ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1460 ผิดปกติ

บทที่ 1460 ผิดปกติ

ชาร์คตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “เจ้านาย วิทยุไร้สายไม่สามารถเชื่อมต่อได้ พวกเราควรเข้าไปใกล้เรือลำนั้นไหมครับ? ”

ฉินสือโอวถามกลับว่า “วิทยุไร้สายของพวกเราพังรึเปล่า?”

ระหว่างทางที่ล่องเรือมา แม้ว่าจะพบเรือจำนวนไม่มาก แต่พวกของฉินสือโอวก็เจอเข้ากับเรือลำใหญ่อยู่หลายสิบลำ ในช่วงเวลานั้นพวกเขายังวิทยุไร้สายติดต่อพูดคุยกันอยู่เลย ดังนั้นวิทยุไร้สายของเรือปริ้นเซสเมล่อนไม่มีปัญหาแน่นอน

ระหว่างที่ล่องเรืออยู่กลางทะเล หากโทรศัพท์ดาวเทียมและวิทยุไร้สายเกิดปัญหาขึ้นมา แบบนั้นเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

ชาร์คบอกว่าเห็นได้ชัดว่าวิทยุไร้สายของพวกเขานั้นมีปัญหา หลังจากนั้นเขาก็ถามอีกครั้งว่า ต้องการให้เข้าไปใกล้เรือของอีกฝั่งหรือไม่

เรือขนาดใหญ่หนักหลายสิบตันทั้งสองลำ ไม่สามารถเข้าใกล้กันได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพราะถ้าหากว่าไม่ระมัดระวัง ความกดอากาศและแรงดันน้ำทะเลอาจทำให้เรือทั้งสองลำชนกันได้ นอกจากนี้ ใครจะรู้ว่าบนเรือของอีกฝ่ายนั้นมีอะไร? ยังดีที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ไม่มีโจรสลัดปรากฏตัว ถ้าหากว่าอยู่ในทะเลแคริบเบียน มหาสมุทนอินเดียใต้พวกนั้นล่ะก็ มีโจรสลัดอาละวาดเต็มไปหมด เขาไม่มีทางเข้าใกล้เรือแปลกๆ แน่นอน

ฉินสือโอวเดินไปที่ดาดฟ้า เขาเห็นว่าที่เรือฝั่งตรงข้ามมีคนกำลังโบกธงในมือไปมาอย่างสุดแรง เขามองผ่านกล้องส่องทางไกลครู่หนึ่ง แล้วถามออกมาว่า “คนคนนั้นกำลังพูดอะไรอยู่?”

ชาร์คส่ายหน้า ฉินสือโอวจึงพูดขึ้นว่า “นายไม่รู้ความหมายของธงเหรอ?”

ชาร์คส่ายหน้าต่อไปด้วยความรู้สึกผิด ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยความเบื่อหน่ายว่า “งั้นนายยังยืนบื้อทำอะไรอยู่ล่ะ? ยังไม่ไปหาคนที่รู้ความหมายของธงอีก?”

ชาร์คส่ายหัวอย่างผิดหวัง “เจ้านาย พวกเราบนเรือไม่มีใครรู้ความหมายของธงเลยสักคนครับ!”

ฉินสือโอวไม่อยากจะเชื่อ เขาหันไปถามพวกของแบล็คไนฟ์ “พวกนายก็ไม่รู้ความหมายของธงเหรอ?”

แบล็คไนฟ์หัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น “ขอโทษด้วยครับ หัวหน้า พวกเราไม่รู้ความหมายของมันจริงๆ”

“งั้นพวกนายงั้นเป็นกองกำลังพิเศษอยู่ไหม? ทำไมกองกำลังพิเศษถึงไม่เข้าใจความหมายของธง? เหล่าเกิง พวกนายล่ะ? อย่าบอกฉันนะว่า พวกนายที่เป็นทหารเรือก็ไม่เข้าใจความหมายของธงเหมือนกัน?”

เกิง จุนเจี๋ยพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนว่า “บอส ผมเป็นทหารบกนะครับ แม้ว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะเป็นทหารเรือ แต่พวกเขาไม่ได้รับการฝึกด้านสัญญาณธงมาเป็นพิเศษ ปกติแล้วระหว่างการฝึกก็จะเป็นการดูเพื่อนร่วมทีมทำการแสดงมากกว่า มาตรฐานเรื่องสัญญาณธงแย่กว่าภาษาอังกฤษของพวกเขาเสียอีก”

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อจางตงสูดจมูกฟุดฟิดแล้วพูดออกมาว่า “ให้ผมลองดูสักหน่อยดีไหมครับ บอส ผมเคยเรียนมาก ตอนนั้นที่ผมเรียนเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง แต่ตอนนี้จำไม่ค่อยได้แล้ว”

ฉินสือโองส่งกล้องส่องทางไกลให้เขา จางตงส่องกล้องดูสักพัก สีหน้าของเขาก็ปรากฏความสงสัยออกมา เขาพูดว่า “ความหมายของชายคนนี้ เหมือนจะบอกว่าให้พวกเราอย่าเข้าใกล้”

“นายแน่ใจนะ?” ชาร์คถามด้วยความสงสัย “ถ้าหากว่าไม่อยากให้พวกเราเข้าใกล้ พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องส่งสัญญาณธงเลย ไม่พูดอะไรพวกเราก็หนีออกมาอยู่แล้ว”

จางตงเกาหัว พลางพูดออกมาว่า “นั่นก็ ผมไม่ค่อยมั่นใจนัก ท่าทางของเขาซับซ้อนมาก เหมือนว่าจะไม่ให้พวกเราเข้าไปใกล้ แต่ก็เหมือนจะบอกว่าให้พวกเรารีบเข้าไปหา ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาพลางพูดว่า “อย่าเสียเวลาเลย เตรียมแตรใหญ่ซะ พวกเราจะเข้าไป แล้วถามพวกเขาว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม”

เรือปริ้นเซสเมล่อนเริ่มลดความเร็วลง และค่อยๆ ล่องไปข้างหน้าช้าๆ ซีมอนสเตอร์นำแตรไฟฟ้าไปวางไว้ที่ดาดฟ้า เขากระแอมเพื่อเตรียมที่จะถามคำถามกับฝั่งตรงข้าม

ตอนนั้นเองที่เรือลำใหญ่ก็มีคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ชายที่กำลังโบกธงอยู่ถูกคนพวกนั้นจับตัวไป ภาพเหตุการณ์นั้นอยู่ในภายใต้การมองอย่างระวังของแบล็คไนฟ์ เขาพูดขึ้นว่า “บอส อย่าเข้าใกล้เลยครับ ปล่อยเรือเล็กไปดีกว่า ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อครู่มีคนลงมือจัดการกับชายที่โบกธงคนนั้น”

ตอนนี้ที่ทะเลเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้น ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่เสี่ยงที่จะปล่อยเรือเล็กออกไปเผชิญอันตราย

เมื่อได้ยินคำพูดของแบล็คไนฟ์ เขารู้สึกว่าแบล็คไนฟ์ออกจะตื่นตระหนกเกินไปเสียหน่อย น้อยมากที่จะเจอโจรสลัดที่มหาสมุทรแอตแลนติก แม้ว่าจะมีโจรสลัดพวกมันก็คงไม่เข้ามาใกล้เรือประมงลำใหญ่แบบนี้แน่นอน

เมื่อเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นชัดขึ้น เรือลำนี้เป็นเรือประมงตกปลาหมึก

ฉินสือโอวยังไม่ได้ปล่อยเรือเล็กออกไป แต่คนทางนั้นกลับลงมือก่อน เรือชูชีพหนึ่งลำมีชายห้าคนนั่งออกมา

คลื่นลมทะเลแรงมาก เรือชูชีพถูกคลื่นทะเลซัดโซเซไปมา ท่าทางดูเหมือนจะจมลงได้ตลอดเวลา น่ากลัวเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวต้องใช้จิตสำนึกโพไซดอนในการประคับคองให้เรือล่องไปข้างหน้า

เรือชูชีพเข้าใกล้เรือปริ้นเซสเมล่อน ชายผิวขาวคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความรีบร้อนว่า “เฮ้ เพื่อนจากเรือปริ้นเซสเมล่อน เจ้าของเรือของพวกนายอยู่ที่ไหน? พวกเราสามารถคุยกับเจ้าของเรือของพวกนายได้ไหม”

ฉินสือโอวแสดงตัวออกมาพลางพูดว่า “ฉันเป็นเจ้าของเรือ มีอะไรงั้นเหรอ?”

ชายผิวขาวคนนั้นพูดว่า “พวกเรามาขอความช่วยเหลือ เรือของพวกเรามีปัญหา มันน่าเสียจริง! พวกเราโชคไม่ดี! ใบพัดเกิดติดขัดขึ้นมา โทรศัพท์ดาวเทียมและวิทยุไร้สายก็ดันมาเสียอีก! พระเจ้า! พวกเราสามารถเข้าไปในเรือคุณก่อนได้ไหม? ตอนนี้คลื่นลมแรงมาก การนั่งอยู่ในเรือเล็กๆ แบบนี้ทำให้พวกเรากลัวจริงๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมาแห้งๆ “งั้นพวกคุณก็คงโชคไม่ดีจริงๆ แต่ว่าผมแนะนำให้พวกคุณถอยเรือกลับไปก่อน เราจะแจ้งหน่วยกู้ภัยทางทะเล ให้พวกเขามาช่วยพวกคุณ”

ชายผิวขาวคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ พลางพูดอ้อนวอนออกมาว่า “ให้พวกเราขึ้นเรือเถอะนะ อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้กินอิ่มมาสองสามวันแล้ว ใจดีกับพวกเราหน่อยนะ เพื่อน ให้พวกเราไปทานอาหารอุ่นๆ สักหน่อยได้ไหม?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาส่งสัญญาณให้บูลปล่อยบันไดลงไป เพื่อให้พวกเขาขึ้นมา

“บอส นี่ไม่ผิดปกติไปหน่อยเหรอ” แบล็คไนฟ์เข้ามาพูดเสียงเบส “พวกเขาโชคไม่ดีจริงๆ เหรอ? ใบพัดติดขัด โทรศัพท์เสีย เรือของพวกเขาใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีนายช่างใหญ่เหรอ? อีกอย่าง…”

ฉินสือโอวตอบกลับเสียงเบาว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว นายไปจัดการก่อน ฉันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเหมือนกัน”

สาเหตุที่เขาตัดสินใจแบบนี้ ก็เพราะว่านพวกนายบอกว่าหิวมาสองสามวันแล้ว ถ้าหากว่าพวกเขาบอกว่าพวกเขากระหายน้ำมาสองสามวันคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเกิดขึ้นในเรือประมงคือการหิวโหย แม้ว่าจะไม่มีอาหาร แต่ก็ยังสามารถตกปลาได้

ไม่ต้องนึกเลยว่าปลากุ้งจะเพียงพอขนาดไหน ถ้าหากคนพวกนี้ไม่ได้ทานอะไรมาแล้วสองสามวันจริงๆ เช่นนั้นแม้แต่ก้างปลาพวกเขาก็สามารถกลืนลงไปได้…น้ำที่น่านน้ำแลบราดอร์เย็นเกินไป หากไม่เพิ่มความร้อนให้มากพอ คนเหล่านั้นได้ตายแน่!

แบล็คไนฟ์ให้สัญญาณทางสายตาแก่เกิงจุนเจี๋ย ทหารนับสิบนายจึงปรากฏตัวที่ดาดฟ้าทันที

พวกเขาทยอยขึ้นมาบนดาดฟ้ากันทีละห้าคน หู่จือและเป้าจือที่ทำตัวเป็นลูกน้องของฉินสือโอวทำจมูกฟุดฟิดไปมา พวกมันมองไปยังกลุ่มคนที่ขึ้นไปบนดาดฟ้า แล้วเห่าออกมา

“โว้ว พวกนายมีหมาด้วยเหรอ?” ชายผิวขาวที่เดินนำมามีท่าทางตกใจ จากนั้นก็หัวเราะออกมา

คนทั้งห้าอยู่ที่ดาดฟ้าแล้ว พวกเขายืนกระจายกัน ฉินสือโอวชี้ไปที่พวกเขาพลางพูดว่า “เฮ้ พวกคุณ อย่าขยับ ยืนอยู่นิ่งๆ โอเคไหม?”

ชายผิวขาวนิ่งไป เขาถามว่า “หมายความว่าอะไร?”

ในขณะที่พูด เขาก็เดินเข้าไปใกล้ฉินสือโอว ขนบนหู่จือและเป้าจือตั้งชันขึ้นมา มันอยู่ในท่าก้มตัวลงต่ำเตรียมพร้อมที่จะเข้าโจมตีและเงยหน้าขึ้นเห่าออกมาเสียงดัง “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”

แบล็คไนฟ์และเกิงจุนเจี๋ยพาคนทั้งสองฝั่งของตัวเองพุ่งเข้ามา ในมือของพวกเขามีทั้งปืนและธนู พวกเขาล้อมคนทั้งห้าไว้ แล้วตะโกนออกมาว่า “วางมือไว้บนศีรษะ! เร็วๆๆ! คุกเข่าลง!”

ชายผิวขาวมีสีหน้าตื่นตระหนก เขาพูดอกมาว่า “นี่มันหมายความว่าอะไรกัน…”

“หุบปาก! เอามือวางไว้บนศีรษะ ให้ตายเถอะ! ทำตามที่ฉันบอก ไม่อยากนั้นฉันจะยิง!” แบล็คไนฟ์ยังคงพูดออกมาด้วยความโมโห

คนทั้งห้าก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ท่าทางเหมือนจะกระโดดลงไป แบล็คไนฟ์ไม่มีความลังเลเลย เขายกปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าแล้วยิงปืนออกมาหนึ่งนัด ทำให้คนทั้งห้าหมอบลงพื้นอย่างรวดเร็ว

แอร์แบ็คเข้าไปตรวจสอบร่างกายของชายทั้งห้าคนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว เขาถกเสื้อของชายผิวขาวแล้วหยิบปืนพกออกมาจากชายคนนั้น จากนั้นก็ถีบชายผิวขาวคนนั้นให้ล้มลง พลางพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่มันอะไรกัน!”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน