ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1439 โบสถ์น้ำแข็งหิมะ

บทที่ 1439 โบสถ์น้ำแข็งหิมะ

มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักที่จะไปอิลลูลิแซทในช่วงฤดูกาลนี้ ทำให้ห้องของโรงแรมโดยรวมแล้วว่าง ซึ่งเป็นอาคารที่ก่อขึ้นจากก้อนน้ำแข็งจริงๆ ฉินสือโอวเดินเข้าไปดูข้างในไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้เคาน์เตอร์ทางเดินระเบียงบันไดล้วนแล้วเป็นน้ำแข็งไสแวววาว!

“ว้าว นี่มันเหมือนกับปราสาทน้ำแข็งของเจ้าหญิงเอลซ่าเลย พวกคุณก็ใช้เวทมนตร์เสกน้ำแข็งหิมะพวกนี้เหรอคะ?” วินนี่ถามติดตลก

เจ้าหญิงเอลซ่าเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงหลักของเรื่อง Frozen มีพลังควบคุมน้ำแข็งและหิมะ หลังจากเธอหนีออกมาจากอาณาจักรเอเรนเดลล์ ก็ได้มาสร้างปราสาทน้ำแข็งอยู่บนยอดเขา

ดอร์แมนคนนั้นจึงพูดว่า “ประมาณนั้นแหละ อย่างตอนที่พวกเราสร้างโรงแรมนี้ก็มีแต่คนหาว่าพวกเราบ้า สุดท้ายไม่เพียงแต่สร้างมันเสร็จยังหาน้องสาวให้มันด้วย”

“น้องสาว? พวกคุณจะสร้างโรงแรมน้ำแข็งหิมะอีกที่หนึ่งเหรอ?” ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ

แล้วดอร์แมนก็ชี้ไปยังด้านข้าง “ไม่ ที่ผมหมายถึงคือโบสถ์น้ำแข็งหิมะ มาสิ วางสัมภาระลงก่อนเดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปชมสักหน่อย พวกคุณโชคดีมากเลยนะเนี่ยรู้ไหม?”

“ทำไมถึงว่าอย่างนั้นล่ะ?” ฉินสือโอวทั้งถ่ายรูปทั้งถามไปเรื่อย

ดอร์แมนจึงตอบเขาไปว่า “โบสถ์ของพวกเราจะเปิดให้เข้าชมได้แค่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปี นอกนั้นจะปิดทำการซ่อมแซมน่ะ และรูปลักษณ์ของโบสถ์จะได้รับการออกแบบใหม่ทุกปี ดังนั้นไม่ใช่ว่านักท่องเที่ยวทุกคนจะมีวาสนาได้เข้าไปนะ”

พูดจบ ดอร์แมนก็หันไปมองเสี่ยวเถียนกวาที่เหมือนกับหมีอ้วนที่วินนี่กำลังอุ้มอยู่ ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มออกมาและถามขึ้น “พวกคุณเป็นคู่แต่งงานใหม่ใช่ไหม? งั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่น่ะสิ พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ คุณพ่อจะทำการอธิษฐาน ผมว่าเขาต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอวยพรให้พวกคุณแน่ๆ”

ฉินสือโอวขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้ม เขารู้เรื่องนี้ดีจึงเลือกที่จะมาเที่ยวที่นี่ในเดือนมกราคม เพราะรู้ว่าโบสถ์น้ำแข็งคริสทัลเป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดในโลก

หลังจากเข้ามาในโรงแรมแล้ว อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้อุณหภูมิในห้องสูงกว่าข้างนอกสิบกว่าองศา ถึงแม้จะยังเป็นติดลบอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับต้องใส่เสื้อกันหนาวหนังสัตว์หนาๆ นอกจากนั้นในห้องไม่มีลมแม้อุณหภูมิจะต่ำก็ตามแต่ก็ไม่มีไอเย็นจากน้ำแข็งที่เย็นเข้าไปถึงกระดูก เมื่อเทียบกันแล้วถือว่าสบายมาก

หลังจากดอร์แมนยุ่งกับการเลือกห้องให้พวกเขาเสร็จแล้วก็พาพวกเขาเข้าไปในห้อง และบอกพวกเขาว่า “ในห้องมีไฟ หากรู้สึกหนาวสามารถใช้เตียงอุ่นได้ แต่กรุณาอย่าจุดไฟ ต้มกาแฟ และต้มน้ำร้อนมิเช่นนั้นหากมีไอน้ำลอยขึ้นไปจะก่อให้เกิดอันตรายได้ง่าย”

ฉินสือโอวพยักหน้าและบอกไม่มีปัญหา จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าห้องนี้มันช่างโทรมจริงๆ ข้างในมีแค่หนึ่งเตียงหนึ่งห้องน้ำ ไม่มีทีวี ไม่มีแอร์ แต่มี WIFI ให้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้

พอวางสัมภาระอะไรเรียบร้อย เขาก็ให้ดอร์แมนไปหนึ่งร้อยโครนเดนมาร์กซึ่งเมื่อแลกกลับก็มีค่าประมาณหนึ่งร้องหยวน ซึ่งถ้าในเมืองท่องเที่ยวขนาดเล็กนี่ก็ถือว่าเป็นรายรับที่น้อยประมาณหนึ่ง แต่เมื่อดอร์แมนรับเงินและเก็บมันเรียบร้อยใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มที่จริงใจกว่าเดิมขึ้น แถมยังให้เบอร์โทรศัพท์กับฉินสือโอวไว้และบอกว่าหากมีปัญหาอะไรให้โทรหาเขาแล้วเขาจะมาหาในทันที

ในขณะที่ฟ้ายังสว่างอยู่ ทั้งสองคนเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็จะพากันออกไปดูข้างนอก

ในตอนที่กำลังจะล็อกประตู ฉินสือโอวเลยเหลือบไปเห็นประตูโรงแรมที่เป็นแก้วคริสทัลธรรมดาจึงพูดขึ้น “พวกของมีค่ามีราคาอะไรทั้งหลาย พวกเราพกติดตัวไปด้วยนะ ประตูโรงแรมแบบเนี้ย? ผมใช้เท้าถีบก็แตกแล้ว!”

วินนี่พูดขึ้น “ใช่ ฉันเชื่ออย่างสนิทใจเลย แต่ถ้าคุณเป็นโจรขโมยของแล้วคุณจะไปหลบตรงไหนล่ะ? ในที่แบบนี้หาตัวได้ง่ายไม่ใช่เหรอ? หรือว่าคุณจะกระโดดหนีล่ะ? กระโดดลงไปใส่พื้นที่มีหิมะน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วน่ะเหรอ?”

ได้ยินว่าพวกเขาจะออกไปเดินรอบๆ ดอร์แมนที่มีปฏิภาณไหวพริบก็ไปเปลี่ยนชุดพร้อมกับเดินออกมาเอามือทาบอกและพูดขึ้น “จ้างผมเป็นไง? ผมชื่อบิยอมโบ พวกคุณจะลองพิจารณาดูก่อนก็ได้นะ ผมเป็นหนึ่งในไกด์เด็กที่ดีที่สุดของที่นี่ ราคาก็เป็นกันเอง รอบรู้ทุกเรื่อง แถมผมนั้นเป็นเด็ก หากพวกคุณต้องการซื้อของผมก็สามารถช่วยพวกคุณต่อราคาได้อย่างแน่นอน”

ฉินสือโอวจึงถามขึ้น “แล้วนายไม่ต้องคอยอยู่เฝ้าโรงแรมงั้นเหรอ?”

ดอร์แมนน้อยยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ตอนนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวหรอกครับ ความจริงแล้วพวกคุณเป็นนักท่องเที่ยวล็อตแรกที่ผมเจอในช่วงอาทิตย์นี้เลย ดังนั้นถึงผมไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร อีกอย่าง พวกเราก็มีพนักงานคนอื่นคอยดูแลที่นั่นอยู่ด้วย”

อย่างนี้นี่เอง ฉินสือโอวตกลงจ้างดอร์แมนน้อย และที่แรกที่พวกเขาไปก็คือโบสถ์ข้างๆ นี่เอง

ซึ่งโบสถ์ทั้งหลังนี้สร้างจากน้ำแข็งทั้งหมด ไม่ว่าจะไม้กางเขน กำแพง ประตู ลูกบิดประตูล้วนแล้วแต่ทำจากน้ำแข็งทั้งนั้น

ดอร์แมนน้อยเล่าให้พวกเขาฟังว่า พวกที่มาโบสถ์นี้ส่วนใหญ่จะมาอธิษฐานขอเรื่องแต่งงาน เพราะนักท่องเที่ยวที่มานี่ส่วนมากจะเป็นคู่รักหรือไม่ก็คู่สามีภรรยามาเที่ยวฮอลิเดย์อะไรแบบนี้กัน ด้านบนของโบสถ์จะมีหิมะปกคลุมอยู่ เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่จงรักภักดีต่อกัน ส่วนประตูใหญ่มีสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล

ดูจากข้างนอกแล้ว โบสถ์มีแต่น้ำแข็งสีขาวโพลน แต่ถ้าเข้าไปดูข้างในจะเห็นสีสันมากมาย อีกทั้งโดมของโบสถ์ยังวาดฉากคลาสสิกบางฉากในพระคัมภีร์ด้วยสีสันสดใส แต่ลายเส้นค่อนข้างเรียบง่าย

ฉินสือโอวเลยถามว่าได้วาดลงไปไหม ดอร์แมนน้อยส่ายหัวแล้วบอกว่า ในการทำอิฐหิมะในตอนแรกพวกเขาจะใส่สีย้อมลงไปด้วยจากนั้นก็ทำการประกอบให้ดูเข้ากันก็ได้แล้ว

เวลานี้ก็เป็นเวลาเที่ยงควรทานอาหารแล้ว ดอร์แมนน้อยจึงถามขึ้น “พวกคุณทานปลากันไหมครับ? อาหารหลักของพวกเราที่นี่คือปลาทุกชนิด เนื้อกับผักเลยแพงมาก”

ฉินสือโอวจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องไปสนใจราคาหรอก เด็กน้อย พาฉันไปร้านที่ขึ้นชื่อที่สุด แต่อย่าคิดจะหลอกฉันนะเพราะถ้าฉันมารู้ทีหลังฉันจะไม่ให้ทิปนาย”

ดอร์แมนน้อยหัวเราะขึ้น “ก่อนอื่นถ้าผมจะหลอกพวกคุณ พวกคุณไม่มีทางรู้หรอก อย่างที่สองพวกเราไม่ทำอย่างนั้นถ้าทำแบบนั้นจะถูกพระเจ้าลงโทษ และพระเจ้าก็จะโยนผมลงเหวลึกดำมืด สุดท้ายหากพวกคุณไม่สนราคางั้นก็ทานผัก แต่ถ้าพวกคุณอยากรู้จักกับของขึ้นชื่อของที่นี่งั้นก็ต้องเป็นอาหารทะเล”

“งั้นอาหารทะเลแล้วกัน พวกเราพกวิตามินและเกลือแร่มาด้วย ไม่กินผักก็ได้” วินนี่กล่าว

จากนั้นดอร์แมนน้อยก็โทรศัพท์ ไม่นานก็มีสโนว์โมบิลคันใหญ่ขับเข้ามา มีรูปลักษณ์คล้ายรถรางอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนหัวเป็นสโนว์โมบิลและส่วนท้ายพ่วงโบกี้

แปดเหรียญต่อหนึ่งคน สโนว์โมบิลส่งเสียงดังครืนๆ พร้อมกับออกจากเขตใจกลางที่อยู่อาศัยไปถึงหน้าประตูร้านอาหารฝั่งตะวันตกอย่างเร็ว

ร้านอาหารร้านนี้ไม่ต่างจากร้านอาหารอื่นทั่วไป ไม่ว่าจะโต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ เครื่องไฟฟ้าครบครัน และอุณหภูมิอบอุ่นด้วยเครื่องทำความร้อน

ฉินสือโอวดูเมนูก็เห็นว่าส่วนใหญ่ใช้เนื้อแมวน้ำ เนื้อวาฬ เนื้อสิงโตทะเล และเนื้อฉลามประกอบอาหาร เขาและวินนี่ต่างก็ขัดแย้งต่ออาหารพวกนี้ สุดท้ายก็ผิดหวังกันยกใหญ่ ทำได้เพียงสั่งอาหารธรรมดามาสองสามอย่าง

ส่วนพวกทหารใหญ่มองเมนูอาหารตาไม่กะพริบ ฉินสือโอวเข้าใจพวกเขา จึงพูดขึ้นว่า “พวกนายจะสั่งอะไรฉันไม่ห้ามนะแต่อย่ามากินต่อหน้าฉันก็พอ”

ได้ฟังดังนั้น พวกทหารใหญ่ก็พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รีบลุกไปนั่งโต๊ะข้างๆ แล้วเริ่มโต้เถียงกัน “เอาอันนี้ เฆี่ยนแมวน้ำ ทั้งหอมทั้งมีความเหนียว เอาไปทอดในน้ำมันนะ อือหืออร่อยสุดๆ!” “เห้ย แบล็คไนฟ์ทำไมนายมันน่าขยะแขยงจังวะ คนดำอย่างพวกนายเนี่ยอะไรก็กินไปหมดเลยรึไง? กินเนื้อวาฬเถอะ นายดูขาวๆ นุ่มๆ เอามาจิ้มกับน้ำจิ้มนะ…”

“เบาเสียงหน่อยได้ไหม?” ฉินสือโอวขมวดคิ้วถาม ไอ้คนพวกนี้คุยกันเสียงดังพลางทำให้เขาอยากกินไปด้วยเลย

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท