ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1474 ไวน์และเนื้อหอมหวน

บทที่ 1474 ไวน์และเนื้อหอมหวน

ฉินสือโอวถอดเสื้อคลุมนอกออกเหลือเพียงเสื้อขนแกะ พ่อฉินบอกว่า “อย่าถอดเสื้อสิ อากาศหนาวขนาดนี้ เดี๋ยวเป็นหวัดไปแล้วทำยังไง?”

ฉินสือโอวลากเขามาลองอยู่ดู เปลวไฟอันร้อนแรงเลียก้นหม้อตลอด น้ำมันร้อนๆ เดือดปุดๆ เมื่อยืนอยู่ข้างๆ จะรับรู้ได้ถึงไอคลื่นความร้อนที่กระทบมาเป็นระลอกๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อท่วม

หมูห้าตัวแบ่งออกมาได้เนื้อสัน 10 ชิ้นเป็นเนื้อสันนอกและเนื้อสันใน ซึ่งเป็นเนื้อสันแท้ๆ เนื้อมีความเหนียวนุ่ม หลังจากที่ล้างจนสะอาดแล้วจะเห็นเนื้อชมพูใส เหมาเหว่ยหลงหั่นเป็นแว่นๆ หมักด้วยเครื่องปรุงรสทิ้งไว้สักพักแล้วยกมาเพื่อไว้สำหรับเป็นเนื้อสันในทอด

นำเนื้อสันในคลุกในแป้งมันหนึ่งรอบให้ทั่ว แล้ววางลงในหม้อที่มีน้ำมันร้อน ไม่นานชิ้นเนื้อก็เริ่มลอยอยู่บนน้ำมันที่เดือดปุดๆ แล้วก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่าม เพียงเท่านี้ก็สามารถตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันได้แล้ว

ฉินสือโอวทอดเนื้อสันในสองชิ้นติดกัน หมูบ้านออกกำลังกายเยอะ เนื้อติดมันจึงมีน้อย ผลิตออกมาได้เนื้อไม่ติดมันมาก หมูสันในชิ้นหนึ่งหนักประมาณสองกิโลครึ่งถึงสามกิโล เมื่อทอดสองชิ้นจึงได้ออกมาเป็นจานใหญ่จานหนึ่ง

อาหารหลักคือเนื้อย่างและซี่โครงตุ๋น กระดูกชิ้นใหญ่เอามาใช้ทำซุป ในโรงน้ำแข็งจะมีผักป่าที่พ่อฉินและแม่ฉิน ไปเด็ดเก็บไว้ตอนช่วงฤดูใบไม้ร่วงยามที่พวกท่านเบื่อๆ ผักป่าเหล่านี้ได้รับความร้อนมาแล้ว รสชาติสดใหม่จะถูกเก็บไว้ในระดับอุณหภูมิสูงสุด ตอนนี้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำซุปต้มกระดูก รสชาติจะดีที่สุด

หลังจากที่ยัดไส้ในไส้กรอกเลือดเรียบร้อย ก็สามารถเอามาต้มกินได้เลย มัดปลายสองข้างให้แน่น แล้วใส่ลงไปทีละเส้น ต้มจนมันลอยขึ้นมาก็สามารถเอาขึ้นมากินได้

เมื่อเตรียมกับข้าวเหล่านี้จนเกือบเสร็จ ฉินสือโอวก็สั่งให้พวกทหารไปยกลังเหล้าขาวออกมาทีละลังซึ่งเป็นเหล้าดีทั้งนั้น เหล้าพวกนี้เป็นเหมาเหว่ยหลงที่เอามาได้ผ่านคอนเนคชั่น อย่างเหมาไถ อู่เหลียงเย่ อะไรก็มีทั้งนั้น

เกิงจุนเจี๋ยหยิบเอาเฟยเทียนเหมาไถขวดหนึ่งขึ้นมาดู แล้วถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “บอส คอนเนคชั่นของคุณนี่มันกว้างขวางจริงๆ นี่เป็นเหมาไถของแท้เลยนะ ไปเอามาจากไหนกัน?”

ฉินสือโอวชี้ไปที่เหมาเหว่ยหลง แล้วพูดขึ้น “ไอ้เนี่ย พ่อของเขาเป็นถึงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวง จะเอาของพวกนี้ไม่ง่ายหรอกเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงผลักเขาไปหนึ่งที ยิ้มแล้วด่าว่า “เชี่ย อะไรคือองครักษ์เสื้อแพร? ตำรวจของประชาชนรู้จักเปล่า?”

เกิงจุนเจี๋ยรู้สึกเกรงขึ้นมาทันที ตอนที่เขาเกษียณตัวเลือกแรกของเขาก็คือไปสถานีตำรวจที่บ้านเกิดเขา แต่หลังจากที่พยายามหาหน่วยงานเข้าผ่านคอนเน็คชั่นมากมายก็ไม่เจอหน่วยงานไหน บวกกับตอนนั้นภรรยาของเขาป่วยต้องใช้เงิน จึงทำได้เพียงไปทำงานที่ต่างประเทศ ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าคนที่นั่งกินข้าวหม้อเดียวกันอยู่นี้จะเป็นบุตรชายของหัวหน้าใหญ่ในสถานีตำรวจในเมืองหลวง

โดยปกติการจัดปาร์ตี้กินข้าวด้วยกันมักจะเป็นช่วงเย็น แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว อากาศหนาวเกินไป ฉินสือโอวจึงเปลี่ยนเวลามาเป็นกลางวัน พอเป็นแบบนี้อย่างน้อยก็มีแสงแดดส่องมาให้ความอบอุ่นได้หน่อย

เมื่อถึงร้านอาหาร ซี่โครงหมูจานใหญ่ถูกยกออกมาทีละหม้อ และยังมีไส้กรอกเลือดจานใหญ่ เนื้อทอดจานใหญ่ บาร์บีคิวชิ้นใหญ่ หนังหมูพริกดองชิ้นโต กระจายไปตามโต๊ะต่างๆ

ฉินสือโอวตักซุปใส่ชามแล้วโรยด้วยผักชีและต้นหอม กลิ่นหอมสดชื่นของผักป่าผสมผสานกับความเข้มข้นหอมหวนของซุปกระดูกหมู เขาตักแล้วส่งให้เกิงจุนเจี๋ย “มา พี่เกิง ชิมซุปที่ตุ๋นโดยฝีมือบอสดู”

เกิงจุนเจี๋ยประหลาดใจในความใจดีของเขา ยื่นสองมือไปรับชามซุปแล้วซดลงไปอึกใหญ่ หลังจากซดแล้วเขาก็เช็ดเหงื่อที่ผุดตรงหน้าผากเขาแล้วอุทานว่า “สบายจริงๆ!”

ฉินสือโอวมองด้วยสายตาตกตะลึง “เชี่ย ไม่ร้อนเหรอ?”

เกิงจุนเจี๋ยหัวเราะ “ซุปที่บอสให้ ต้องซดจนเกลี้ยงอยู่แล้วสิครับ!”

ผู้ชายที่เป็นหนุ่มใหญ่ในร้าน ด้านหน้าทุกคนต่างมีเหล้าขาวหนึ่งขวดอยู่ในมือ ฉินสือโอวใช้แก้วขนาดสองเหลี่ยง[1]ใส่เหล้า ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “พี่น้องทั้งหลายมาอยู่กับฉันก็เป็นเวลานานแล้ว ฉันไม่เคยจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับให้เลย ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการต้อนรับโดยเฉพาะให้กับทุกคนนะ มา ชนแก้ว!”

เกิงจุนเจี๋ยยืนขึ้นมาแล้วตะโกนขึ้น “ยืนขึ้น!”

คนที่เหลืออีก 9 คนยืนขึ้นมาพร้อมกัน ยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับบอส!”

เสียงขึ้นๆ ลงๆ ไม่พร้อมเพรียงกัน ได้รับการฝึกจากกองทหารต่างกัน

ฉินสือโอวกวักมือเรียกให้เริ่มรับประทานอาหารได้ เขาเลือกซี่โครงมากินชิ้นหนึ่ง

ปกติเขากินเนื้อสัตว์ไม่เยอะ ถึงแม้ว่าเกาะแฟร์เวลจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็เหมือนกับเมืองใหญ่ๆ ในแคนาดา ผู้คนจะพิถีพิถันในการผสมผสานกันระวังเนื้อสัตว์และผัก และพวกธัญพืชหยาบ แต่ละมื้อจะกินอะไร วินนี่ต้องวางแผนก่อน ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่เขาจะหาโอกาสแบบนี้ในการกินเนื้อได้ไม่จำกัด

รสชาติของเนื้อซี่โครงหมูบ้าน หมูเลี้ยงเทียบไม่ได้เลย เพราะหมูพวกนี้ถูกเลี้ยงด้วยหญ้าที่ไร้ซึ่งมลภาวะหรือแม้กระทั่งผลไม้เป็นเวลาหนึ่งปี เนื้อซี่โครงไม่ติดมันแต่ก็ไม่แห้งเกินไป ชิ้นเนื้อตุ๋นหอมอบอวลแต่ไม่เลี่ยน กินคำใหญ่ทีละคำไปเรื่อยๆ ช่างมีความสุขเสียจริง

วินนี่เตรียมถุงมือพลาสติก ส่วนคนกลุ่มหนึ่งกำลังลงมือหยิบมากิน ฉินสือโอวคว้าขวดเหล้าพาเกิงจุนเจี๋ยไปยกแก้วชนทีละคน พวกเหล่าทหารต่างรู้สึกไม่ดี จะให้บอสมายกแก้วชนก่อนได้อย่างไร พวกเขาต้องให้เกียรติก่อน

ฉินสือโอวบอกว่า “เมื่อมาถึงฟาร์มปลาแล้ว ก็แตกต่างจากกองทัพ พวกเราดูแลแค่ผลประโยชน์ต่อกลุ่มเราที่นี่ แต่ว่าทุกผลประโยชน์เป็นของฉัน ครั้งแรกที่มาร่วมทานอาหารด้วยกัน ฉันเป็นพี่ใหญ่ก็ควรนำพวกเราก่อน ภายหลังฟาร์มปลาจะเป็นยังไงก็ดูที่ผลงานของพวกเราแล้ว”

คนทั้งกลุ่มตบไปที่หน้าอกตัวเองเสียงดังแปะ แปะ แล้วพูดขึ้นว่า “บอส วางใจเถอะครับ บอสพูดอะไรก็เป็นไปตามนั้น บอสชี้สั่งการไปที่ไหน พวกเราก็จัดการที่นั่น!”

สำหรับพวกเขาการที่มาอยู่ที่ฟาร์มปลาต้าฉินได้ พวกเขาก็พึงพอใจมากแล้ว เงินเดือนของเดือนธันวาคมและมกราคมจ่ายตรงตามเวลา ถึงแม้ว่าปีที่แล้วพวกเขาจะทำงานไปแค่เดือนเดียว แต่กลับได้โบนัสด้วยเล็กน้อย ซึ่งสำหรับคนทำงานเช้าชามเย็นชามนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กินดื่มอยู่ที่ฟาร์มปลาดีไปหมด ที่พักของชาวประมงได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา บ้านของพวกเขาเองยังไม่ดีเท่านี้เลย ปกติพอทำงานเสร็จยังไปแช่น้ำร้อน หรือล่าสัตว์ได้อีกด้วย ใช้ชีวิตแต่ละวันมีความสุขกว่าตอนอยู่ที่จีนเยอะ

เกิงจุนเจี๋ยพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป สุดท้ายยังบอกอีกว่า “ผมกับพี่น้องยังพูดกันเองอยู่เลยว่า มาที่ฟาร์มปลาไม่ได้มาทำงานแต่มาพักผ่อน”

“เที่ยวพักผ่อนยังไม่ดีเท่านี้เลยด้วยซ้ำ” พวกทหารหัวเราะกันขึ้นมา

ฉินสือโอวตบไหล่พวกเขา แล้วพูดขึ้น “ฉันก็สบายใจละ ถ้าพวกนายคิดว่าที่นี่ดี พี่ๆ น้องๆ ทำงานที่นี่ดีๆ พวกเราไปแอบสืบจากพวกชาวประมงที่อยู่มานานได้ ฉัน ฉินดูแลลูกน้องและพี่ๆ น้องๆ ดีมากจนไม่ต้องบรรยายเลย!”

เกิงจุนเจี๋ยพูดขึ้น “เรื่องนี้บอสอย่ากังวลเลย เก้าคนนี้ผมจะคอยดูแลให้ดี ถ้าเกิดใครคิดสองจิตสองใจหรือเล่นอุบายอะไร ผมจะรายงานบอสอย่างแน่นอน คนประเภทนี้จะต้องไสหัวออกไปทันที!”

“ใช่ ใครแอบขี้เกียจ จงออกไป!” พวกทหารก็ตะโกนขึ้นมาเช่นกัน

ฉินสือโอวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดว่า “มา หมดแก้ว!”

เมื่อกลับมาตรงที่นั่ง สีหน้าของเหมาเหว่ยหลงเต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง “เดี๋ยวกลับไปฉันก็จะรับสมัครคนมีความสามารถเหมือนกัน แม่งเอ๊ย ปีที่แล้วเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ในที่สุดก็เอามาขยายการผลิตได้แล้ว”

ฉินสือโอวพูดขึ้น “แค่ฟาร์มเล็กๆ ของแก จะหาคนอะไรมาเพิ่ม? ตัวเองทำเองไม่ไหวเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงร้องฮึ “ฉันหาคนเพิ่มแกจะมาห้ามได้เหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา ตบไปที่ไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “โคโกโร่ แกอยู่บนที่ของฉัน ยังกล้าไม่มีเหตุผลแบบนี้เลยเหรอ? ฉันว่าแกนี่มันขี้โม้จริงๆ”

เขาตบไปที่โต๊ะแล้วพูดกับเกิงจุนเจี๋ยว่า “ฉันจะบอกอะไรพวกพี่ๆ น้องๆ ให้ ถึงเวลาทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาแล้ว เทเหล้าให้คุณเหมาของเรา ถ้าเขาไม่สลบพวกนายก็ต้องสลบเอง!”

เหล้าที่เหมาเหว่ยหลงดื่มลงไปกลายเป็นเม็ดเหงื่อผุดออกมา พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “เชี่ย ฉินแกทำแบบนี้ไม่ได้…”

เกิง จุนเจี๋ยเปิดอู่เหลียงเย่สองขวดแล้วนั่งกระเถิบมา “คุณชายเหมา เป็นอะไรเหรอ พวกเราเริ่มยังไงดีครับ?”

……………………………………….

[1] 1 เหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท