ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1465 น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าภาพยนตร์

บทที่ 1465 น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าภาพยนตร์

แมวน้ำลายพิณมีจำนวนทั้งหมดหนึ่งร้อยสี่ห้าสิบตัว ฉินสือโอวรู้สึกว่าหากพากลับไปยังฟาร์มปลาเป็นเรื่องที่ดี สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์น่ารัก ตัวของมันกลมดิ๊ก ไม่มีพิษมีภัยต่อมนุษย์ หากให้พวกมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงไว้เพื่อประดับฟาร์มปลา คงจะเพิ่มความนิยมให้กับฟาร์มปลาได้ไม่น้อย

วินนี่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง มีแมวน้ำพวกนี้โครงการการท่องเที่ยวของเมืองก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งโครงการ

ดังนั้นหลังจากที่ฉินสือโอวออกความเห็น วินนี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที เธอดึงแขนของเขามาแล้วยิ้มหวานให้ก่อนจะพูดว่า “ที่รัก คุณนี่ดีจริงๆ พาพวกมันกลับเถอะ ฉันสามารถขอเงินทุนในการรับเลี้ยงแมวน้ำจากเมืองได้”

ผู้พันยักไหล่ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขา ดูสิว่าต่อไปพวกตำรวจจะจัดการอย่างไร ถ้าหากพวกเขาตัดสินใจที่จะปล่อยแมวน้ำ เขาก็จะช่วยเป็นคนประสานงานเรื่องให้ฉินสือโอวพาพวกมันไป

ทุกคนกลับไปยังโรงแรมภายใต้การคุ้มครองของตำรวจ พายุหิมะโหมกระหน่ำอยู่ที่ด้านนอก ผู้สื่อข่าวถูกพายุหิมะล้อมรอบเอาไว้ ความเป็นมืออาชีพของพวกเขา ทำให้ฉินสือโอวประหลาดใจ

พอตกกลางคืน นักข่าวก็แห่กันมายังแหลมนีนมากขึ้น ฉินสือโอวที่ออกมาซื้อกาแฟถูกนักข่าวล้อมเอาไว้ นักข่าวคนหนึ่งถามออกมาว่า “คุณเป็นกัปตันเรือปริ้นเซสเมล่อนใช่ไหมคะ? เป็นคุณแน่ๆ ใช่ไหม? กัปตันของเรือลำนี้เป็นชาวจีน”

ฉินสือโอวดึงเกิงจุนเจี๋ยที่มาเป็นเพื่อนเขาเข้ามาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ครับๆๆ คนนี้ต่างหาก พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว เขาคนนี้ต่างหากที่เป็นกัปตันเรือ ผมเป็นเพียงลูกเรือ ผมมาซื้อกาแฟให้กัปตันกับพวกเพื่อนๆ เท่านั้น”

นักข่าวพวกนี้ส่วนมากไม่ได้มาจากมหานครเซนต์จอห์น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักฉินสือโอว เมื่อเขาพูดแบบนั้นออกไป พวกนักข่าวก็ปล่อยฉินสือโอวและหันไปล้อมเกิงจุนเจี๋ยแทน

อันที่จริงแล้ว หากมองจากอายุและบุคลิก เกิงจุนเจี๋ยเหมือนกัปตันมากกว่า เขาพึ่งเกษียณมาไม่นาน เขามีจิตวิญญาณอันไม่ยอมแพ้ใครในแบบของทหารออกมาอย่างเห็นได้ชัด บุคลิกนี้สามารถพบเห็นได้ในผู้นำ ฉินสือโอวก็มีบุคลิกที่ดี แต่อายุยังถือว่ายังน้อย

ดังนั้นเกิงจุนเจี๋ยจึงถูกล้อมไปด้วยนักข่าว นักข่าวต่างพากันถามคำถามออกมามากมาย น่าเสียดายที่ภาษาอังกฤษของเขาไม่ค่อยดี จึงฟังไม่ค่อยถนัด เมื่อถูกนักข่าวรุมถามเขาจึงรู้สึกมึนงง ในที่สุดเขาก็พูดออกมาด้วยความพยายามว่า “พวกเราตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก และพวกเราขอประณาม…”

นักข่าว “….”

ฉินสือโอวฝ่าพายุหิมะเข้าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ด้านข้างโรงแรม บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ พาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นนี้

สื่อต่างๆ มีพลังเหนือธรรมชาติจริงๆ พวกเขาสามารถรู้รายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องที่เกิดขึ้นได้ภายในคืนเดียว ฉินสือโอวจิบกาแฟไปพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปจนจบ จากนั้นเขาจึงเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์

เรือบูลด็อกในรัฐเมนเป็นเรือประมงของสหรัฐอเมริกา พวกเขาออกทะเลมาสี่เดือนแล้ว เริ่มต้นบนเรือมีลูกเรือถึงสี่สิบคน จนท้ายที่สุดก็เหลือชาวประมงเพียงสองคนเท่านั้น…โชคดีของสองพี่น้องคู่นั้น เพราะว่าคนในครอบครัวป่วย พวกเขาจึงไม่ได้ขึ้นเรือมา

คนทั้งสามสิบคนแบ่งออกมาเป็นกลุ่มที่นำโดยกัปตันสิบสองคน และกลุ่มของผู้ช่วยกัปตันยี่สิบหกคน ในกลุ่มของพวกเขามีเพียงผู้ช่วยกัปตันและคนของพวกเขาเท่านั้นที่ถูกจ้างมาชั่วคราว พวกเขาไม่ใช่ชาวพอร์ตแลนด์ เพราะว่ากัปตันของเรือบลูด็อกในรัฐเมนมีชื่อเสียงในเรื่องที่ไม่ดี เขาขึ้นชื่อในเรื่องการกดค่าจ้างของลูกเรือ ชาวประมงท้องถิ่นจึงไม่เต็มใจที่จะทำงานให้เขา

เรือบลูด็อกออกจากทะเลมาเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา วัตถุประสงค์คือมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ พวกเขามุ่งไปทางใต้ในช่วงฤดูหนาวเพื่อที่จะจับหมึกกระดองและหมึกอื่นๆ เดิมทีพวกเขาตกลงกันว่า นอกจากกัปตันจะให้เงินค่าจ้างแก่ผู้ช่วยและลูกน้องของเขาแล้ว ยังจะให้เงินโบนัสจากรายได้ที่ได้รับอีกร้อยละยี่สิบ

เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เรือประมงที่ออกชายฝั่งทุกลำจะปฏิบัติเช่นนี้กับลูกเรือ ไม่เพียงแต่จะรับประกันรายได้ขั้นต่ำเท่านั้น แต่ยังให้เงินโบนัสแก่ลูกเรือด้วย แบบนี้จะสามารถกระตุ้นการทำงานของลูกเรือได้เป็นอย่างดี

ปัญหาที่ตามมาเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาเก็บเกี่ยวผลผลิต พวกเขาโชคร้าย เก็บเกี่ยวปลาได้จำนวนน้อยมาก ด้วยเหตุนี้กัปตันจึงไม่อยากให้ค่าจ้างแก่ลูกเรือ เขาต้องการแบกรับแค่เงินโบนัสเท่านั้น

แน่นอนว่ากลุ่มของผู้ช่วยไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน จากความไม่ลงรอยของทั้งสองฝ่าย ทำให้ก่อให้เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น

เมื่อจับปลาไม่ได้รับกำไร กัปตันก็ไม่ต้องการเสียเงิน เขาจึงได้จับแมวน้ำลายพิณมาฝูงหนึ่ง เขาต้องการเอาขนและเนื้อของพวกมันไปขายในตลาดมืด แบบนี้อย่างน้อยเขาก็สามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการออกเรือได้

พวกของผู้ช่วยคิดว่าเงินที่ได้จากแมวน้ำลายพิณส่วนหนึ่งพวกเขาก็ควรได้รับเช่นกัน แต่กัปตันเป็นคนตระหนี่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เห็นด้วย เพราะแบบนี้ ความไม่ลงรอยของทั้งสองฝ่ายจึงถูกพัฒนาเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ ผู้ช่วยได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่และกักขังกัปตันและคนของเขา เพื่อที่จะขู่คนพวกนั้น

กัปตันเป็นคนไม่ดี เขาต้องการยุยงชายคนที่เป็นผู้ช่วยที่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำให้ เขาจึงหยิบปืนออกมา เขาต้องการเพียงข่มขู่เท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะฆ่าจริงๆ เขาต้องการที่จะขู่ผู้ช่วยและคนอื่นๆ ที่จับเขามาเท่านั้น

แต่ว่าคนของผู้ช่วยคิดว่ากัปตันจะฆ่าเขาจริงๆ จึงชิงลงมือก่อนอย่างแน่วแน่ เขาฆ่ากัปตันด้วยฉมวก จากนั้นคนของกัปตันก็สู้กลับ ในที่สุดคนจากคนจำนวนสิบสองคน มีคนสิบเอ็ดคนถูกฆ่า และศพถูกโยนลงทะเลไปเป็นอาหารของฉลาม!

คนเดียวที่อยู่เหลือรอดคือชายชาวเม็กซิกันที่โบกสัญญาณธง เขาคือพ่อครัวของเรือ และเขาก็เป็นคนที่ขี้ขลาดมาก ในตอนที่เกิดการปะทะเขาเอาแต่ซ่อนตัวจากเรื่องนี้ ผู้ช่วยต้องการคนทำอาหาร หลังจากที่พบเข้ากับชายคนนี้ ผู้ช่วยจึงไม่ได้ฆ่าเขา

ในขณะที่เกิดการปะทะ ทางฝั่งของผู้ช่วยก็มีคนเสียชีวิตไปยี่สิบหกคน มีเพียงสิบแปดคนสุดท้ายที่เหลือรอด คนทั้งสิบแปดคนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย เก้าคนแรกนำโดยผู้ช่วย ส่วนอีกเจ็ดคนนำโดยหัวหน้าช่าง

หลังจากเกิดการปะทะ ทั้งสองฝ่ายก็มีความเห็นไม่ลงรอยกัน พวกของผู้ช่วยบอกว่าพวกเขาได้ทำการฆาตกรรมแล้วไม่สามารถกลับไปยังอเมริกาได้ จึงต้องการที่จะล่องเรือไปยังทางเหนือของกรีนแลนด์ เพื่อที่จะหาที่หลบซ่อน

แต่หัวหน้าช่างไม่คิดแบบนั้น เขารู้สึกว่าเมื่อพวกเขาทำการฆาตกรรม พวกเขาควรกลับไปรับโทษ เหตุผลของความคิดนี้คือคนของหัวหน้าช่างทั้งแปดคนให้ความช่วยเหลือในการปะทะเท่านั้น แต่ไม่ได้ฆ่าใคร

นี่คือสาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายไม่ลงรอยกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้กระทำความผิดร้ายแรง ส่วนอีกฝ่ายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ทั้งสองฝ่ายไม่เชื่อใจกันและกัน หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาสี่วันแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้ผลสรุปของเรื่องนี้ ผู้ช่วยทำลายโทรศัพท์ดาวเทียมเพื่อป้องกันไม่ให้หัวหน้าช่างพูดความจริง ส่วนหัวหน้าช่างก็ทำลายเครืองยนต์เพื่อไม่ให้ผู้ช่วยล่องเรือไปทางเหนือ

ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็รู้ทันทีว่าไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไปได้ ไม่อย่างนั้นตัวเองอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป จนในที่สุดก็เกิดเหตุนองเลือดขึ้น พวกของผู้ช่วยรักษาชีวิตของมือปืนไว้จนถึงท้ายที่สุด ดังนั้นคนของหัวหน้าช่างจึงถูกฆ่าทั้งหมด

ต่อมาก็คือเหตุการณ์ที่ฉินสือโอวเจอ พวกเขาต้องการนำเรือปริ้นเซสเมล่อนล่องไปยังทางตอนเหนือของกรีนแลนด์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าบนเรือของฉินสือโอวไม่ได้มีเพียงชาวประมงเท่านั้น แต่ยังมีทหารสิบนาย อีกทั้งพวกเขายังพกปืนอีกด้วย หลังจากที่คนพวกนั้นขึ้นเรือจึงถูกจับ…

หลังจากเห็นข่าวทั้งหมด ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรือบลูด็อกนั้นยิ่งใหญ่กว่าหนังฮอลลีวูดเสียอีก และก็น่ากลัวกว่าด้วย เหมือนกับที่เขาบอกต่อๆ กันมาว่า ‘เรื่องจริงน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าภาพยนตร์เสียอีก!’

ครอบครัวเกือบสี่สิบครอบครัวถูกทำลายลง ถ้าไม่เป็นเพราะเขาระวังตัวมาก จะต้องมีครอบครัวมากกว่านี้ที่ได้รับความสูญเสีย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การนองเลือดของประชาชนบริสุทธิ์ แต่เกี่ยวข้องกับการทูตด้วย เนื่องจากเป็นเรือของอเมริกา เรื่องนี้เกิดขึ้นบนพื้นที่ของแคนาดา ดังนั้นยากที่จะบอกได้ว่าจะใช้กฎหมายอะไร และทำการลงโทษอย่างไร

ตำรวจสหรัฐมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว…เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาไม่สามารถตอบสนองช้าได้ หลังจากที่ฉินสือโอวกลับมาจากร้านกาแฟ เขาก็เห็นกลุ่มตำรวจไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ที่โรงแรม คนพวกนั้นสวมเสื้อที่เขียนด้วยคำว่ายูเอสเอ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของอเมริกา

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท