว่าบนเกาะเล็กๆ มีแมวน้ำ สิงโตทะเล หรือวอลลัสพวกนั้นหรือไม่ สัตว์พวกนี้ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของพวกมัน

เมื่อชาร์คกวักมือ เครนก็เริ่มขยับ กล่องใส่ปลาขนาดใหญ่ก็ถูกยกขึ้นมา สิ่งนี้เตรียมการไว้เพื่อสำหรับจับปูยักษ์และปลาทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ

กล่องใบนั้นถูกทิ้งลงทะเลไป ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปล่อยออกมา วาฬไรท์ตกใจและว่ายลงไปในน้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งร่างของพวกมันก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้ง พวกมันว่ายน้ำช้าๆ และพากันแย่งกินปลาพวกนั้น

ปลาแฮร์ริ่งจากฟาร์มปลาเป็นเหยื่อที่ดีที่สุดสำหรับล่อปลาตัวใหญ่ บวกกับมีพลังโพไซดอนด้วยแล้ว จึงสามารถดึงดูดพวกมันได้เป็นอย่างดี

วาฬไรท์ไม่เคยกินอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต วาฬตัวใหญ่ทั้งเจ็ดตัวล้อมวงกันเข้ามา แม้แต่ลูกวาฬก็ต่อสู้แย่งชิงด้วยเช่นกัน พวกมันอ้าปากกว้างและดูดน้ำเข้าไป

เมื่อกินจนมีความสุขแล้ว วาฬไรท์ก็โผล่หัวขึ้นมาบนผิวน้ำ มันอ้าปากกว้างและทำเสียง ‘วู่ วู่’ ออกมา จากนั้นก็มีเสาน้ำสองสายออกมาจากรูที่หัวของมัน!

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท