ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1461 การฆาตกรรมอันน่าสะพรึง

บทที่ 1461 การฆาตกรรมอันน่าสะพรึง

เมื่อเห็นปืนกระบอกนั้น คนทั้งห้าก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา ชายผิวขาวคนที่พกปืนรีบพูดออกมาทันทีว่า “อย่าเข้าใจผิด! เพื่อนยาก ผมอธิบายได้! ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี! พวกเราไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร พวกเราพกปืนก็เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น!”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ปกป้องตัวเองงั้นเหรอ? ฟัค ที่มหาสมุทรแอตแลนติกนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่อันตรายเหมือนอ่าวเอเดน เรือที่ล่องอยู่ที่นี่ต้องพกปืนไว้ป้องกันตัวเองด้วยงั้นเหรอ?”

ชายผิวขาวคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก เขาพูดอ้อนวอนออกมาว่า “เพื่อนยาก จริงๆ นะ พวกเราไม่มีเจตนาคิดร้ายเลย พวกเราพกมันไว้เพื่อปกป้องตัวเอง! พวกเราไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นคนแบบไหน…”

แอร์แบ็คค้นตัวเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เจอปืนพกอีกหนึ่งกระบอก ปืนลูกซองลำสั้นอีกหนึ่งกระบอกและมีดคมอีกสองเล่ม เขาโยนของพวกนั้นลงที่พื้นดาดฟ้า หู่จือพุ่งตัวเข้ามาใช้จมูกดมมีดเล่มหนึ่ง จากนั้นขนของมันก็ตั้งชัน มันส่งเสียงร้องขู่ออกมาอย่างดุร้าย

ฉินสือโอวชี้ไปยังคนทั้งห้า เกิงจุนเจี๋ยพาลูกน้องของตัวเองสี่คนเข้าไปตรวจสอบคนพวกนั้นทีละคน

พวกของเกิงจุนเจี๋ยหันปากกระบอกปืนไปยังหน้าผากของคนพวกนั้น มีคนสองคนในนั้นที่ไม่สามารถรับแรงกดดันนี้ได้ พวกเขาทรุดตัวลงบนดาดฟ้า แล้วให้มือปิดหน้าปิดตาร้องไห้ออกมา

ฉินสือโอวถามออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พูดมา พวกนาย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อย่ามาพูดเรื่องระมัดระวังไร้สาระบ้าบออะไรนั่นอีกเลย บอกความจริงกับฉันมา!”

ชายผิวขาวคนนั้นมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ เขาพูดว่า “พวกคุณอย่างยิงเลยนะ ผมจะพูด จะพูดทั้งหมดเลย ความจริงคือ เรือของพวกเรือถูกทรยศ!”

ฉินสือโอวตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาถามกลับว่า “ทรยศ? ทรยศอะไร?”

ชายผิวขาวตอบว่า “พวกเราเป็นเรือประมงสำหรับตกหมึก พวกเราล่องออกมาจากพอร์ตแลนด์ ผมคือกัปตันเรือ แต่ว่าผมมีคนงานไม่พอ เลยไปจ้างผู้ช่วยกัปตันที่มีคนงานเพียงพอ ปรากฏว่า การตกหมึกของเราครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่น การเก็บเกี่ยวไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง”

“นายก็รู้นี่เพื่อน ผู้ช่วยกัปตันรับเงินส่วนแบ่งตามผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ แต่ว่าพวกเราเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่มากนัก เขาจึงได้เงินไปไม่เท่าไร ดังนั้นเขาและลูกน้องของเขาจึงก่อกบฏ เพื่อขอให้ผมเพิ่มเงินปันผลให้อีกหน่อย”

“แต่ผมไม่เห็นด้วย พี่น้อง ผมไม่มีทางเห็นด้วยหรอกจริงไหม? ปรากฏว่าไอ้พวกสารเลวพวกนั้น แอบขโมยโทรศัพท์ดาวเทียมและอุปกรณ์ที่สามารถขายได้ไป จากนั้นพวกมันก็นั่งเรือชูชีพหนีไป และทิ้งให้พวกเราตกที่นั่งลำบากอยู่ที่นี่!”

“ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่เราต้องระมัดระวังตัว เพราะว่าพวกเราไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นคนแบบไหน! ยกโทษให้พวกเราด้วยนะ เพื่อนยาก ถ้าหากว่าผมรุกรานพื้นที่ของคุณ ผมยอมขอโทษ แต่พวกคุณอย่ายิงปืนนะ!”

ชายที่อยู่ข้างชายผิวขาวก็พูดอ้อมวอนขึ้นมาเหมือนกันว่า “ใช่แล้ว กัปตันของพวกเราพูดความจริงนะ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย เรื่องสำคัญอีกอย่างคือพวกเราไม่กินของของพวกคุณแล้ว พวกเรากลับไปยังเรือของเราเลย โอเคไหม? ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราขอร้องล่ะ!”

คำอธิบายนี้มีเหตุผล ท่าทางของฉินสือโอวดูดีขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตามคนพวกนี้ไม่ได้มีอาวุธในมือ เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อบอกให้พวกเขาเก็บปืนกลับไป

แต่ว่าหู่จือและเป้าจือยังคงเห่าออกมาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งหู่จือยังเห่าใส่มีดที่อยู่บนพื้นไม่หยุดอีกต่างหาก

ชายผิวขาวถอนหายใจยาวออกมา แล้วพูดว่า “ขอบคุณ ขอบคุณพวกคุณที่เชื่อใจ! ถ้างั้น พวกเราไม่กินอาหารของพวกคุณแล้ว พวกเราไปได้แล้วใช่ไหม?”

ในขณะที่พูดเขาก็เอื้อมไปหยิบปืนมาอย่างหยั่งเชิง หู่จือพุ่งเข้ามาข้างหน้าชายคนนี้ด้วยท่าทีดุร้าย สายตาของมันแสดงถึงความดุร้ายออกมาพร้อมกับแยกเขี้ยวอันแหลมคมของตัวเอง มันจ้องมองเขาอย่างดุดัน

ชายผิวขาวที่เป็นกัปตันกลัวจนรีบถอยหลังกลับไป ชายที่เคยเอ่ยปากพูดก่อนหน้านี้พูดขึ้นว่า “อาวุธพวกนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมดแล้ว เพื่อน พวกคุณเอาไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้พวกเราเถอะได้ไหม? ถ้าหากว่าพวกคุณไม่เชื่อใจพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็จะถอยลงเรือเล็กไปก่อน แล้วพวกคุณค่อยโยนมันลงมา โอเคไหม?”

ฉินสือโอวให้ซีมอนสเตอร์เตรียมอาหารจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “พวกเราไม่ใช่คนไม่ดี เพื่อนยาก พวกนายไม่ต้องกลัว ฉันจะให้อาหารแก่พวกนายจำนวนหนึ่ง และจะช่วยเรียกทีมกู้ภัย…”

“อ้อ ไม่ต้องแล้ว…” ชายผิวขาวกัปตันเรือพูดออกมาโดยอัตโนมัติ

คำพูดนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมา แต่เกิงจุนเจี๋ยสังเกตได้ จึงยกปากกระบอกขึ้นมาอีกครั้ง

บรรยากาศกลับมากดดันอีกครั้ง ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองนั้นอาจจะสงสัยมากเกินไป ถึงส่ายหัวให้กับเกิงจุนเจี๋ย เขาจึงลดปากกระบอกปืนลงเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังคงรักษาท่าทางการป้องกันตัวไว้

ซีมอนสเตอร์และแซ็กนำเบอร์เกอร์มาจำนวนหนึ่งกอง ฉินสือโอวให้ชายที่เป็นกัปตันเรือ พลางพูดว่า “เพื่อน เมื่อกี้…”

ชายกัปตันเรือยื่นมือออกไปรับถุงนั้นมา หลังจากที่ทั้งสองเข้าใกล้กัน เขาก็ไม่หยิบถุงเบอร์เกอร์ไป แต่เขากลับรีบคว้าข้อมือของฉินสือโอวไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงตัวของฉินสือโอวเข้าสู่อ้อมแขนของตัวเอง ในขณะที่เขากำลังจะดึงตัวของฉินสือโอวเขาอ้อมแขน คอของเขาก็ถูกมือของฉินสือโอวจับไว้

โปรแกรมการออกกำลังกายตอนเช้าของฉินสือโอวนั้นมีการฝึกต่อสู้กับแบล็คไนฟ์อยู่ด้วย แบล็คไนฟ์เป็นทหารฝีมือดีจากหน่วยเดลตาฟอร์ซ แต่ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินสือโอว จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าท่านชายฉินในตอนนี้มีพลังที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน

กัปตันเรือคนนั้นคำนวณผิดพลาดไป เขาใช้ประโยชน์จากการลากข้อมือของฉินสือโอวได้เพียงเท่านี้ ทันทีที่ฉินสือโอวมีปฏิกิริยาตอบสนอง ข้อมือของฉินสือโอวก็เข้าไปอยู่ที่คอของชายคนนั้นหมายจะบีบคอของเขา จากนั้นฉินสือโอวก็ใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ของชายคนนั้นให้งอตัวมาข้างหน้า แล้วใช้เข่าของตัวเองกระแทกเข้าที่หน้าอกของเขา!

ท่าทางของเขาดูชำนาญเป็นอย่างมาก…

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ รีบพุ่งตัวเข้ามา ชายอีกสี่คนที่เหลือล้มลงกับพื้นและทุกทุบตีอย่างรุนแรง ถ้าตอนนี้พวกเขายังคิดว่าคนเหล่านี้ถือปืนขึ้นเรือมาเพื่อป้องกันตัวเองอยู่ล่ะก็ แบบนั้นสมองก็คงจะผิดปกติแล้วล่ะ

หู่จือและเป้าจือก้าวเข้ามาร่วงวงด้วย มันกัดน่องของชายที่เป็นกัปตันจนเขาล้มลงจากนั้นก็ลากขาออกมา ชายคนนั้นกรีดร้องครวญครางออกมาเสียงดังในขณะที่ถูกลาก

พวกของเกิงจุนเจี๋ยทั้งห้าคนมัดชายทั้งห้าคนนั้นไว้ที่เรือด้วยเข็มขัด ตอนนี้คนทั้งห้าคนนั้นถูกทุบตีอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ชายผิวขาวที่เป็นกัปตันเรือมีสภาพแย่ที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉินสือโอวห้ามเอาไว้ ขาของเขาคงถูกกัดขาดไปแล้ว

“มันเกิดอะไรเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ฉินสือโอวถามออกมาด้วยความโมโห

ลูกเรือคนหนึ่งที่ปากสั่นเทาไปด้วยความกลัวอยากจะพูดบางอย่างมา แบล็คไนฟ์ตบหน้าชายคนนั้นอย่างแรงพลางพูดขึ้นว่า “บอส ให้ผมจัดการเถอะ ผมจะสอบปากคำเอง!”

แบล็คไนฟ์พาลูกเรือคนนั้นเข้าไปยังห้องควบคุมเรือ ไม่นานพวกเขาก็ออกมาจากห้อง ฉินสือโอวแทบจะไม่ค่อยเห็นสีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้ของแบล็คไนฟ์เท่าไรนัก ครั้งสุดท้ายที่เขามีท่าทีแบบนี้คือตอนที่อยู่ที่โซมาเลีย ที่พวกเขาถูกโจรสลัดโจมตีที่โซมาเลีย

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินสือโอวถามออกมาเป็นคนแรก

แบล็คไนฟ์ชี้ไปยังคนพวกนั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแล้วพูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า “พระเจ้า พวกเขาเป็นเพชฌฆาต! เรื่องไร้สาระที่พวกเขาพูดออกมา เขานั่นแหละที่เป็นผู้ช่วยกัปตัน กัปตันและลูกเรือหลายคน ถูกพวกเขาฆ่าหมดแล้ว!”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายสี่คนที่เหลือถูกมัดอยู่ก็แสดงท่าทีหมดหวังออกมา มีชายคนหนึ่งกรีดร้องออกมา “ไม่ ไม่ ฉันโดนบังคับมา! ฉันฆ่าคนไปแค่สองคนเท่านั้น…”

คำพูดนั้นทำให้เกิงจุนเจี๋ยและทหารคนอื่นๆ ตัวสั่นขึ้นมา ซีมอนสเตอร์พูดออกมาว่า “พระเจ้า ฆ่าไปแค่สองคนงั้นเหรอ? พวกนายฆ่าคนไปทั้งหมดกี่คนกันแน่?!”

แบล็คไนฟ์พูดขึ้นว่า “เรือของพวกเขามีคนอยู่ทั้งหมดสามสิบแปดคน ตอนนี้เหลือเพียงเจ็ดคนเท่านั้น คนที่ถูกฆ่าทั้งหมดรวมแล้วสามสิบเอ็ดคน!”

“โอ้ว ชิท! ชิท!” บีบีซวงร้องออกมา “ให้ตายเถอะ นี่เป็นการถ่ายหนังหรือเปล่า?! ฆ่าคนไปสามสิบเอ็ดคน? ฉันเป็นทหารมาสิบเอ็ดปี เป็นทหารรับจ้างอีกหกปี ยังไม่เคยฆ่าคนเยอะขนาดนี้เลย!”

มีคนพูดขึ้นมาด้วยความตกใจว่า “ไม่ใช่นะ คนทั้งสามสิบเอ็ดคนนั้นพวกเราไม่ได้ฆ่า มีบางคนฆ่ากันเองด้วย! ไม่ใช่แบบนั้นนะ ผมก็ไม่คิด…เอ่อ พระแม่มารี ช่วยลูกด้วย! โปรดอภัยในบาปของลูกด้วย พระแม่มารี! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฮือๆ ฮือๆ…”

ฉินสือโอวรีบกลับไปที่ห้องควบคุม แล้วตะโกนบอกชาร์คว่า “ติดต่อไปยังตำรวจชายฝั่งที่ใกล้ที่สุด รีบแจ้งพวกเขาว่าที่นี่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น!”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท