ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1450 ปลาที่กลับมามีชีวิต

บทที่ 1450 ปลาที่กลับมามีชีวิต

“คุณรู้จักปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือ งั้นก็คงจะรู้ว่าปลาสายพันธุ์นี้กินอย่างไรถึงจะอร่อยที่สุดใช่ไหม?” เจ้าของเรือถามด้วยความสนใจ ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือแช่แข็งกองหนึ่งวางอยู่ในหิมะ ภรรยาของเจ้าของเรือแยกตามขนาดไว้เรียบร้อยแล้ว

ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือเป็นปลาน้ำจืด แน่นอนว่ามันก็สามารถเข้าไปอยู่ในทะเลได้ ตัวอย่างเช่นตอนที่อพยพไปวางไข่ ก็จะเข้าไปที่ทะเลเปิด อย่างที่ทุกคนรู้ว่าคนยุโรปกับคนอเมริกาเหนือไม่ชอบกินปลาน้ำจืด แต่ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือเป็นข้อยกเว้น

ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของปลาสายพันธุ์นี้ก็คือขนาดที่ใหญ่เป็นพิเศษ เนื้อเยอะ ก้างน้อย รสชาติอร่อย คุณค่าทางโภชนาการสูง ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อปลามีคอเลสเตอรอลน้อย ย่อยง่าย ซึ่งตีความได้ว่า พวกมันสามารถกินโดยใช้มีดกับส้อมได้อย่างสบายใจ กินมากแค่ไหนก็ไม่อ้วน และก็จะไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองด้วย

สำหรับคนผิวขาว ลักษณะเฉพาะพวกนี้รวมกัน และใส่ไว้ในตัวของปลา มันก็จะเป็นปลาที่ดีสายพันธุ์หนึ่ง

เพราะอะไรพวกเขาถึงไม่กินปลาคาร์ฟเอเชีย? ก็เพราะปลาคาร์ฟเอเชียก้างเยอะ กลิ่นคาวปลาหนักมาก ปริมาณไขมันกับคอเลสเตอรอลสูง ใช้วิธีแปรรูปดั้งเดิมรสชาติก็ไม่ดี แทบจะเป็นสองขั้วกับปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือ

ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือจัดเป็นปลาน้ำเย็น มองจากองค์ประกอบทางโภชนาการ ปลาน้ำเย็นจัดเป็นปลาที่มีโปรตีนและไขมันสูง ปริมาณคอเลสเตอรอลเกือบจะศูนย์ อุดมไปด้วยกรดอะมิโน กรดไขมันไม่อิ่มตัว แร่ธาตุและวิตามิน ปริมาณดีเอชเอกับอีพีเอสูงกว่าปลาสายพันธุ์อื่นหลายเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น ปลาน้ำเย็นส่วนใหญ่เป็นประเภทกินเนื้อ คุณภาพของเนื้อจึงสด นุ่มและอร่อย ส่วนที่กินได้ก็เยอะ

ฉินสือโอวแค่รู้จักปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนืออย่างคร่าวๆ ถึงอย่างไรเขตนิวฟันด์แลนด์ทั้งหมดก็ไม่มีปลาสายพันธุ์นี้ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขารู้ก็ไร้ประโยชน์ แต่ความสามารถในการจำของเขายอดเยี่ยมมาก ดังนั้นสิ่งที่เขารู้เขาจำได้ทั้งหมด ซึ่งก็รวมถึงวิธีกินปลาสายพันธุ์นี้ด้วย

คนจีนชอบกินหม้อไฟ คนผิวขาวในแคนาดากับอเมริกาไม่ค่อยชอบวิธีแบบนั้น แต่ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือเหมาะกับการหั่นเนื้อปลาลงไปต้มในหม้อต้มและกิน

ฉินสือโอวพูดคำตอบออกมา เจ้าของเรือยิ้มอย่างมีความสุข “ใช่ เหมาะกับการต้มเนื้อกิน แต่นี่เป็นแค่วิธีกินแบบหนึ่ง มาสิ พวกเราทำความสะอาดสักหน่อย และเตรียมหั่นเนื้อกัน แต่ก่อนหน้านั้น ผมต้องโชว์ปาหี่เล็กๆ ให้คุณดูก่อน”

ภายในน้ำแข็งลอยทั้งก้อนนั้นขุดปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือออกมาได้ 14 ถึง 15 ตัว จำนวนที่ขุดได้น่าประทับใจมาก นี่เป็นเพราะปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือจัดเป็นวงศ์ปลาเทราท์ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน และชอบใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ดังนั้นตอนที่น้ำกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง พวกมันจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยกัน

สีตัวของปลาสายพันธุ์นี้เป็นสีสดใสและสวยงามมาก ด้านหลังของปลาเป็นสีม่วงเข้ม ด้านข้างเป็นสีเหลืองอ่อน ด้านข้างมีจุดอยู่จำนวนหนึ่ง และท้องของปลาหนุ่มจะเป็นสีขาว ทั้งสองด้านของตัวปลาจะมีจุดแนวนอนสีเข้มอยู่ 2 ถึง 3 แถว ซึ่งสีจะไม่สดใสเหมือนปลาตัวใหญ่ และร่างกายก็จะไม่อวบอ้วนอุดมสมบูรณ์เหมือนกับปลาตัวใหญ่

แม้แต่ปลาที่ขนาดเท่ากัน ระดับความงดงามของสีผิวบนตัวก็แตกต่างกัน เจ้าของเรือทำความสะอาดปลาที่ผิวบนตัวมีสีสันสดใสมากเป็นพิเศษ และแขวนไว้ใต้ชายคา เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้วางแผนว่าจะกิน

ฉินสือโอวมองและไม่พูดอะไร เจ้าของเรือกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด จึงอธิบายว่า “คุณคงจะรู้สินะว่า ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือยิ่งสีสันสดใส แสดงว่ารสชาติก็ยิ่งไม่ดี ปลาแบบนี้เหมาะแค่เอามาทำปลาตากแห้งเท่านั้น”

“เฮ้ เพื่อน ผมเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไร” ฉินสือโอวพยักหน้า สำหรับปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือสีถือเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง มันใช้เพื่อเตือนศัตรูไม่ให้ล่าเหยื่อของมัน ปลาที่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ โภชนาการที่อยู่ในร่างกายจะถูกใช้เพื่อพัฒนาสีที่ผิวนอก คุณภาพของเนื้อจึงไม่ดี

เจ้าของเรือยกเตาไปไว้ข้างนอก และวางหม้อใบหนึ่งไว้ด้านบน หลังจากนั้นก็เลือกปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือที่อวบอ้วน 2 ถึง 3 ตัวใส่ลงไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก้อนน้ำแข็งที่ผิวนอกของปลาพวกนี้ก็ละลาย อย่างช้าๆ หางของปลาตัวหนึ่งสั่นนิดหน่อย จากนั้นหางของมันก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ครีบก็เริ่มขยับ สุดท้ายมันก็ว่ายอยู่ในน้ำ

ทีละตัวๆ ปลาที่อยู่ในหม้อกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พวกมันว่ายอย่างกระสับกระส่ายอยู่ในน้ำอุ่น

เมื่อเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจ “ว้าว นี่เป็นปาหี่ที่ดีจริงๆ ปลาพวกนี้ไม่ได้ตายแล้วหรอกเหรอ? เป็นไปได้อย่างไร? ผมเห็นด้วยตาของตัวเองเลยว่าพวกมันแข็งมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันถูกแช่แข็งอยู่ในน้ำแข็งมาอย่างน้อยครึ่งปีแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้? ตายและกลับมามีชีวิต?”

เจ้าของเรือเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดใจก็หัวเราะขึ้นมา และโชว์ฟันสีขาวหิมะ 2 แถวของเขา “ไม่ใช่ตายและกลับมามีชีวิตแน่นอน ถ้าตายไปแล้ว งั้นก็คงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าแล้วล่ะ และก็คงไม่สามารถกลับมาอยู่ที่โลกมนุษย์ได้อีก อันที่จริงปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือพวกนี้ยังไม่ตาย พวกมันแค่ถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว!”

“ปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือสามารถชีวิตอยู่ในอุณหภูมิต่ำได้ ตราบใดที่น้ำไม่แข็งตัว พวกมันก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี ภายในเซลล์ของพวกมันมีกล้ามเนื้อน้ำตาลประเภทหนึ่งอยู่ ซึ่งประสิทธิภาพคล้ายกับสารป้องกันการแข็งตัวของรถ ความสามารถในการป้องกันความหนาวน่าอัศจรรย์มาก”

“ดังนั้น พวกมันจึงถูกแช่แข็งอยู่ในก้อนน้ำแข็ง ซึ่งมีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว นั่นก็คือคืนหนึ่งมีลมหนาวพัดมา น้ำผืนนั้นก็ถูกแช่แข็งในระหว่างนั้นทันที และอุณหภูมิก็ต่ำมาก ไม่อย่างนั้นถ้าความเร็วในการแข็งตัวไม่เร็วพอ พวกมันก็คงหนีไปได้แล้ว”

“เพราะภายในร่างกายของปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือมีกล้ามเนื้อน้ำตาลอยู่ และการแช่แข็งอย่างรวดเร็วทำให้น้ำที่อยู่ด้านในและด้านนอกเซลล์ของปลาไม่สามารถสร้างผลึกที่แหลมคมตามกฎได้ มันเลยไม่ทะลุเข้าไปในเซลล์ ดังนั้นเซลล์จึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน เพราะอุณหภูมิ การเผาผลาญของปลาก็หยุดลงโดยสมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้น พวกมันจึงจมอยู่ใน ‘การจำศีล’”

ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าอย่างไร แต่เขารู้สึกว่าเจ้าของเรือจะต้องไม่เข้าใจเหตุผลของฝั่งนี้ ก็เลยแกล้งทำเป็นเข้าใจ และพยักหน้าด้วยความชื่นชม เขาพบว่าเจ้าของเรือคนนี้ชอบอวดความรู้ของตัวเอง ตั้งแต่ภูเขาน้ำแข็งถึงความเข้ากันได้ดีของฉงเอ้อกับเถียนกวาจนกระทั่งตอนนี้อีก เขาใช้วิธีของ ‘การเข้าสู่วิทยาศาสตร์’ มาวิเคราะห์ปัญหามาโดยตลอด

หลังจากปลาพวกนี้มีชีวิตขึ้นมา เจ้าของเรือก็จับพวกมันออกมาและใช้ขวานสับลงไปที่หัวของมัน จากนั้นก็อธิบายว่า “เรื่องที่ผมอธิบายไปยังไม่หมด อันที่จริงนั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมากกระบวนการหนึ่ง แต่ผมลืมพูดไปจุดหนึ่งจากในกระบวนการนั้น ถึงแม้ว่าปลาพวกนี้จะยังไม่ตาย แต่อวัยวะก็ใกล้จะล้มเหลวแล้ว สุดท้ายการหนาวอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติไม่ใช่การแช่แข็งทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ หลังจากพวกมันกลับมามีชีวิตก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานและตายในที่สุด ดังนั้น ผมฆ่าพวกมันเลยดีกว่า และมอบความสุขให้พวกมันไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวยิ้ม “ใช่ครับ คุณทำให้พวกมันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าเร็วขึ้น”

เยินยอไปพลาง เขามองหัวปลากับตัวปลาที่เหนียวเหนอะไปพลาง ในใจก็คิดกับตัวเองว่าปลาพวกนี้จะตกไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าทั้งแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเปื้อนเสื้อคลุมสีขาวของพระเจ้าหรือเปล่า

เจ้าของเรือเป็นคนที่ชอบฟังคำชม ฉินสือโอวซื้อใจเขาเต็มๆ เขามักจะแสดงความตื่นเต้นออกมาเรื่อยๆ

หลังจากแล่เนื้อปลา และหั่นเป็นชิ้นๆ เขาก็นำไข่ปลา และเอาก้างปลาออก ปลาตัวอ้วนถูกจัดการทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว

เจ้าของเรือล้างไข่ปลาสองสามรอบ และผสมกับแป้งนิดหน่อยและสับใบผักใส่เข้าไปด้วย เขาปั้นเป็นเค้ก และแนะนำว่า “นี่คือเค้กไข่ปลาที่อร่อยที่สุดของที่นี่ เชื่อผมสิ รสชาติของมันยอดเยี่ยมมาก!”

ฉินสือโอวล้างเนื้อปลา และยิ้ม “งั้นผมคงต้องรีบชิมสักหน่อยแล้ว คุณอาจจะไม่รู้ หลังจากมาถึงที่นี่ของที่ผมกินมาตลอดก็คือปลาทอดกับปลาทูผัดธรรมดาๆ นั่นน่าเบื่อมากจริงๆ”

เจ้าของเรือพูดว่า “คุณควรจะลองเนื้อวาฬกับเนื้อแมวน้ำดู พวกคุณยังไม่เคยกินใช่ไหม?”

ฉินสือโอวยักไหล่ “ไม่ๆ ผมไม่ชอบกินของพวกนั้น ผมแค่ชอบกินปลาธรรมดาๆ ตัวอย่างเช่นปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนือของวันนี้ ผมยังไม่เคยกินมาก่อน แต่ผมรู้ว่ามันอร่อย”

เจ้าของเรือรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ไม่มีอะไรถูกต้องไปกว่าคำพูดนี้ของคุณ นี่จะอร่อยเลิศแน่นอน มาเถอะ พวกเราจะได้เริ่มเสิร์ฟอาหาร”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท