ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1441 เหรียญทองสิบสี่เหรียญ

บทที่ 1441 เหรียญทองสิบสี่เหรียญ

บิลลี่พูดว่า “ไม่ใช่แน่นอน ฉันเคยบอกนายไปแล้วว่า เจ้าของบันทึกเล่มนี้คือหัวหน้ากลุ่มโจรสลัดขวานดำแห่งทะเลเหนือ แต่โจรสลัดกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่แยกออกมาจากกลุ่มโจรสลัดบาซาโรม”

“ตามที่บันทึกได้บันทึกเอาไว้ พวกเขาติดตามกลุ่มโจรสลัดบาซาโรมไปปล้นสะดมที่ท่าเรือเกาะซานตา คาตาลินาที่ประเทศสเปน หลังจากนั้นก็หลอกว่าเป็นเรือล่าปลาวาฬ เพื่อแยกตัวออกจากกลุ่มโจรสลัด และซ่อนตัวจากกองทัพเรือทุกประเทศที่กำลังไล่ล่า พวกเขาขึ้นเหนือไปตลอดทางเพราะต้องการหาที่หลบภัย ซึ่งก็คือกรีนแลนด์”

“ผลคือ ยุคนั้นเป็นยุคน้ำแข็งเล็กที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์ ทะเลในวงกลมอาร์กติกแข็งตัวเร็วกว่าปีก่อนๆ เรือของพวกเขาจึงถูกแช่แข็งอยู่ที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรแอตแลนติก”

บิลลี่พูดคร่าวๆ อีกครั้ง และส่ายหน้าในที่สุด “ก็ถือว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นายไม่อ่านบันทึกเล่มนี้ คงคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจุดจบของโจรสลัดกลุ่มนี้น่าอนาถมากแค่ไหนแน่นอน! หลังจากพวกเขากินอาหารในทะเลจนหมด ก็ฆ่าฟันกันเอง ฆ่าเพื่อนพี่น้องเพื่อกินเป็นอาหาร ฟัค! นึกไม่ถึงว่าในบันทึกเล่มนี้ยังบันทึกอีกว่าการกินเนื้อคนรสชาติดีมากอย่างไร นายกล้าเชื่อไหมล่ะ?!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงกล่องใบใหญ่ที่เขาเห็นในท้องเรือของเรืออับปางทันที ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยกระดูกที่แห้งเหือด ในเวลานั้นเขายังสงสัยว่า ร่วมเรือกันได้อย่างไร บางคนตายกลายเป็นศพที่เปียกชื้น แต่บางคนกลับกลายเป็นกระดูกที่แห้งเหือด?

ตอนนี้คำตอบเผยออกมาแล้ว เพราะกระดูกที่แห้งเหือดพวกนั้นไม่ได้เน่าและกลายเป็นแบบนั้น แต่ถูกคนกินเนื้อก่อนจะโยนเข้าไป!

ดังนั้นเขาจึงพูดจากจิตใต้สำนึกว่า “ฉันเชื่อ”

“นายเชื่อ?” บิลลี่ถามกลับด้วยความแปลกใจ

ฉินสือโอวตระหนักถึงตัวเองที่สูญเสียการควบคุมไปนิดหน่อย เขาถอนหายใจและพูดต่ออย่างมีไหวพริบ “แน่นอน ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ? ฉันเคยฟังพ่อฉันเล่าว่า ประเทศของพวกเรามียุคหนึ่งที่ภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากมนุษย์นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนไม่มีของจะกิน เมืองของพวกเราก็มีคนแอบกินเนื้อของคนที่ตายไปแล้วเหมือนกัน!”

“โอ้ว ชิท!” บิลลี่ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ “ขอพระเจ้าทรงอวยพรคนที่น่าสงสารผู้นั้นด้วย! และก็ต้องอวยพรฉันเหมือนกัน คืนนี้ฉันคงกินข้าวไม่ลง เนื้อคนตาย? นี่มันน่าขยะแขยงเกินไปแล้ว น้องชาย นี่มันน่าขยะแขยงเกินไป!”

ฉินสือโอวถอนหายใจ “ใช่ พวกเราเพิ่งจะไปกินข้าว ซึ่งก็มีคนกินเนื้อแมวน้ำ…”

บิลลี่พยักหน้าและพูดว่า “ถูก เนื้อแมวน้ำที่กรีนแลนด์อร่อยมาก เพื่อน นายต้องลอง นายจะรักเนื้อนั่นไปจนตาย…”

ฉินสือโอวมองเขาด้วยความว่างเปล่า บิลลี่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงพูดใหม่ว่า “เอ่อ มีอะไรผิดปกติเหรอ?”

“ฟัคยู! ผิดปกติแน่นอน แมวน้ำ วาฬ นี่ล้วนเป็นจิตวิญญาณของมหาสมุทร นายกินเนื้อของพวกมันได้อย่างไร? นายมันน่าขยะแขยงเกินไปแล้ว บิลลี่ พี่ชายของฉัน พระเจ้าจะไม่อภัยให้นาย!” เขาพูดด้วยความโกรธ

บิลลี่พูดอย่างรู้สึกผิด “แต่ตอนที่ฟิลิปสาวกของพระเยซูกำลังเทศน์ มีครั้งหนึ่งในที่ที่หนาวเย็นไม่มีอาหาร เขาก็กินเนื้อแมวน้ำภายใต้คำแนะนำของศาสดาของฉัน…”

ฉินสือโอวโบกมือและพูดว่า “เอาล่ะ พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องไร้สาระบ้านี่กันเถอะ บันทึกเล่มนี้ได้บันทึกถึงสมบัติที่พวกเขาปล้นมาไหม? ได้บอกไหมว่าซ่อนไว้ที่ไหน?”

เมื่อพูดถึงสมบัติ บิลลี่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาพูดว่า “ไม่มีรายละเอียดบันทึกไว้ แต่ฉันกล้ารับประกันว่า ครั้งนี้พวกเราจะต้องได้กำไรอย่างมหาศาลแน่นอน! ตามที่บันทึกเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสอบปากคำของกองทัพเรือ พวกเขาต้องซ่อนอัญมณี ทองกับเงินที่ขโมยมาไว้ในถังน้ำมันวาฬแน่นอน!”

“รู้ใช่ไหมว่านี่หมายความว่าอะไร? มีการปกป้องจากน้ำมันวาฬ เงินและของมีค่าพวกนี้จะไม่ถูกน้ำทะเลกัดกร่อน! พวกมันจะได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน! โอ้ น้องชาย ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เหรียญทอง เหรียญเงินกับอัญมณีของศตวรรษที่ 17 ที่ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี! พระเจ้ารักพวกเรา!”

ฉินสือโอวฟังเขาพูดจบก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาคิดถึงถังน้ำมันวาฬที่หนาแน่นในท้องเรือเมื่อตอนนั้น ในตอนนั้นเขาเห็นแค่น้ำมันวาฬที่แข็งตัวอยู่ข้างใน และน้ำมันวาฬก็ขุ่นมาก เขาไม่ได้มองอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าข้างในมีอะไร ปรากฏว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ!

บิลลี่พูดถูก พระเจ้ารักพวกเขา สมบัติพวกนี้อาจจะมีค่ามากกว่าของทุกอย่างที่พวกเขาดำขึ้นมาในอดีตก็เป็นได้!

ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างดุเดือดอยู่พักหนึ่งว่าใครเป็นลูกทูนหัวของพระเจ้า หลังจากนั้นบิลลี่ก็ถามขึ้นมาทันที “ฉิน ฉันลืมถามนาย บันทึกเล่มนี้นายไปเจอมาจากที่ไหน?”

ฉินสือโอวตอบว่า “ครั้งนี้เป็นความโชคดีล้วนๆ เพื่อน ตอนที่เรือของฉันเทียบท่า ฉันเจอเรือที่กลับมาจากการออกทะเลลำหนึ่ง เรือลำนั้นดำสิ่งที่เรียกว่าขยะขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ฉันจึงซื้อมาบ้าง ในกองขยะนั้นก็มีกล่องใบนี้ แน่นอนว่า ของที่มีค่าก็คือกล่องใบนี้ นอกจากบันทึกเล่มนั้น ฉันยังเจอเหรียญทองสิบกว่าเหรียญในกล่องใบนี้อีกด้วย”

เขานำกล่องไม้กล่องนั้นออกจากในกระเป๋า หลังจากเปิดดูด้านในคือเหรียญทอง 14 เหรียญที่ใช้ผ้าฝ้ายห่อเอาไว้อย่างดี

หลังจากเห็นเหรียญทองพวกนี้ บิลลี่ถึงกับผงะ เขามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ทางนั้น และพูดด้วยความลังเล “นี่ดูเหมือน ดูเหมือนเหรียญทองที่ระลึกของฟิลิปรุ่นที่ 4? ฉันเห็นไม่ค่อยชัด นายรีบถ่ายรูปส่งมาให้ฉันที”

ฉินสือโอวบอกว่าไม่มีปัญหา หลังจากนั้นเขาก็ถามว่า “เหรียญทองที่ระลึกของฟิลิปรุ่นที่ 4 ที่นายพูดถึงคืออะไร? มีค่ามากใช่ไหม?”

บิลลี่พูดว่า “ถ้าจะให้พูดอย่างมั่นใจ เหรียญทอง 14 เหรียญนี้ แต่ละเหรียญมีมูลค่าเป็นล้านทุกเหรียญ! นายดูดีๆ เหรียญทองพวกนี้มีรูปด้านหนึ่งที่แตกต่างกันทุกเหรียญใช่ไหม?”

ฉินสือโอวมองดู จริงด้วย รูปบนเหรียญทองพวกนี้ไม่เหมือนกันเลย

บิลลี่พูดอย่างตื่นเต้น “งั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเหรียญทองคุณงามความดีของฟิลิปรุ่นที่ 4! ฟิลิปรุ่นที่ 4 เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คของสเปน ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นเจ้าเหนือหัวของเนเธอร์แลนด์ใต้ และดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ของโปรตุเกสอีก 20 ปี!”

“ชายคนนี้เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เหรียญทองคุณงามความดีของฟิลิปรุ่นที่ 4 ก็เป็นเหรียญทองชุดหนึ่งที่มีคนสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้เขาดีใจ และมีแค่ 20 เหรียญเท่านั้น ตามลำดับเวลา ทุกเหรียญจะเลือกช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ของวินยาร์ด และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมาทำเป็นเหรียญ”

“ตอนนี้บนโลกมีแค่ 2 เหรียญที่หลงเหลืออยู่ 1 ใน 2 เหรียญนั้นเป็นสนิมและชำรุดไปแล้ว ดังนั้นตำนานที่เกี่ยวข้องกับเหรียญทองคุณงามความดีจึงเป็นที่โต้แย้งกันมาตลอดในวงวิชาการประวัติศาสตร์อย่างไม่รู้จบ เหรียญทองพวกนี้ไม่เพียงแค่มีมูลค่าในการเก็บสะสมเท่านั้น แต่ยังมีมูลค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอีกด้วย!”

ฉินสือโอวฟังการแนะนำของเขาและดีใจมากยิ่งขึ้น ไม่น่าแปลกที่เหรียญทองพวกนี้จะถูกหัวหน้าโจรสลัดเก็บรักษาเอาไว้ เขายังคิดว่ามันเป็นแค่ตัวอย่างเลย แต่คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าโจรสลัดคนนี้ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเหมือนกัน

บิลลี่อธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังต่อ “ในบันทึกของโจรสลัดได้บันทึกสิ่งที่เกี่ยวข้องเอาไว้ว่า หัวหน้าโจรสลัดขวานดำเล่าว่าเขาได้ขโมยกล่องผ้าลายปักมาจากบ้านพักของข้าหลวง ซึ่งด้านในมีเหรียญทองอยู่จำนวนหนึ่ง เขาไม่รู้สถานะของเหรียญทองพวกนี้ เขาแค่เห็นพวกมันถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ก็คิดว่าเป็นวัตถุล้ำค่า จึงแบ่งกับหัวหน้าโจรสลัดอีกคน คิดไม่ถึงว่าเหรียญทองที่พวกเขาแบ่งกันในตอนนั้นจะเป็นเหรียญทองคุณงามความดีของฟิลิปรุ่นที่ 4! ”

ฉินสือโอวเกาคาง เขาเหล่ตามองและพูดว่า “ฉันรู้สึกว่า เหรียญทองพวกนี้เต็มไปด้วยสีสันของตำนาน? แบบนั้นพวกมันจะมีมูลค่าแค่ 1 ล้านเองเหรอ? บางทีฉันก็รู้สึกว่า มูลค่าอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าแล้วก็ได้?”

บิลลี่หัวเราะอย่างซุกซน “นี่ก็ขึ้นอยู่กับการโฆษณา ฉันเชื่อว่าไม่มีปัญหา เพราะนี่คือพี่น้องของเหรียญทองทั้ง 14 เหรียญ! เหรียญทองคุณงามความดี 14 เหรียญ ซึ่งมูลค่าไม่สามารถประเมินได้!”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท