ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1464 กลับฟาร์มปลา

บทที่ 1464 กลับฟาร์มปลา

พายุหิมะกำลังมาแล้ว คลื่นลมในทะเลเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คลื่นขนาดใหญ่ราวสี่ห้าเมตรไหลมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเรือปริ้นเซสเมล่อนจะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ยังได้รับผลอย่างต่อเนื่อง

เรือขนาดใหญ่ทั้งสองลำเตรียมตัวออกเดินทาง เรือปริ้นเซสเมล่อนอยู่ด้านหน้า ส่วนเรือบูลด็อกในรัฐเมนอยู่ด้านหลัง ด้วยคลื่นลมที่รุนแรง ทำให้เกิดเสียงคลื่นกระทบเรือดังไปมา

ทุกคนในเรือปริ้นเซสเมล่อนรวมตัวกันอยู่ที่ห้องอาหาร ลูกแมวน้ำกรีนแลนด์สุดแสนน่ารักทั้งสองตัวอยู่ที่กลางห้อง ดวงตากลมโตสีดำอันน่ารักมองไปยังฝูงชนด้วยแววตาสงสัย

นี่เป็นแมวน้ำที่ฉินสือโอวพากลับมาด้วย เมื่อวินนี่เห็นพวกมันก็ดีใจขึ้นมาทันที ฉินสือโอวพาพวกมันกลับมาสองตัว วินนี่เข้าไปกอดตัวนั้นที ตัวนี้ที ภาพนั้นทำให้ลูกหมีขาวมีท่าทีไม่พอใจ

เกิงจุนเจี๋ยและพวกเห็นแมวน้ำเป็นครั้งแรก พวกเขาพูดคุยกันว่า “นี่เป็นลูกแมวน้ำเหรอ? น่ารักมากเลย ขนสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนกับตุ๊กตาเลย”

“อยากจะเอาไปให้ลูกสาวสักตัวเลย หลังจากที่เห็นแมวน้ำในโทรทัศน์เธอก็คะยั้นคะยอให้ผมพาไปดูที่สวนสัตว์ แต่เสียดายที่ผมไม่มีเงิน จึงไม่ได้พาเธอไปดู”

“ทำไมเรือลำนั้นถึงมีแมวน้ำได้ล่ะ? บอสบอกว่ามีร้อยกว่าตัว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ชาร์คถือปลาค็อดตัวหนึ่งมาหยอกล้อกับลูกแมวน้ำทั้งสองตัว ปลาพวกนี้มีกลิ่นค่อนข้างแรง แมวน้ำก็เหมือนกัน พวกมันสามารถแยกแยะกลิ่นของพ่อแม่ตัวเองได้เท่านั้น นอกจากนั้นจมูกก็มีไว้เพียงประดับตบแต่ง

พวกมันไม่เคยเห็นปลาค็อด และจมูกก็ไม่ดี ดังนั้นพวกมันจึงมองไปยังชาร์คที่แกว่งปลาค็อดไปมาด้วยความตกตะลึง และกระโดดเข้ามากินอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

ฉินสือโอวให้เสี่ยวเถียนกวาหยิบปลาแฮร์ริ่งมาหนึ่งตัว จากนั้นเขาก็ช่วยเธอให้อาหารแมวน้ำ

ปลาแฮรริ่งเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่แมวน้ำชอบทานเป็นที่สุด พวกมันคุ้นชินกับปลาชนิดนี้ ลูกแมวน้ำทั้งสองตัวตะเกียกตะกายเข้ามากินปลาแฮร์ริ่ง พวกมันเข้าไปอยู่ข้างหน้าเสี่ยวเถียนกวาแล้วใช้หัวกลมๆ ของตัวเองถูเข้ากับขาของเธอ พลางกินปลาแฮร์ริ่งไปด้วย

วินนี้แพ้ให้กับท่าทางน่ารักของพวกมัน เธอเข้าไปลูบหัวกลมๆ ของพวกมันทั้งสองตัวด้วยความเอ็นดู

ฉงเอ้อเดินตามวินนี่ต้อยๆ เพราะว่าวินนี่ป้อนนมให้มันทุกครั้ง เจ้าลูกหมีจึงเข้าใจว่าเธอเป็นแม่ของมัน มันจึงเดินตามวินนี่ตลอดเวลา เรื่องนี้ทำให้เสี่ยวเถียนกวา ลิงซ์และหลัวปอไม่พอใจเป็นอย่างมาก

หลังจากที่มันเดินตามมาไม่กี่ก้าว ลูกหมีก็นั่งลงแล้วทำท่าหน้าตาน่ารัก มันอ้าปากส่งเสียงร้องออกมาสองสามครั้ง

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “วินนี่ ลูกหมีกำลังร้องหาคุณอยู่น่ะ”

วินนี่พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ลูกหมีอะไรกัน? พูดให้เพราะๆ หน่อย มันเป็นลูกสะใภ้ของคุณนะคะ”

ฉินสือโอวพูดออกมาว่า “โอเคๆ งั้นผมจะพูดใหม่ วินนี่ หมีโลลิกำลังเรียกหาคุณอยู่”

วินนี่ยิ้มออกมา เธอหันกลับไปเกาคอของลูกหมี ทำให้มันนอนล้มลงที่พื้นด้วยท่าทีสุขสบาย หลังจากนั้นก็มองไปยังลูกแมวน้ำทั้งสองด้วยสายตาเหนือกว่า ‘ไสหัวไป เจ้าพวกน่าเกลียด ความน่ารักของฉันเป็นไปโดยธรรมชาติ พวกนายยังกล้าแข่งกับฉันงั้นเหรอ?’

ปรากฏว่าเมื่อมันสื่อความหมายแบบนั้นออกมา วินนี่ก็กลับไปหยอกล้อลูกแมวน้ำอีกครั้ง

การทำแบบนี้ทำให้เกิดปัญหา ความอิจฉาของลูกหมีกำลังลุกโชน มันลุกขึ้นมาพุ่งเข้าไปที่ด้านหน้าของลูกแมวน้ำ มันอ้าปากและร้องคำรามออกมาเพื่อให้พวกมันตกใจ

หมีขั้วโลกเป็นศัตรูตามธรรมชาติของแมวน้ำ แม้ว่าลูกแมวน้ำจะไม่ได้ตัวเล็กกว่าลูกหมีมากนัก แต่พวกมันก็กลัวลูกหมีอยู่แล้ว เมื่อลูกหมีเข้าใกล้ พวกมันก็รีบถอยหลังทันทีโดยธรรมชาติ

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า อยู่ภายใต้สายตาจากดวงตากลมโตของเถียนกวา เธอหันหัวไปมาเพื่อหาบางอย่าง เมื่อเห็นแปรงถูพื้นอยู่ที่มุมห้อง เท้าเล็กๆ ก็วิ่งเหยาะๆ ไปหยิบแปรงถูพื้น เธอลากแปรงถูพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ปาไปที่ลูกหมีจนมันล้มลงกับพื้น

ศัตรูกับศัตรูมักเป็นเพื่อนกัน อีกอย่างเมื่อครู่เถียนกวาพึ่งจะให้ปลาแฮร์ริ่งกับพวกลูกแมวน้ำไป ลูกแมวน้ำรีบเข้ามาอยู่ข้างเด็กหญิงทันที พลางจ้องมองไปยังลูกหมีด้วยสายตาหวาดกลัว

คลื่นลมในทะเลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เกล็ดหิมะตกลงมากระทบกับกระจกหน้าต่างเสียงดังราวกับก้อนหินตกใส่ โชคดีที่เรือทั้งสองลำสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากพอ สุดท้ายพวกเขาก็ฝ่าคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง เข้ามาถึงท่าเรือแหลมนีนได้ก่อนฟ้ามืด

เมื่อถึงท่าเรือ รถตำรวจจำนวนสิบกว่าคันรออยู่ เมื่อเรือเข้าใกล้ท่า ตำรวจทะเล ตำรวจท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ศาล นักข่าวและสื่อต่างๆ พุ่งตัวเข้ามาบนเรืออย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ

ข่าวผู้เสียชีวิตทั้งสองสามสิบสองคน แพร่กระจายไปทั่วแหลมนีนภายในเวลาอันสั้น ในความเป็นจริงแล้วคนกว่าครึ่งแคนาดารู้ข่าวนี้แล้ว รถของตำรวจและผู้สื่อข่าวที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มาจากแหลมนีนแต่มาจากเมืองที่อยู่รอบๆ

พวกของฉินสือโอวยังไม่สามารถไปจากเรือได้ พวกเขาเป็นผู้เกี่ยวข้อง จำเป็นที่จะต้องให้ความร่วมมือกับการสอบสวน และการรวบรวมพยานหลักฐานพวกนั้นด้วย แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือที่พักสองสามวันนี้ไม่ต้องใช้เงินตัวเอง ทางรัฐบาลจะเป็นผู้ออกเงินให้

ผู้พันบอกให้ฉินสือโอวเดินไปกับเขา พลางบอกให้เขาไปกับรถตำรวจ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะถูกนักข่าวกักตัวไว้ได้

ฉินสือโอวถามว่า “งั้นพวกเราก็ต้องลงจากเรือกันทุกคน แล้วแมวน้ำที่อยู่ในเรือลำนั้นจะทำอย่างไรกับมันล่ะ”

ผู้พันยักไหล่พลางพูดว่า “อาจจะถูกสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลกรับไปล่ะมั้ง? หรือไม่ก็ปล่อยลงทะเลไป เพราะนี่เราก็อยู่ที่ชายฝั่งแล้ว พวกมันสามารถหาที่อยู่เพื่อความอยู่รอดได้นี่ ไม่ใช่เหรอ?”

แมวน้ำลายพิณอาศัยอยู่ในทะเลเกือบจะทั้งปี พวกมันมีความชำนาญในการว่ายน้ำเป็นอย่างมาก แต่ว่าบางครั้งพวกมันก็จะขึ้นฝั่งเพื่อที่จะพักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงนักล่าต่างๆ แหลมนีนอยู่ที่ทางตอนเหนือของแลบราดอร์ ที่นี่มีอุณหภูมิอบอุ่นตลอดทั้งปี อันที่จริงแล้วมันเหมาะกับการเป็นที่อยู่ของแมวน้ำลายพิณ

ฉินสือโอวรู้สึกว่ามีแค่วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น แต่ชาร์คแสดงความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยออกมา เขาบอกว่า “ไม่ ผู้พัน คุณไม่สามารถปล่อยแมวน้ำที่นี่ได้ แลบราดอร์มีนักล่าแมวน้ำเป็นจำนวนมาก หากทิ้งให้พวกมันอยู่ที่นี่ พวกมันไม่รอดอยู่จนถึงเทศกาลล่าสัตว์ในปีนี้แน่นอน!”

ชาวแคนาดามีเทศกาลหนึ่งที่ฉินสือโอวรู้สึกว่ามันผิดปกติ นั่นก็คือเทศกาลล่าแมวน้ำ เทศกาลเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่เก้าเดือนเมษายนของทุกปีเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทางรัฐบาลอนุญาตให้ประชาชนล่าแมวน้ำได้ ตราบใดที่พวกมันเกิดมามีอายุมากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ก็สามารถล่าพวกมันได้

ในสัปดาห์นั้น ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและมหาสมุทรแปซิฟิกจะกลายเป็นแม่น้ำสีเลือด ไม่รู้ว่ามีแมวน้ำจำนวนมากน้อยแค่ไหนถูกฆ่า เนื่องจากเมืองแลบราดอร์ในเดือนเมษายนมีอากาศที่อบอุ่นและอุดมไปด้วยแมวน้ำ พื้นที่นี้ของทุกปีจึงเป็นที่นิยมในการล่าสัตว์

เมื่อชาร์คพูดออกมา วินนี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา เธอตะโกนออกมาว่า “ไม่เลว ไม่สามารถปล่อยสัตว์ที่น่ารักพวกนี้ทิ้งๆ ขว้างๆ ได้ พวกมันไม่ใช่ถังขยะนะ! อีกอย่าง คุณไม่ให้ความคุ้มครองพวกมันหน่อยเหรอ? พวกมันมีส่วนร่วมในคดีครั้งนี้ พวกมันถือว่าเป็นพยานไม่ใช่เหรอ?”

ผู้พันพูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณผู้หญิง คุณล้อผมเล่นหรือเปล่า? พวกมันไม่เกี่ยวข้องกับคดีในครั้งนี้เลย เนื่องจากคนที่อยู่บนเรือพวกนั้นไม่สามารถจับปลาได้เท่าที่ควร พวกเขาจึงจับแมวน้ำพวกนี้เพื่อที่จะนำกลับมาฆ่าเพื่อถลกหนังและเอาเนื้อออกมาเท่านั้น”

“งั้นพวกคุณเตรียมที่จะจัดดการกับแมวน้ำพวกนี้อย่างไร?” ฉินสือโอวถาม

เขาหันกลับมามอง เถียนกวานั่งยองๆ อยู่ที่พื้นเล่นกับลูกแมวน้ำทั้งสองตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อครู่เธอได้ให้อาหารลูกแมวน้ำไปหรือเปล่า เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่จะเห็นเถียนกวาเป็นมิตรกับสัตว์ที่หน้าตาน่ารักแบบนี้ อีกทั้งยังเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย

ผู้พันพูดออกมาอย่างอดกลั้นว่า “คุณฉิน สิทธิ์ในการจัดการแมวน้ำเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ผม ผมเป็นเพียงทหารคนหนึ่งเท่านั้น! อันที่จริงแล้วผมก็เหมือนกับพวกคุณ ที่กังวลเกี่ยวกับปลายทางสุดท้ายของแมวน้ำเหล่านี้ แต่นอกจากจะปล่อยพวกมันที่ตรงนี้ ผมก็คิดวิธีอื่นที่จะจัดการกับพวกมันไม่ออกแล้ว”

ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางสายตาเฝ้ารอของวินนี่และเหล่าชาวประมง เขาค่อยๆ พูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “หรือว่า คุณสามารถมอบสิทธิ์ให้ผมจัดการกับพวกมันได้ไหม ผมมีฟาร์มปลา ผมจะพาพวกมันกลับไปที่ฟาร์มปลาของผมดีไหม?”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท