ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1456 ผู้พิชิตภูเขาน้ำแข็ง

บทที่ 1456 ผู้พิชิตภูเขาน้ำแข็ง

เมื่อเห็นท่าทางขี่สโนว์โมบิลของฉินสือโอว คอร์กินและพวกก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นพวกมือใหม่ พวกเขาหัวเราะออกมาไม่หยุด มีบางคนผิวปากออกมาแล้วพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อคืนนายขี่มาชนรถลากเลื่อนหิมะของเราแม้ว่าเราจะขับช้าแล้วก็ตาม มือใหม่ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตอนที่ฉันพึ่งจะเล่นเจ้านี่ใหม่ๆ ฉันก็เคยชนเข้ากับรถลากเลื่อนหิมะ”

“ดอลบี ตอนนั้นนายอายุเท่าไร?” มีคนจงใจถามออกมา

ชายคนนั้นหัวเราะแล้วตอบกลับว่า “แปดขวบล่ะมั้ง? หรือว่าเจ็ดขวบนะ? แต่ตอนนั้นก็โตพอควรเลยนะ”

“น้องชายชาวอินูเปียตคนนี้ล่ะ ตอนนี้นายอายุเท่าไร? ฉันดูจากหน้าตาที่ค่อนข้างแก่ของนายแล้ว น่าจะประมาณสิบกว่าขวบใช่ไหม?”

เมื่อประโยคนั้นหลุดออกมา ทุกคนต่างพากันหัวเราะขึ้นมา แอร์แบ็คก็หัวเราะเสียงดังออกมาตามพวกเขา แบล็คไนฟ์ถลึงตามองเขาไปหนึ่งที ทำให้เขารีบก้มหน้าลง แล้วตั้งใจขับสโนว์โมบิลต่อไป

ฉินสือโอวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาขี่มันมาจนถึงท่าเรืออย่างมั่นคง ที่นี่มีห้องพักของบริษัทท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งอยู่ การขี่เจ็ทสกีถือว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นที่นิยมที่สุดในฤดูร้อนกิจกรรมหนึ่ง ดังนั้นทุกบริษัทจึงมีเจ็ทสกี

อุณหภูมิต่ำกว่าสิบองศา อันที่จริงแล้วตอนนี้ไม่เหมาะแก่การเล่นเจ็ทสกี แต่ฉินสือโอวไม่กลัวหนาว สำหรับเขาแล้วมหาสมุทรเป็นอ้อมกอดอันอบอุ่น การพูดแบบนี้อาจจะเกินไปหน่อย แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพราะหัวใจโพไซดอน หลังจากที่เขาลงน้ำไป ความร้อนภายในร่างกายไม่ได้หายไปกับสายน้ำ

ดังนั้น เขาจึงไม่กลัวการกระเด็นของน้ำทะเลที่เย็นเฉียบเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลัวแพ้ เพราะว่าเขาอยากเล่นตุกติก และไม่อยากโดนคำโง่ๆ พวกนั้นพูดตอกหน้า

บางคนในพวกของคอร์กินกลัวการแข่งขันแบบนี้ ทอโรผู้มากับบรรยากาศอันครึกครื้นพูดขึ้นมา “เพื่อน อากาศวันนี้ไม่ควรลงน้ำนะ พวกนายไม่กลัวป่วยหรือยังไง? หรือไม่ก็อาจจะแข็งตายได้เลยนะ ไม่น่าสมเพชไปหน่อยเหรอ? ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้นายยืมแมวอาร์ตติกโปรครอสห้าสิบสุดที่รักของฉันเป็นอย่างไร?”

เขาชี้ไปที่สโนว์โมบิลสีเขียวดำที่ตอนนี้อยู่ใต้ขาของเขา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่านี่คือเลขรุ่นของสโนว์โมบิล

สโนว์โมบิลสองลำนี้ดูเท่มาก ฉินสือโอวคาดว่ามันน่าจะเป็นของดีเหมือนกัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทอโรก็มีเจตนาที่ดี อีกอย่างเขาแสดงท่าทีมาตลอดว่าเขาเป็นคนสนุกสนาน ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกคิดร้ายต่อเขา จึงพูดชมออกมาว่า “นี่เป็นรถที่ดีจริงๆ แต่ว่า….”

“แน่นอนอยู่แล้ว แมวอาร์กติกของฉันเป็นรถคนนี้เป็นหนึ่งในรถที่ดีที่สุดในอิลูลิสซัต มันติดตั้งเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์เอาไว้ ทำให้การวิ่งบนหิมะนั้นเป็นไปอย่างง่ายดาย ทำให้เวลาทำท่าที่จะทะยานขึ้นง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ฉันจะบอกนายนะ เพื่อน ที่มันสามารถทำได้ทุกอย่าง ต้องขอบคุณเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์ตหนึ่งพันห้าสิบหกซีซี นายรู้ไหมว่ามันสามารถเพิ่มแรงม้าให้ได้มากเท่าไร?”

ฉินสือโอวส่ายหัว ทอโรตบที่นั่งอย่างภาคภูมิใจพลางพูดออกมาว่า “ร้อยแปดสิบแรงม้า! สุดยอดไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวยิ้มออกอย่างชื่นชมแล้วพูดว่า “สุดยอดจริงๆ แต่ว่า…”

ทอโรพูดต่ออีกว่า “นายรู้ว่ามันสุดยอดก็ดีแล้ว เป็นไง ใจเต้นแรงเลยใช่ไหมล่ะ? ฉันจะบอกให้นะ เห็นแก่ว่านายและฉันเป็นคนอินูเปียตเหมือนกัน ฉันถึงให้นายยืมได้ เฮ้ๆ อย่าพึ่งไปสิ นายตกลงแล้วใช่ไหม”

ตกลงก็บ้าแล้ว ทำไมเราต้องอยากถูกตราหน้าด้วยคำพวกนั้นด้วยล่ะ? ฉินสือโอวไม่พูดอะไรออกมา แต่ในใจนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเดินตรงเข้าไปหาคนให้เช่าเจ็ทสกี

บริษัทท่องเที่ยวปกติแล้วจะไม่เตรียมเจ็ทสกีอันหรูหราอย่างเทพเจ้าสายฟ้ามืดไว้อยู่แล้ว แต่ว่าที่นี่มีเจ็ทสกีของบอมบาร์เดียร์ ฉินสือโอวจึงเลือกมันมาคันหนึ่ง เพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นบอมบาร์เดียร์คนหนึ่ง

คอร์กินและคนอื่นๆ ต่างพากันเลือกเจ็ทสกี เจ้าหน้าที่บริษัทท่องเที่ยวกล่าวต้อนรับเสียงหัวเราะแห้งๆ “ฟัค พวกนายเล่นกับชีวิตตัวเองรึไง อากาศแบบนี้ยังจะออกไปขี่เจ็ทสกีในทะเลอีก ผมจะว่าพวกคุณว่าอะไรดี กล้าหาญ? โง่?”

“หุบปาก ลอเรนซ์ ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนนายลงน้ำ” คอร์กินพูดขู่ออกมา

ลอเรนซ์ไม่สนใจในคำขู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย เขายังคงหัวเราะหึหึและพูดไร้สาระออกมาว่า “นี่เป็นการเปิดโลกของฉันจริงๆ อุณหภูมิต่ำกว่าสิบองศา ฉันว่าสมองของพวกนายต้องโดนหนอนเรือกินไปแล้วแน่ๆ เอาล่ะๆ รอฉันเอากล้องออกมาก่อน ฉันจะถ่ายรูปไว้สักหน่อย ถ้าหากว่าในอนาคตมีโอกาสเข้าร่วมการประกวดถ่ายภาพโง่ๆ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะได้รางวัลก็ได้…”

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่มองไปยังคอร์กินแล้วพูดออกมาว่า “คนอย่างพวกนายที่นี่ชอบพูดมากกันนักเหรอ? บอกให้เขาหุบปากได้ไหม”

คอร์กินพูดออกมาว่า “นายไม่ได้ยินเหรอไง? ฉันบอกเขาไปแล้วว่าให้เขาหุบปาก!”

ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “เพราะปากของนายไม่มีประโยชน์น่ะสิ งั้นก็ชูกำปั้นขึ้นมาสิ พระเจ้าให้ปากและกำปั้นทั้งสองแก่นาย พระเจ้าไม่ได้ให้มาเพื่อเป็นของไร้ประโยชน์แบบนี้!”

คอร์กินยิ้มเย็นออกมาว่า จากนั้นก็ชี้ไปที่ชายคนนั้นพลางพูดขึ้นว่า “นายรู้ไหมว่าทำไมที่นี่ถึงมีเจ็ทสกีนับสิบคันและยังมีสโนว์โมบิลอีกหลายคัน แต่มีเขาทำงานอยู่เดียว? เพราะว่าที่ใต้โต๊ะเขามีปืนหลายสิบกระบอกน่ะสิ!”

ทั้งสองคนเถียงกันพลางก้าวขึ้นไปบนเจ็ทสกีไปด้วย คอร์กินสวมเสื้อกันหนาวตัวหนา เขาชี้ไปที่ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลสิบกว่ากิโลเมตรแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นภูเขาน้ำแข็งลูกนั้นไหม? ไปกลับหนึ่งรอบเป็นไง…พระเจ้าช่วย นายจะลงน้ำสภาพนี้เหรอ?”

คอร์กินหันกลับมามองแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ ทุกคนต่างกำลังหนาวเย็น ฉินสือโอวสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของพวกเขากำลังถูกแช่แข็ง อุณหภูมิที่นี่ต่ำเกินไปแล้ว!

เขาถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นเสื้อขนแคลเมียร์รัดรูปสำหรับเพิ่มความอบอุ่น เนื่องจากเสื้อผ้านั้นแนบเนื้อ ทำให้เห็นกล้ามเนื้อและสัดส่วนอย่างชัดเจน ฉินสือโอวดูหล่ออย่างน่าตกตะลึงขึ้นมาทันที

หลังจากนั้นฉินสือโอวก็สวมแว่นกันแดดโบลองเพื่อป้องกันดวงตา ในที่ที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมแบบนี้จู่ๆ ก็มีคนเหล็กปรากฏตัวออกมา

แต่คอร์กินและคนอื่นๆ ต่างหวาดกลัว อุณหภูมิและการแต่งกายแบบนี้ เหมือนการลงทะเลไปตายชัดๆ พวกเขาเพียงแค่ต้องการให้ฉินสือโอวและพวกเสียหน้าเท่านั้น แต่ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาทิ้งชีวิตแบบนี้

แม้ว่ากรีนแลนด์จะเป็นประเทศที่มีกฎหมายผ่อนปรนมากที่สุดในโลก แต่การฆ่าคนก็ยังคงนำมาไปสู่การติดคุกอยู่ดี

“เพื่อน เราเลิกกันเท่านี้ไหม พวกเรามาเล่นไพ่เพื่อตัดสินใจผลแพ้ชนะดีไหม? หรือว่า พวกนายจ่ายเงินดีกว่า รถลากเลื่อนหิมะนั้นไม่ได้มีราคาอะไรเลย” ชายวัยกลางร่างสูงผิวขาวที่อยู่ข้างคอร์กินพูดออกมา

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เขาสตาร์ทเจ็ทสีและตะโกนออกมาว่า “เริ่มกันเถอะ ใครจะเป็นคนส่ง? ฉันอดใจไม่ไหวที่จะไปยังภูเขาน้ำแข็งลูกนั้นแล้ว!”

เขาอดไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่มีน้ำทะเลกระเด็นมาโดนเขาอีกล่ะก็ เขาได้แข็งตายแน่

พนักงานบริษัทท่องเที่ยวลอเรนซ์รับหน้าที่นี้ เขาวิ่งออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น ในมือของเขามีปืนอยู่ เขาเหนี่ยวไกขึ้นฟ้าแล้วตะโกนออกมาว่า “เริ่มได้!”

ฉินสือโอวบิดคันเร่งตลอด เนื่องจากอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ทำงานล่ะก็ เจ็ทสกีก็ไม่สามารถแล่นออกไปได้ เมื่อได้ยินเสียงปืน เขาก็รีบคลายแฮนด์เจ็ทสกีทันที จากนั้นเจ็ทสกีของเขาก็ร้องออกมาราวกับม้าป่า และพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

“บริ้นๆๆ!” เสียงเครื่องยนต์คำรามไปทั่ว น้ำทะเลกระเด็นขึ้นมาตลอดเวลา เขาเอนตัวราบไปกับเจ็ทสกี ราวกับเขาและมันรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน น้ำที่กระเด็นขึ้นมาล้อมรอบตัวเขาไว้ เหมือนกับว่าตอนนี้เขาไม่ได้กำลังขี่เจ็ทสกีอยู่ แต่เป็นการควบคุมคลื่นทะเลอยู่

คอร์กินสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาอยู่ ทำให้ร่างกายของเขาดูพองลมเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกันแล้วดูแย่กว่าฉินสือโอวมาก

ในทะเลยังคงมีน้ำแข็งลอยอยู่ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำความเร็วได้ แต่ฉินสือโอวได้ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปสองสาย เมื่อสำรวจเส้นทางข้างหน้า และเขาก็จะสามารถหาน้ำแข็งลอยน้ำเจอ หลังจากนั้นก็จะหลบหลีกมัน โดยที่ไม่ต้องลดความเร็วเครื่องลง

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ที่ท่าเรือมีท่าทีตกตะลึง มีคนคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตกใจว่า “พระเจ้า ชายอินูเปียตคนนี้ร้ายกาจมาก เขามาจากดินแดนแห่งน้ำแข็งอย่างอาร์กติกหรือเปล่า?”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท