ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1471 เพรียงเรือเริ่มปฏิบัติการแล้ว

บทที่ 1471 เพรียงเรือเริ่มปฏิบัติการแล้ว

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง “ล้อแกเล่นน่ะ ต่อให้ฉันยัดไส้เนื้อลงไปในไส้กรอก ก็จะใช้วัตถุดิบบ่มก่อนสักพัก เพราะถ้าแบบนี้รสชาติไม่ซึมเข้าไป เอาไส้ออกมาก็ไม่อร่อย”

เหมาเหว่ยหลงกลอกตามองบน แล้วพูดขึ้น “แกน่ะ ความต้องการมากไปหน่อยไหม วันๆ คิดแต่ว่าจะกินยังไง คุณค่าของชีวิตไปไหนหมดแล้ว?”

ฉินสือโอวยกปลาค็อดแอตแลนติดออกมาหนึ่งถัง พูดขึ้นว่า “ถ้าแกกล้าก็ไม่ต้องกินข้าวบ้านฉัน ปีใหม่แล้วถ้าไม่ให้คิดว่าทำอะไรอร่อย แล้วจะให้คิดอะไรล่ะ?”

มองเขาจัดการกับปลาค็อด เหมาเหว่ยหลงถามด้วยความสงสัยว่า “แกไม่ได้จะยัดไส้ไส้กรอกเหรอ? ทำไมมาเก็บปลาอะไรตอนนี้?”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไส้กรอกเนื้อปลา เคยกินไหม?”

เหมาเหว่ยหลงส่ายหน้า แล้วพูดว่านายมันช่างกินเก่งจริงๆ

ฉินสือโอวก็ไม่เคยกินไส้กรอกปลาหรอก แต่คิดว่ารสชาติน่าจะไม่เลว อย่างไรก็ตามเกี๊ยวไส้ปลาที่เขาเคยกินก็อร่อยกว่าไส้รสชาติอื่นๆ

เอาเครื่องในของปลาค็อดออกมา หลังจากนั้นก็วางที่นึ่งในหม้อ ปลาค็อกแต่ละตัวที่มีความยาวเมตรกว่าสุกอย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดหม้อออก กลิ่นหอมสดชื่นก็อบอวลไปทั่ว

เหมาเหว่ยหลงเข้าไปใกล้หม้อสูดดมกลิ่นหอมลึกๆ จงใจทำสีหน้ามึนเมาแล้วพูดว่า “รสชาติปลาของแกที่นี่ไม่เหมือนข้างนอก พวกเราแทบจะไม่กินอาหารทะเลที่แฮมิลตันเลย รสชาติช่างแตกต่างกับของแกที่นี่ลิบลับ”

ฉินสือโอวยิ้มด้วยความภูมิใจ พูดขึ้น “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นอาหารทะเลของฟาร์มปลาฉันจะแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่าได้ยังไง?”

เหมาเหว่ยหลงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ที่รสชาติของอาหารทะเลแกอร่อย นั่นก็เพราะว่ามันฟรี พอได้กินของฟรีแน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกับของที่เสียเงิน ใช่ไหมล่ะ?”

“แม่แกสิ ทำงาน!”

ฉินสือโอวหยิบปลาขึ้นมาหนึ่งตัว แล้วใช้มีดเฉือนเนื้อที่แหลมคมตัดหัวปลาทิ้ง แล้วเอาก้างปลาตรงกลางออก เนื้อปลานึ่งจนสุกแล้ว เนื้อนุ่มแต่ก็ยังมีความเหนียว นี่คือข้อดีของปลาทะเลในฟาร์มปลา ยังสามารถเคี้ยวรับสัมผัสของเนื้อปลาได้ ไม่เหมือนปลาที่คุณภาพไม่ดีบางชนิด พอเข้าปากแล้วก็เละเหมือนเต้าหู้

เมื่อมีดเฉือนหั่นลงไป เนื้อปลาครึ่งหนึ่งก็ถูกเฉือนออกมา เอาก้างปลาตรงกลางออก แค่นี้ที่เหลือก็จะเป็นเนื้อปลาชิ้นใหญ่แล้ว

ข้อดีอย่างหนึ่งของปลาค็อดคือ พวกมันไม่มีก้างปลาอันเล็กๆ มีแค่ก้างปลาใหญ่ตรงกลางลำตัว ดังนั้นชาวตะวันตกที่ใช้ส้อมในการรับประทานอาหารจึงชอบปลาทะเลแต่ไม่ชอบปลาน้ำจืด

ใส่เนื้อปลาลงในเครื่องบด ฉินสือโอวให้เบิร์ดมาช่วยใช้ทักษะมีดเร็ว หั่นพวกต้นหอม ขิง กระเทียมทำเป็นซอส เทเกลือและน้ำมันลงไป ผสมกับเนื้อปลาให้เข้ากัน หลังจากนั้นใส่ลงไปในเครื่องยัดไส้ไส้กรอก ใส่เปลือกหุ้ม ไม่นานก็มีไส้กรอกยัดไส้เนื้อปลาแต่ละเส้นออกมา

เมื่อทำไส้กรอกปลาไป 20 กว่ากิโล ฉินสือโอวก็ฆ่าหมูดำอีก 1 ตัว หลังจากทำความสะอาดแล้วก็หั่นเนื้อหมูเป็นเส้นๆ แล้วโรยด้วยเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ดีแล้ว ปรบมือแล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวรอซึมเข้าไปในเนื้อแล้วค่อยยัดไส้”

พ่อฉินยกเอาหัวหมูและพวกเครื่องในหมูไปทำความสะอาด หมูดำพวกนี้ถูกเลี้ยงในฟาร์มปลา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นการเลี้ยงในทุ่งหญ้า แต่ของที่พวกมันกินก็เป็นหญ้าและผลไม้ แม้จะโตช้า แต่เนื้อคุณภาพดี หลังจากที่ล้างพวกเลือดที่ติดกับหัวหมูและเครื่องในออก แม้แต่กลิ่นคาวก็ไม่มี เป็นของดีแน่นอน

หลังจากที่ต้มหัวหมูเพื่อเอาขนออกแล้ว ก็เอามาทำหัวหมูตุ๋นได้ ส่วนขาทั้งสี่ขาก็เก็บขึ้นมา ผ่านไปอีกสองวันเดี๋ยวก็ต้องฆ่าหมูอีก ถึงตอนนั้นค่อยเอามาทำขาหมู

เหมาเหว่ยหลงกำลังสูบบุหรี่แล้วก็ปรึกษาเขาเกี่ยวกับของปีใหม่ไปด้วย พอได้ยินว่าเดี๋ยวเขาจะฆ่าหมูอีกสี่ตัวก็ถอนใจแล้วพูดขึ้น “ได้กินข้าวขาหมูแล้ว ตั้งแต่เด็กฉันไม่เคยกินมื้อแบบนี้ ปีนี้จะกินให้อร่อยกับแกสักมื้อ”

ฉินสือโอวยิ้ม “แค่หนึ่งมื้อ? แค่หนึ่งมื้อได้ไง ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป ฉันจะให้แกกินข้าวขาหมูทุกวันเลย!”

คนที่จะกินข้าวขาหมูมีไม่เยอะในฟาร์มปลา นอกจากพวกเขาแล้วก็เป็นพวกชาวประมงเกิงจุนเจี๋ย สิบกว่าคน พวกเขาเพิ่งออกมาทำงานเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ปีนี้จึงไม่ได้กลับไปฉลองปีใหม่ แต่สำหรับโหวจื่อเซวียนและหวงเฮ่าเจียแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะลาหยุดและกลับบ้านเกิด

คนอื่นๆ อย่างแบล็คไนฟ์ ชาร์ค เป็นต้น พวกเขาไม่กินเครื่องในสัตว์

นอกจากไส้กรอกเนื้อปลา ไส้กรอกเนื้อหมู ฉินสือโอวยังทำไส้กรอกเนื้อกวางด้วย ในโรงน้ำแข็งมีกวางอยู่ครึ่งตัวที่ไม่ได้กินสักที ก็พอดีกับที่เอาเนื้อกวางออกมาทำไส้กรอก

นอกจากนี้แล้วยังมีไส้กรอกเต้าหู้ เขาอยากทำไส้กรอกเลือด แต่ท้ายสุดกลับทำออกมาไม่ดี เพราะสิ่งนี้ต้องใช้ทักษะ จึงได้แต่รอปีฆ่าหมูแล้วค่อยทำ

เป็นเวลานานแล้วที่ฉินสือโอวรอปีฆ่าหมูช่วงปีใหม่ เพราะตั้งแต่ปีที่แล้ว เขาก็ไม่เคยฆ่าหมูดำอีกเลย เนื้อหมูดำพื้นเมืองที่มาจากบ้านเกิดของเขาอร่อยกว่าหมูดำในแคนาดามาก แล้วเขาก็กลับบ้านน้อยมาก จึงได้แต่อาศัยรอให้พวกมันขยายพันธุ์ กินจนเกลี้ยงไม่ได้

ช่วงเวลาปีกว่าๆ หมูดำคู่หนึ่งมีออกมาสองครอก เนื่องด้วยอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่ละครอกจึงมีลูกหมู 10 กว่าตัว ในฟาร์มปลามีหมูดำ 40 กว่าตัวแล้ว ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจึงฆ่าหมูเพื่อเอามากินได้อย่างสบายใจ

ไส้กรอกแต่ละเส้นแขวนไว้อยู่นอกบ้านเพื่อตากให้แห้ง อากาศที่เกาะแฟร์เวลดีมาก จึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีฝุ่น สิ่งเดียวที่น่ากังวลก็คืออย่าให้ฉงต้า หลัวปอขโมยไปกินจนหมดได้

ตอนเย็นบัตเลอร์โทรหาฉินสือโอว แล้วบอกว่าร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่โตเกียวของขาด จึงให้เขาช่วยเตรียมส่งอาหารทะเลล็อตหนึ่งไปทางเครื่องบิน โดยเฉพาะปลาโอแถบอบแห้ง ให้เขาผลิตออกมาอีก

ในโรงน้ำแข็งมีปลาโอแถบแช่แข็งอยู่ ฉินสือโอวเอามันออกมาในวันรุ่งขึ้นและนำมันไปที่โรงงานแปรรูปเพื่อเริ่มทำ เมื่อมองเห็นปลาโอแถบแช่แข็งเข้าไปในเตาอบแล้วออกมาเป็นปลาตากแห้งที่แข็งราวกับเหล็ก ทันใดนั้นเขาก็เงียบนิ่งไป

เหมาเหว่ยหลงที่ตามมาช่วยถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมแกไม่พูดล่ะ?”

ฉินสือโอวเอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ ว่า “อยู่กับคนงี่เง่าอย่างแก สมองฉันเลยใช้การไม่ดีตามไปด้วยเลย ไส้กรอกของพวกเราจะตากไปเพื่อ ที่นี่มีเครื่อง แค่เอาใส่เข้าไปม้วนตลบรอบหนึ่ง อบจนแห้งก็กินได้แล้ว!”

เหมาเหว่ยหลงเองก็นิ่งไป แล้วถอนหายใจยาว “ฉันเพิ่งบอกว่ายังไง แกทั้งวันก็มัวแต่คิดถึงของกิน ไม่คิดเรื่องเป็นการเป็นงาน สมองดักดานหมดแล้ว!”

ฉินสือโอวแอบคิดในใจเรื่องงานเขามีเยอะมาก ไม่เพียงแต่ลงทุนในบอมบาร์เดียร์ เขายังกลายเป็นประธานของพันธมิตรที่มีภูมิหลังเป็นรัฐบาลอีก แค่ไม่อยากกระตุ้นแกถึงไม่ได้บอกไป

หลังจากที่ผลิตปลาโอแถบอบแห้งได้ออกมาหนึ่งตันแล้ว ฉินสือโอวเอาไส้กรอกวางเข้าไป ซึ่งอันนี้ไม่ต้องอบจนแห้งไม่ให้เหลือน้ำเลยเท่ากับปลาโอแถบขนาดนั้น เหวี่ยงในเครื่องหมุนสักครึ่งนาทีแล้วอบในเตาอบไฟฟ้าอีกครึ่งนาที ไส้กรอกก็จะแห้งกำลังดี

บัตเลอร์รีบนั่งเครื่องบินมา ฉินสือโอวบอกว่าอาหารทะเลเตรียมเสร็จแล้ว ขนขึ้นเรือส่งเมื่อไรก็ได้ หลังจากนั้นก็เชิญเขามาทานไส้กรอกที่เพิ่งทำออกมาด้วยกัน

คุณลุงหนวดดำยิ้มอย่างขมขื่น “กินๆๆ ผมอยู่ที่นี่กินได้หลายมื้อเลยนะ ครั้งนี้ส่งไปที่โตเกียวโดยใช้เครื่องบิน รวดเร็วอยู่แล้ว ผมเลยไม่รีบ”

ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมต้องใช้เครื่องบินส่งล่ะ? เพราะของแช่แข็งที่ส่งไปครั้งนี้เป็นพวกปลาโอแถบอบแห้งและพวกปูจักรพรรดิ ไม่ได้รีบสักหน่อย”

บัตเลอร์พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ตอนนี้มีภัยพิบัติที่อ่าวโตเกียว นายไม่รู้เหรอ? ตอนนี้มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับมหาสมุทรอยู่ 2 เรื่อง เรื่องที่หนึ่งคดีนองเลือดเรือบูลด็อกที่รัฐเมนที่นายประสบ เรื่องที่สองพบเพรียงเรือในท่าเรือหลัก 6 แห่งของโตเกียวถือเป็นภัยพิบัติ ปิดท่าเรือไปแล้ว”

เหมาเหว่ยหลงยินดีเมื่อคนอื่นเป็นทุกข์ “แกไม่ได้เคยบอกเหรอว่าคนญี่ปุ่นทำอะไรก็เข้มงวด โครงสร้างพื้นฐานก็เก่งมากไม่ใช่เหรอ? ตอนที่พวกเขาสร้างท่าเรือทำไมไม่ทำให้มันแน่นหนาหน่อยล่ะ? ครั้งนี้สนุกแน่ ฉันคาดว่าความเสียหายของกลุ่มท่าเรือในอ่าวโตเกียวต้องเกิน 100 พันล้านเหรียญสหรัฐแน่!”

เมื่อฟังคนสองคนพูด ฉินสือโอวตะลึงไป ถามขึ้น “อะไรนะ กลุ่มท่าเรือในอ่าวโตเกียวเกิดเรื่องเหรอ?”

บัตเลอร์มองไปที่เขาแล้วถามขึ้น “นายไม่รู้เหรอ?” ฉินสือโอวพยักหน้าตามสัญชาตญาณ คุณลุงหนวดดำยิ้มขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “มา พี่น้อง ฉันจะเล่าให้นายฟังอย่างละเอียดเลย”

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท