ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1468 ภาษีในหนึ่งปี

บทที่ 1468 ภาษีในหนึ่งปี

หลังจากฉินสือโอวกลับมา เรื่องแรกที่เขาทำคือโทรศัพท์หาบัตเลอร์ ให้เขานำเรือมารับปูจักรพรรดิไป เรื่องสองคือการเตรียมจ่ายภาษี

เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่ต้องจ่ายภาษีทั้งหมดของปีก่อนหน้า ฉินสือโอวยอมรับแคนาดาในเรื่องนี้ เขาต้องเสียภาษีทุกเดือน ต้องจ่ายภาษีทุกไตรมาส และต้องจ่ายภาษีประจำปีอีก นี่เป็นการทำลายล้างมนุษยชาติชัดๆ!

แต่ว่านี่ก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีรายได้มากมาย ในแคนาดาแต่ละอุตสาหกรรมก็มีวิธีในการจ่ายภาษีที่ต่างกัน ภาษีของฉินสือโอวคือการรวมทั้งปี ส่วนใหญ่แล้วมาจากรายได้หลักของเขาที่มาจากการประมูลสินค้าและภาษีทรัพย์สินถาวรของฟาร์มปลา

ตอนนี้คนที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลาในแคนาดาน้อยลงเรื่อยๆ สาเหตุหนึ่งมาจากภาษีที่ค่อนข้างสูง การซื้อฟาร์มปลาอาจมีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นก็ต้องเสียภาษีเป็นประจำทุกปี ภาษีอสังหาริมทรัพย์ประมาณร้อยละสอง นอกจากนี้บ้านก็ยังต้องเสียภาษีอีก

บัตเลอร์รีบมาหาเขาอย่างตื่นเต้น หลังจากที่เขาเห็นคุณภาพของปูจักรพรรดิ เขาก็หันกลับมาพูดกับฉินสือโอวว่า “ปูจักรพรรดินี้ค่อนข้างธรรมดา แต่อย่างไรก็สมควรถูกรวมเข้าไปในแบรนด์ต้าฉินของเราด้วย ใช่แล้วเพื่อน ฉันได้ยินมาว่านายเจอเข้ากับเรื่องใหญ่เรื่องโตที่ทะเลเหรอ?”

ฉินสือโอวรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงตอบกลับว่า “แน่นอน คนตายสามสิบกว่าคน นายว่าเป็นเรื่องใหญ่ไหมล่ะ? ฉันจะบอกให้นะเพื่อน นายจะต้องไม่เคยเห็นฉากที่น่าสะพรึงแบบนี้มาก่อนแน่ บนเรือเต็มไปด้วยเลือดและแขนขาที่ถูกตัด! อากาศก็หนาว ชิ้นเนื้อที่ถูกสับพวกนั้นถูกแช่แข็งอยู่บนเรือ โอ้ว ฟัค!”

บัตเลอร์พูดออกมาด้วยความตกใจว่า “โหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอ? พวกเขาขึ้นเรือมาพร้อมปืนใหญ่หรือเปล่า? ฉันเคยเห็นพวกทีมดับเพลิง นายรู้ไหม นักดับเพลิงของไมอามี เป็นกลุ่มคนโง่ ที่คิดว่าตัวเองมีปืนก็เท่แล้ว…”

ที่ฉินสือโอวพูดออกมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก เขาแค่อยากจะแกล้งให้บัตเลอร์ตกใจก็เท่านั้น ลุงผิวดำมีหนวดเครามักจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจต่อหน้าเขาและพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับนักเลงอเมริกันพวกนั้น ครั้งนี้ฉินสือโอวต้องการจะจัดการกับความเย่อหยิ่งของเขาจริงๆ

แต่ปรากฏว่าเขาประมาณลุงผิวดำคนนี้ต่ำเกินไป ไม่นานบัตเลอร์เปลี่ยนหัวข้อในการคุยไปยังเรื่องที่เขาถนัด เขาเริ่มพูดถึงสหภาพดับเพลิงที่เขาเข้าร่วมอีกครั้ง เขาบอกว่ามันเหมือนกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเลย

ฉินสือโอวไม่มีเวลาที่จะมาเล่นกับเขา เขาได้รับใบเรียกเก็บเงินที่มาจากไปรษณีย์จากแอนโทนี่ ไวท์ พนักงานบัญชีจากบริษัทบัญชีดีลอยท์ หลังจากนั้นเขาจึงโทรหานักบัญชีมืออาชีพอย่างจางเผิง เพื่อให้เขาช่วยในการจัดการกับใบเสร็จพวกนี้

จางเผิงนำสมุดบัญชีมา ตอนนี้บริษัทบัญชีดีลอยท์มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำภาษีและรายงานภาษีของฟาร์มปลาต้าฉินและอาหารทะเลแบรนด์ตาฉิน บัญชีอื่นๆ อย่างร้านขายของชำของฮิวจ์และซูเปอร์มาเก็ตกลางแจ้ง จางเผิงก็เป็นผู้จัดการทั้งหมด

ฉินสือโอวให้เขาดูใบเสร็จของแอนโทนี่ ไวท์ หลังจากพิมพ์ออกมาก็กลายเป็นกระดาษจำนวนยี่สิบแผ่น บนกระดาษเต็มไปด้วยตัวอักษรและตัวเลขมากมาย การที่นักบัญชีจะได้เงินไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

จางเผิงดูใบเสร็จเสร็จก็พูดชื่นชมว่า “ผู้เชี่ยวชาญก็คือผู้เชี่ยวชาญ ใบเสร็จพวกนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ…”

ฉินสือโอวถามออกมาว่า “นายสามารถทำมันออกมาได้ไหม? ฉันจะส่งนายไปที่สำนักงานบัญชีดีลอยท์เพื่อศึกษาเพิ่มเติม”

จางเผิงพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนว่า “บอส นี่เป็นใบเสร็จที่ทำโดยปรมาจารย์ด้านบัญชีชั้นนำระดับโลก ผมยังห่างชั้นกับปรมาจารย์พวกนี้อีกไกล”

ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยความเสียดายว่า “งั้นฉันจะส่งนายไปเรียนเพื่ออะไร?”

จางเผิงลูบหน้าอกพลางพูดออกมาว่า “ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากที่นั่น หากไม่ได้ไปเรียนเพิ่มเติม อันที่จริงผมก็คงไม่เข้าใจใบเสร็จนี้”

การที่ฉินสือโอวให้จางเผิงดูใบเสร็จนี้ยังมีอีกวัตถุประสงคหนึ่ง นั่นก็คือให้เขาได้เรียนรู้ เขามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชีให้ได้เร็วที่สุด แบบนี้ต่อไปฟาร์มปลาก็อาจจะไม่ต้องจ้างแอนโทนี่ ไวท์แล้วก็ได้ เรื่องพวกนี้เกี่ยวกับเงินทั้งหมด แอนโทนี่ ไวท์ให้กระดาษเขายี่สิบแผ่น เขาต้องจ่ายเงินถึงแผ่นละหมื่นดอลลาร์!

แต่ว่าก็คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป แอนโทนี่ ไวท์ให้เขาหลีกเลี่ยงภาษีได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อบวกกับส่วนลดภาษีในภายหลังแล้ว ภาษีของปีที่แล้วที่เขาต้องจ่ายเหลือเพียงห้าล้านกว่าดอลลาร์เท่านั้น

นี่เป็นตัวเลขที่น้อยมาก ต้องรู้ก่อนว่าธนาคารขนาดใหญ่ทั้งสี่แห่งประเมินราคาฟาร์มปลาของเขาไว้อยู่ที่แปดร้อยล้านดอลลาร์แคนาดา ภาษีอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวก็สิบหกล้านดอลลาร์แล้ว

นักบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญเก่งกาจแบบนี้นี่เอง การเสียภาษีในบางเขตเช่นเขตบีซี คนรวยบางคนไม่ต้องจ่ายภาษีด้วยซ้ำ

ต้องบอกก่อนว่า แคนาดาพึ่งจะทำการเปลี่ยนรัฐบาล คาร์เมนจูเนียร์นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ได้พูดตอนที่หาเสียงแล้วว่า เขาสัญญาไว้ว่าเขาจะเพิ่มภาษีคนรวย

สถานการณ์เช่นนี้แอนโทนี่ ไวท์ยังสามารถหลีกเลี่ยงภาษีจำนวนมากให้กับฉินสือโอวได้

แน่นอนว่านักบัญชีที่เก่งกาจสามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้ แต่ไม่จ่ายภาษีไม่ได้ เดิมทีสาเหตุมาจากสถานะของฉินสือโอวทำให้เขาสามารถหาทางเลี่ยงภาษีได้ แต่ถ้าไม่มีทางไหนที่เหมาะสม แบบนั้นพระเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้

ปีนี้ข้อต่อรองที่ใหญ่ที่สุดในการเลี่ยงภาษีของฉินสือโอวมาจากการลงทุนของเขา เขาอัดฉีดเงินทุนให้บอมบาร์เดียร์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นรายที่สี่ของบริษัทบอมบาร์เดียร์ ซี แอร์ไลน์เนอร์ โฮลดิ้ง ซึ่งแก้ไขปัญหาการว่างงานได้เป็นจำนวนมาก กางลงทุนซื้อหุ้นสามารถลดหย่อนภาษีได้ ภาษีรวมกว่าเก้าร้อยล้านดอลลาร์จึงได้รับการยกเว้น!

นอกจากนี้ยังมีการบริจาคเพื่อการกุศลอีกหลายอย่างที่ทำเมื่อปีที่แล้วรวมถึงกองทุนการกุศลที่ก่อตั้งขึ้นสำหรับเถียนกวา สิ่งนี้ไม่ทำให้เขาจะได้รับความเคารพจากองค์กรการกุศลเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เรื่องนี้ในการหักลบภาษีได้อีกจำนวนหนึ่งด้วย

เมื่อเห็นถึงตรงนี้แล้ว จางเผิงก็ให้คำแนะนำแก่ฉินสือโอวว่า “บอส ต่อไปถ้าหากคุณเข้าร่วมงานบริจาค อย่าให้เงินสดล่ะ ให้ใช้เงินสดไปซื้อหุ้นดีกว่า แล้วบริจาคหุ้น แบบนั้นจะลดหย่อนภาษีได้มากกว่า”

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของแคนาดา โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ค่อนข้างซบเซา รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้น การลดหย่อนภาษีสำหรับการบริจาคหุ้นก็เป็นหนึ่งในมาตการนั้น

จางเผิงอธิบายใบเสร็จของฉินสือโอวให้เขาฟังคร่าวๆ ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมตัวเขาถึงต้องจ่ายภาษี และต้องจ่ายเท่าไหร่ ต่อไปในอนาคตจะทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้มากขึ้นและอื่นๆ

เมื่อดูใบเสร็จนั้นจบ ฉินสือโอวก็มองไปยังรายได้ของร้านขายของชำและซูเปอร์มาเก็ตกลางแจ้ง ภาษีที่ต้องจ่ายของปีที่แล้วของร้านขายของชำของเขาอยู่ที่แปดแสนห้าหมื่น ตัวเลขนี้ทำให้เขาตกตะลึง จึงถามออกมาว่า “ร้านขายของชำ ปีที่แล้วมีรายได้อยู่หนึ่งร้อยเจ็ดแสนล้านดอลลาร์เหรอ?”

จางเผิงพยักหน้าและตอบว่า “ใช่ครับ ใบเสร็จนี้ได้รับการคัดกรองมาอย่างรอบคอบโดยผมเอง ไม่มีข้อผิดพลาดหรือละเว้นตกหล่นแน่นอน ผมสามารถอธิบายสถานะบัญชีในแต่ละวันให้คุณฟังได้นะครับ”

ฉินสือโอวตอบกลับมา “ฉันไม่ได้ไม่เชื่อนาย แต่ว่า ฉันแค่ตกใจที่รายได้เยอะขนาดนี้”

เมื่อเข้าใจว่าตัวเองเข้าใจผิด จางเผิงก็ถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “ปีที่แล้วอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเมืองดีมาก ผมได้อ่านรายงานรายรับประจำปีของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งมหานครเซนต์จอห์นแล้ว ตัวเลขของเกาะแฟร์เวลของพวกเราสวยที่สุด ปีที่แล้วมีกำไรมากกว่าสิบล้าน!”

“และในการท่องเที่ยวเมืองเล็กๆ ร้านสองร้านที่คุณได้ลงทุนไปนั้น ซูเปอร์มาเก็ตกลางแจ้งและร้านขายของชำเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัด เหล่านักท่องเที่ยวได้มุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำเป็นร้านแรกเมื่อพวกเขานึกถึงของที่ระลึก ส่วนซูเปอร์มาเก็ตกลางแจ้งเป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้ของนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย และธุรกิจค้าปืนก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก”

ฉินสือโอวมองดูรายงาน รายรับของซูเปอร์มาเก็ตกลางแจ้งทั้งปีอยู่ที่หนึ่งล้านสองแสนกว่าดอลลาร์ หากไม่รวมเงินเดือนของโหวจื่อเซวียนแล้ว เขาก็ยังได้ส่วนแบ่งอยู่หกแสนดอลลาร์

เมื่อเห็นใบเสร็จจำนวนมากมายหลายหน้า ท่านชายฉินก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน เขากำลังคิดว่าจะเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดเล็กอีกดีหรือไม่ ดูเหมือนว่าตราบใดที่เป็นการลงทุนที่ถูกต้อง อุตสาหกรรมเล็กๆ ก็สามารถที่จะทำเงินได้มากพอสมควร

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท