ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1466 การรอคอยของวาฬ

บทที่ 1466 การรอคอยของวาฬ

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

แหลมนีนเป็นเมืองเล็กๆ สองสามวันมานี้รถวิ่งไปมาขวักไขว่ไปทั่วเมือง เลขาธิการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐมาที่นี่ด้วยตนเอง ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าแผนกยุติธรรมของแคนาดาก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน ในฐานะที่ฉินสือโอวเป็นกัปตันเรือ จึงถูกคนพวกนี้รุมสัมภาษณ์…โอ้ หรือว่าสอบถามกันนะ

นอกจากตุลาการแล้ว ก็เป็นสื่อจำนวนมากที่มาหาเขาเพื่อสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นซีบีเอส เอบีซี ซีบีซี เอเอฟซี ฉินสือโอวได้พบกับสื่อชื่อดังระดับโลกทุกหน่วยงานที่นี่ แน่นอนว่ามีกล้องจำนวนไม่น้อยด้วยเช่นกัน

ฉินสือโอวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เขาเพียงเข้าร่วมงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในงานแถลงข่าวเขาแนะนำตัวและเล่าถึงเหตุการณ์สั้นๆ หลังจากนั้นก็ไม่รับตอบคำถามอื่นๆ อีก

เขาพูดในสิ่งที่เขารู้ออกมาจนหมดแล้ว หากสัมภาษณ์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ และการที่เกิดเหตุ ‘ร้ายแรงในอเมริกาเหนือเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี’ แบบนี้ต้องมีเบื้องหลังอยู่แน่ เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นด้วย

นอกจากจะให้ความร่วมมือกับทางตุลาการในการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว หากเขามีเวลาว่างเขาก็จะไปให้อาหารแมวน้ำที่อยู่บนเรือ

ทุกสายตาจับจ้องไปที่คดีนี้และลูกเรือทั้งหกคนที่รอดชีวิต ส่วนแมวน้ำลายพิณกลับถูกเพิกเฉย ไม่มีใครให้ความสำคัญกับพวกมัน แม้แต่จะให้น้ำพวกมันกินก็ไม่มี

อันที่จริงแล้วแมวน้ำพวกนี้ไม่เลวเลย พวกมันเก็บไขมันจำนวนมากไว้ในร่างกาย ในอุณหภูมิอบอุ่นพวกมันสามารถไม่กินอาหารได้ถึงสิบกว่าวันโดยที่ไม่หิวตาย ไม่เช่นนั้นพวกมันคงจะไม่สามารถอยู่รอดได้ ตามที่พ่อครัวชาวเม็กซิกันพูด ตั้งแต่เกิดการปะทะ นอกจากเขาจะทำน้ำแข็งตกใส่กรงแมวน้ำเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีใครสนใจพวกมันอีกเลย

พายุหิมะพัดกระหน่ำอยู่สี่วัน วันที่ห้าพายุจึงสงบลง คดีนี้ได้เริ่มถูกโอนไปยังเมืองออตตาวาและวอชิงตัน ในที่สุดฉินสือโอวก็เป็นอิสระ เขาสามารถล่องเรือกลับบ้านได้

เหมือนที่พันโทตำรวจกล่าวไว้ แมวน้ำลายพิณพวกนี้ไม่มีคนสนใจ พวกมันถูกขนย้ายไปทันที องค์กรพิทักษ์สัตว์อะไรนั่น ไม่มีใครมาสนใจพวกมันเลย

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นแมวน้ำลายพิณหรือแมวน้ำอะไรก็ตาม โดยทั่วไปพวกมันก็มีจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเทศกาลล่าแมวน้ำที่รุนแรงและโหดร้ายที่แคนาดา

ฉินสือโอวเป็นคนจัดการเรื่องนี้ หลังจากนั้นตอนเย็นเหล่าชาวประมงก็พากันย้ายกรงแมวน้ำไปยังเรือปริ้นเซสเมล่อน ทำให้เรือลำใหญ่แน่นขนัด

สองสามวันมานี้เหล่าชาวประมงพากันมาให้อาหารแมวน้ำพวกนั้น ดังนั้นเมื่อย้ายกรง แมวน้ำที่อยู่ด้านในจึงไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ให้กินน้ำแข็งก็กินน้ำแข็ง ให้นอนก็นอน ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด แต่ไม่มีท่าทีกลัวคนเลย

แต่ว่าชาวประมงพวกนั้นกลับหมดแรง แมวน้ำโตเต็มวัยหนึ่งตัวหนักไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยกิโล นี่ยังถือว่าไม่หนัก แต่จำนวนของพวกมันไม่ได้มากนัก พอถึงตัวพวกมันเหล่าชาวประมงก็หอบออกมา พลางบ่นกันระงม

ฉินสือโอวเป็นคนนำทีมนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นแม้ว่าจะมีเสียงบ่นออกมา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธ

ชาร์คคร่ำครวญออกมาว่า “รู้อยู่แล้วว่าพวกเราต้องเป็นคนย้ายพวกมัน งั้นสองสามวันนี้เราก็ไม่ควรให้พวกมันกินเยอะ พระเจ้า ฉันพึ่งเห็นกับตาตัวเองว่าสองสามวันมานี้พวกมันอ้วนขึ้นเป็นกองเลย!”

หลังจากทำการย้ายแมวน้ำ ฉินสือโอวก็ไม่ได้กลับไปที่โรงแรม ในเช้าตรู่วันถัดมา พวกเขาก็ออกจากท่าเรือทันที เขาใช้ประโยชน์จากความสงบหลังจากพายุหิมะ ตรงไปยังเกาะแฟร์เวล

เมื่อออกจากน่านน้ำแลบราดอร์แล้วเข้าสู่น่านน้ำนิวฟันด์แลนด์ ก็เป็นช่วงเย็นพอดี ฉินสือโอวมองดูก้อนเมฆยามอาทิตย์อัสดงอันสวยงามอยู่ที่ดาดฟ้า จู่ๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “โม่วโม่ว โม่วโม่ว…”

เสียงนั้นดังได้ไม่นาน ประมาณสองสามวินาที ฟังดูแล้วเหมือนแม่วัวร้องงึมงำในลำคอ

หลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้นมา ก็มีเสียงครวญครางต่ำดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง “โม่วโม่ว!” “โม่วๆๆ!”

เสียงพวกนั้นดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีไอน้ำโผล่ขึ้นมาอีกหลายสาย ราวกับน้ำพุ แต่ว่าน้ำพุนั้นอยู่ในรูปของตัววี ไอน้ำทุกสายแบ่งออกเป็นสองเส้น

“วาฬหัวคันศร!” วินนี่ที่กำลังดูลูกสาวของตัวเองร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

เสียงร้องของวาฬแตกต่างกันออกไป เสียงของวาฬไรท์ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงของพวกมันเหมือนกับเสียงร้องของวัว แต่ว่าเสียงนี้เป็นเสียงที่ส่งออกมาเพื่อสื่อสารกันเอง วาฬชนิดนี้มีพรสวรรค์ด้านภาษา นอกจากนี้พวกมันยังสามารถเลียนแบบเสียงอื่นๆ ได้อีกด้วย เรื่องนี้พวกมันเก่งกว่าวาฬเบลูกาเสียอีก

ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกโพไซดอนไปดูพวกมัน มีวาฬไรท์โตเต็มวัยสี่ตัว และอีกสามตัวเป็นลูกวาฬ นี่ไม่ใช่วาฬฝูงเดียวกันกับที่เขาเจอเมื่อเดือนก่อนหรอกเหรอ? ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะรออยู่ที่นี่

เรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงอีกเรื่องก็คือ วาฬไรท์พวกนี้จำเรือปริ้นเซสเมล่อนได้ เสียงร้องของพวกมันเมื่อกี้ เพื่อเป็นการบอกข่าวกันและกัน ไม่นาน ไอน้ำพวกนั้นก็เข้ามาใกล้มากขึ้น พวกมันว่ายน้ำเข้ามาหา

ชาร์คลดความเร็วลงอีกครั้ง แล้วพูดออกมาอย่างเบื่อหน่ายว่า “เพราะว่าวาฬพวกนี้ พวกเราถึงต้องจ่ายค่าน้ำมันดีเซลอย่างน้อยห้าพันดอลลาร์!”

ใช่แล้ว เมื่อล้อเรือขนาดใหญ่หยุดลงสองครั้ง พวกเขาต้องเสียเงินค่าน้ำมันดีเซลห้าพันดอลลาร์ เรือหลายลำจึงไม่ชะลอความเร็วแม้ว่าจะเจอเข้ากับวาฬก็ตาม จึงพุ่งเข้าหาพวกมันโดยตรง ทำให้พวกมันตาย ไม่ใช่ว่ากัปตันเหล่านั้นโหดร้าย แต่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาไม่ได้มีเงินที่ใช้จ่ายได้เยอะขนาดนั้น

วาฬไรท์ทั้งเจ็ดว่ายน้ำรอบๆ เรือปริ้นเซสเมล่อน บางครั้งก็มีไอน้ำพ่นออกมา สัตว์พวกนี้ลอยเป็นแนวตั้งอยู่ในน้ำ แล้วโผล่หัวออกมาครึ่งหนึ่ง พวกมันมองมายังเรือปริ้นเซสเมล่อน…ไม่มีทาง วาฬไรท์มีหัวแบน เมื่อลอยตัวเป็นแนวตั้งไม่สามารถที่จะมองไปข้างหน้าได้ พวกมันสามารถมองได้โดยใช้ตาข้างเดียว

เพราะแบบนี้ พวกมันจึงดูน่าสมเพชเล็กน้อย ราวกับสายตาของนักเลงที่มองดูสาวงาม

หลังจากที่วาฬไรท์โผล่หัวออกมา พวกมันก็ค่อยๆ อ้าปากออกมา ฉินสือโอวนึกว่าพวกมันต้องการจะส่งเสียงเรียก ปรากฏว่ากลับไม่มีเสียงอะไรออกมา พวกมันทำเพียงอ้าปากและลอยตัวอยู่ในน้ำเท่านั้น

วินนี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็มีปฏิกิริยาตอบสนองออกมา “พระเจ้า พวกมันรอให้พวกเราให้อาหารอยู่รึเปล่า?”

ฉินสือโอวพูดออกมาอย่างตกตะลึงว่า “คุณจะบอกว่าพวกมันรอเราอยู่ที่นี่เพื่อรอให้เรามาให้อาหารงั้นเหรอ”

“อาจจะเป็นเพราะว่าปลาของพวกเราอร่อยล่ะมั้ง” ชาร์คหัวเราะออกมา

เกิงจุนเจี๋ยถอนหายใจออกมา “แน่นอนว่าอร่อย ปลาของพวกเราแพงขนาดนั้น ตอนอยู่ที่บ้านเกิดฉันแทบจะไม่ได้กินปลาราคาแพงพวกนี้เลย”

น่าเสียดาย ที่บนเรือไม่มีปลาอยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว พวกมันถูกใช้ในการจับปูจักรพรรดิไปหมดแล้ว เหลือเศษซากไว้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

แต่ว่ายังมีพวกหมึกกระดองแช่แข็งที่พวกเขาเอามาจากเรือบลูด็อกอยู่ ของพวกนี้เอามาเพื่อให้เป็นอาหารของแมวน้ำ พวกวาฬจึงได้กินเพียงของพวกนี้เท่านั้น

ก้อนหมึกแช่แข็งบดถูกโยนลงไปในน้ำ วาฬไรท์ทั้งเจ็ดตัวแย่งดันมากินหมึกแช่แข็ง แต่เมื่อพวกมันกินไปได้สองสามคำก็หยุดกิน และยังคงอ้าปากกว้างร้องขออาหาร มีลูกวาฬตัวหนึ่งส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตะกละตะกลาม

“พระเจ้า ปากเหม็นเหลือเกินนะว่าไง?” ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่ง

เหล่าวาฬเป็นพวกอันธพาล ไม่ให้อาหารก็จะไม่ออกไปจากที่นี่ พวกมันว่ายน้ำไปมารอบเรือปริ้นเซสเมล่อน

ฉินสือโอวทำได้เพียงให้เหล่าชาวประมงไปทำความสะอาดห้อง และหยิบเลือกของเหลือที่เหลืออยู่ออกมา จากนั้นก็โยนลงไปพร้อมกับหมึกกระดองแช่แข็ง

แบบนี้เหล่าวาฬจึงได้กินอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ใช่สัตว์ที่เลือกกินมากนัก สำหรับพวกมันปลาสำหรับทำประมงก็ถือว่าเป็นสิ่งล่อตาล่อใจได้มากทีเดียว

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท