ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1469 ติดตั้งเครื่องบันทึกวิดีโอดูวาฬ

บทที่ 1469 ติดตั้งเครื่องบันทึกวิดีโอดูวาฬ

หลังจากจัดการใบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็ถอนหายใจออกมา เขาพูดออกมาด้วยความโล่งอกว่า “ปีนี้การหาเงินถือว่าไม่ง่ายเลย”

“ไม่ว่าจะหาเงินหรือกินขี้ก็ลำบากเหมือนกันหมด คำพูดของบรรพบุรุษนี้ถือว่าไม่ผิดเลย” จางเผิงพูดตามอารมณ์ออกมา

หลังจากนั้น เขาก็มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรุนแรง เขามองไปที่ฉินสือโอวด้วยสีหน้าราวกับเห็นผีแล้วพูดว่า “บอส ที่คุณพูดเมื่อกี้คือล้อเลียนผมใช่ไหม? การล้อเลียนลูกน้องที่น่าสงสารแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดีเหรอครับ?”

ฉินสือโอวตบบ่าของจางเผิงแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ล้อเลียนนาย ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อีกอย่าง สี่ปีก่อนหน้านี้ฉันลำบากกว่านายเยอะ นายดูหลังจากสี่ปีนั้นสิ ฉันมีสิ่งที่ฉันมีในวันนี้ ดังนั้นนายก็ตั้งใจให้ดี ตอนนี้นายจนมาก รู้สึกว่าใช้ชีวิตไม่ได้ สี่ปีหลังจากนี้…”

เขามองไปยังจางเผิง จางเผิงยืดอกแล้วพูดออกมาว่า “สี่ปีหลังจากนี้ ผมจะกลายเป็นคนรวยใช่ไหมครับ? ขอบคุณบอสสำหรับกำลังใจ…”

“อย่าพึ่งรีบพูดขอบคุณเลย ฉันยังพูดไม่จบ สี่ปีหลังจากนี้นายอาจจะจนมากอยู่ แต่เมื่อถึงเวลานั้นนายจะสามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตได้ ดังนั้นอย่ารู้สึกแย่ไปเลยนะ” ฉินสือโอวลุกขึ้นแล้วเดินออกมา ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ “เก็บใบเสร็จให้ดี อาทิตย์หน้าพาฉันไปจ่ายภาษีด้วย”

จางเผิงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางพูดออกมาว่า “คุณทำร้ายลูกน้องด้วยวิธีนี้จริงๆ เหรอ?”

“ฉันไม่ได้ทำร้ายนายนะ ฉันแค่หาเรื่องราวดีๆ จากตัวของนายเท่านั้นเอง”

การประมงมักมีคนมาจัดการให้เสมอ ดังนั้นเขาจึงทำงานได้อย่างราบรื่น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉินสือโอวคือการที่ให้ชาวประมงทีมที่สองรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของฟาร์มปลา แบบนั้นจะทำให้พวกเขากลายเป็นคนงานที่มีศักยภาพ

เกิงจุนเจี๋ยและคนอีกห้าคนที่ไปกรีนแลนด์ได้รับการยอมรับจากพวกของชาร์ค พวกเขาเคยทะเลาะด้วยกันในบาร์ เคยดื่มด้วยกัน ระหว่างผู้ชาย ขอเพียงมีเรื่องเช่นนี้ มิตรภาพก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น

ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ได้ถูกยอมรับให้อยู่ในแวดวงของพวกเขา ดังนั้นบรรยากาศระหว่างชาวประมงจึงค่อนข้างแปลก

ฉินสือโอวรู้สึกว่า เขาควรจะหาทางออกเดินทางไปยังนอกฟาร์มปลาอีกสักครั้ง แล้วปล่อยให้คนพวกนี้ทำงานด้วยกัน แบบนั้นความสัมพันธ์อาจจะดีขึ้นมาก

เพราะว่าอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินมีสาขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการของอาหารทะเลก็มีเพิ่มมากขึ้น ทุกวันต้องออกเรือประมงไปเพื่อเป้าหมายในการตกปลา เนื่องจากฟาร์มปลาเป็นแหล่งส่งออกปลากุ้งและปูทุกชนิดอย่างต่อเนื่อง

มื้อค่ำคืนวันศุกร์ ฉินสือโอวบอกให้วินนี่พาหมีโลลิไปฉีดวัคซีน วินนี่บอกว่าเธอมีงานช่วงสุดสัปดาห์ “เมืองมีการสั่งซื้อเครื่องบันทึกวิดีโอใต้น้ำมาจำนวนหนึ่ง วันนี้เพิ่งจะมาถึง พรุ่งนี้จะทำการติดตั้ง ฉันต้องไปคุมงานวันพรุ่งนี้ค่ะ”

ฉินสือโอวถามออกมาว่า “เครื่องบันทึกวิดีโอใต้น้ำงั้นเหรอ? เอามาทำอะไร?”

วินนี่ยิ้มออกมาอย่างน่าหลงใหล พลางตอบว่า “มันเป็นของทันสมัยมาก ถ้าหากว่าคุณสงสัย งั้นพรุ่งนี้คุณก็ไปดูสิ มันสุดยอดเลยล่ะ”

ฉินสือโอวไม่ได้ติดธุระอะไร ดังนั้นเช้าวันเสาร์เขาจึงนับรถไปส่งวินนี่ในเมือง และแวะมาดูสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบันทึกวิดีโอสุดไฮเทค

เขาพบกับคนทำความสะอาดถนน คาปาไล ปาจิฮาเก้น เขาถามออกมาว่า “คุณฉิน คุณอยากเรียนรู้เรื่องการทำไวน์เมื่อไร? พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผมล่ะ”

ฉินสือโอวมองด้วยสายตาเปล่งประกาย เขาตอบกลับว่า “รอจนกว่าอากาศจะอุ่นกว่านี้เถอะ ฤดูนี้ คุณมีเวลาพักผ่อนก็ไปพักผ่อนเถอะ ไปตกปลา ดื่มเบียร์ ไปเดินเล่นที่เซนต์จอห์น ให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้าง”

คาปาไล ปาจิฮาเก้นยักไหล่พลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ผมไม่ได้มีชีวิตที่ดีแบบนั้น งั้นรอช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไวน์รสชาติดีที่สุด”

ฉินสือโอวขับรถต่อไปบนถนน วินนี่พูดออกมาว่า “คาปาไลเป็นคนไม่เลวเลยนะคะ เขาทำงานหนักและขยันมาก เขามาที่เมืองเพื่อที่จะพักผ่อนเพียงวันเดียว ส่วนวันหยุดอื่นๆ เขาทำงานตลอด ดูเหมือนว่าเขาต้องการเงินจำนวนมาก”

รถจอดอยู่ที่ท่าเรือของเมือง มีใครบางคนกำลังขนของไปที่เรือลำเล็ก ทีละกล่องๆ ข้างในน่าจะเป็นเครื่องบันทึกวิดีโอไฮเทคที่วินนี่พูดถึง

ฉินสือโอวถามว่ามันมีไว้ทำอะไร วินนี่จึงอธิบายว่า “เอามาใช้ดูวาฬและฉลามยังไงล่ะ ไม่ใช่ว่าเราจะสร้างเมืองแห่งนี้ให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวาฬหรอกเหรอ? เจ้าพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ในน้ำเกือบจะตลอดเวลา ต้องคอยสังเกตให้ดี”

ที่ท่าเรือมีคนงานกำลังทำงานอยู่ ดูเหมือนกำลังติดตั้งชั้นเหล็กอยู่ ฉินสือโอวถามออกมาอีกว่าเอาไว้ทำอะไร วินนี่เลยบอกว่าจะมีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลที่นี่ ภาพที่บันทึกด้วยวิดีโอจะถูกนำมาฉายภายในเครื่องคอมพิวเตอร์

ฉินสือโอวนึกขึ้นมาได้ในทันที เขาพูดออกมาว่า “คุณจะเปลี่ยนวิธีการดูวาฬของเมืองใช่ไหม? ให้นักท่องเที่ยวอยู่ที่เกาะเล็กๆ นี้ เพื่อให้พวกเขาเห็นภาพวาฬว่ายน้ำในทะเลก่อนใช่ไหม? ”

วินนี่ดีดนิ้วแล้วพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “บิงโก คุณเดาได้ถูกต้องค่ะ”

เมื่อลงจากรถ ฉินสือโอวก็อุ้มลูกสาวของตัวเอง ส่วนวินนี่อุ้มหมีโลลิ จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปยังท่าเรือเพื่อดูคนงานทำงาน

เสี่ยวเถียนกวามองไปยังหมีโลลิด้วยท่าทีปั้นปึ่ง ส่วนหมีโลลิก็อยู่ในอ้อมกอดของวินนี่อย่างมีความสุข บางครั้งมันก็ขยับหัวไปมาเพื่อสัมผัสความอ่อนนุ่มสบายของอกทั้งสองข้างของวินนี่

การกระทำดังกล่าวของหมีโลลิเป็นจุดชนวนของสงคราม เสี่ยวเถียนกวามองไปที่มันด้วยความไม่พอใจ แล้วตะโกนออกมาว่า “ตีเลย ตีเลย ตีเลย!”

ฉินสือโอวรีบปลอบเด็กน้อยทันที เขาอุ้มเธอมาวางไว้บนไหล่ แบบนี่เสี่ยวเถียนกวาก็สามารถมองภาพได้จากมุมสูงซึ่งเธอพอใจเป็นที่สุด เธอชำเลืองมองไปยังหมีโลลิแล้วกลับมามองภาพที่สวยงามตรงหน้า จากนั้นก็หยุดส่งเสียงดัง

คนงานเริ่มติดตั้งเครื่องถ่ายวิดีโอใต้น้ำ ไม่น่าแปลกใจที่วินนี่บอกว่านี่เป็นเทคโนโลยีทันสมัย ฉินสือโอวดูผ่านๆ ก็ไม่สามารถเข้าใจวิธีการติดตั้งได้ เครื่องบันทึกวิดีโอนี้มีความซับซ้อนมา

เครื่องบันทึกวิดีโอนี้สามารถตรวจสอบน่านน้ำได้ ลักษณะของมันเหมือนกับโทรทัศน์สีขาวดำขนาดเล็กที่เป็นที่นิยมกันในช่วงปีแปดศูนย์เก้าศูนย์ มันมีกล้องอยู่หกด้าน คอยตรวจจับพื้นที่ทะเลทั้งหมด

ความไฮเทคของมันก็คือ ตราบใดที่มีวาฬอยู่รอบๆ ร่างกายอันใหญ่โตของพวกมันจะสร้างคลื่นขึ้นมา กล้องวีดีโอนี้จะตามรอยคลื่นไป และจะสามารถหาวาฬได้พบ หลังจากเข้าไปในฝูงวาฬแล้ว เนื่องจากแรงของคลื่น จะทำให้มันติดตามการว่ายน้ำของวาฬอยู่ตลอด และจะเก็บภาพของวาฬเสมอ

หลังจากที่ฉินสือโอวได้ฟังหลักการทำงานทั่วไป เขาก็ตื่นตาตื่นใจไปกับเทคโนโลยีไฮเทคในยุคนี้ คนงานกล่าวว่ามีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่านี้ที่กำลังเป็นที่แนะนำ มันสามารถควบคุมการลอยตัวแบบอัตโนมัติ ถ้าไม่มีไฟมันก็จะลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำเพื่อชาร์จพลังงานเองอัตโนมัติ…

“ซื้ออีกสักอันไหม? นอกจากนี้ยังมีรีโมทคอนโทรลด้วยนะ ตอนนี้ทีมสำรวจทางวิทยาศาสตร์ใต้ท้องทะเลก็ใช้เจ้าสิ่งนี้กัน ใครจะยังใช้หุ่นยนต์ใต้น้ำอีกล่ะ? ของพวกนั้นได้ถูกกำจัดไปแล้ว” วิศวกรคุมงานคนหนึ่งพูดขึ้นมา

เมื่อคนพวกนี้เคยได้ยินมาว่า ชาวเกาะแฟร์เวลเป็นคนรวย เป็นคนโง่ที่เงินเยอะ เวลาซื้อของไม่ซื้อของที่ดีแต่ซื้อของที่แพง เขาเลยอยากจะขายอะไรแพงๆ สักหน่อย

น่าเสียดายที่ฉินสือโอวทำเพียงยักไหล่ แล้วพูดออกมาว่า “ของเล่นอันนี้ใช้ทำอะไรได้?”

เขามีเพียงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็สามารถตรวจสอบทะเลได้ทุกซอกทุกมุมแล้ว

หลังจากติดตั้งเครื่องบันทึกวิดีโอเสร็จ คนงานก็นำมันไปไว้ในฝูงโลมาเพื่อทำการทดสอบ

เหล่าโลมาลอยอยู่บนผิวน้ำทุกวัน พวกมันปรับตัวให้เข้ากับแสงอาทิตย์ได้ ในช่วงที่อากาศดี พวกมันจะขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่ออาบแดด แม้ว่าหางจะขาดครึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย

การให้อาหารโลมาเป็นโครงการการท่องเที่ยวประจำเมือง นี่เป็นโครงงานที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสามฝ่าย โลมาได้กินอิ่ม เมืองได้รับเงิน นักท่องเที่ยวก็มีความสุข

หลังจากที่วางเครื่องบันทึกวิดีโอไปได้ครึ่งชั่วโมง คนงานก็หยิบมันขึ้นมา เขานำดิสก์เก็บข้อมูลออกมาเปิดในคอมพิวเตอร์ จากนั้นภาพวิดีโออันชัดเจนก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ

ฉินสือโอวผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาถามออกมาว่า “นี่คือสิ่งที่มันบันทึกได้เหรอ? มันไม่เชื่อมต่อกันเหรอ?”

คนงานคนนั้นมีสีหน้าเหยเก “คุณหมายถึงการส่งวิดีโอแบบไร้สายเหรอ? อ้อ ฟัค เป็นไปไม่ได้! นี่คือเครื่องบันทึกวิดีโอ ไม่ใช่จอภาพ!”

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท