ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1478 เป้าหมายในวันปีใหม่

บทที่ 1478 เป้าหมายในวันปีใหม่

ฉินสือโอวมองไปที่แฮมเล็ตทีหนึ่ง แม่งเอ๊ยช่วยหมอนี่ให้ได้ตำแหน่งไม่ถือว่าเสียเปล่าจริง ถึงแม้ว่าหลังจากได้ตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองเซนต์จอห์นแล้วไม่เคยช่วยเหลืออะไรเขามาก แต่ช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ เขากลับไม่ผลักไสเขาให้จมลงไปอีก

แฮมเล็ตแอบขยิบตาให้เขา ฉินสือโอวสงสัย พี่ชายคนนี้เป็นโรคกระจกตาอักเสบหรือเปล่า? ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ คุณนายกเทศมนตรีขยิบตาให้เขาหลายครั้งแล้ว

เมื่อเป็นแบบนี้ แฮมเล็ตจึงได้แต่รู้สึกเจ็บปวด ที่เขาขยิบตาให้นายนี่ก็เพราะว่าอยู่ข้างนายโอเคไหม?

เอลวินและคนอื่นๆ มองสบตากัน พยายามชักชวนด้วยความหวังดีต่อ หวังว่าฉินสือโอวจะสามารถขยายทรัพยากรอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน เพื่อให้การประมงของนิวฟันด์แลนด์มีชื่อเสียงตามไปด้วย

นอกจากนี้แล้ว ภายหลังเอลวินยังพูดออกมาตรงๆ ด้วยว่า “พวกเรารู้ว่าสิ่งนี้อาจจะส่งผลกระทบต่ออาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน แต่ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งได้จริงไหม? สิ่งที่ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ต้องการมีเพียงช่องทางที่เหมาะสม พวกเราสามารถเล่นลูกค้าระดับกลางและระดับล่างได้ เพียงเท่านี้อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินก็จะสามารถครองตลาดอาหารทะเลได้ทั้งระดับบนกลางและล่าง การครองตลาดอาหารทะเลของอเมริกาเหนือก็ไม่ใช่ฝันอีกต่อไป”

ฉินสือโอวขี้เกียจที่จะพูดเยอะ จึงตอบไปตรงๆ ว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้เลยครับ คุณผู้ว่าการ อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินไม่ใช่ของผม แต่เป็นทรัพย์สินร่วมของผมและหุ้นส่วนอีกคนหนึ่ง ผมคนเดียวไม่มีอำนาจในการจัดการใดๆ นอกจากนี้แล้ว พวกเรากำลังติดต่อธุรกิจกับทางโรงแรมฮิลตันกรุ๊ปอยู่ ซึ่งทางเราก็หวังที่จะร่วมมือกัน ดังนั้นแล้วจะควบตลาดหมดไม่ได้หรอกครับ โรงแรมฮิลตันกรุ๊ปไม่ร่วมมือกับลูกค้าแบบนี้แน่นอนครับ”

อย่างไรก็ตามเอลวินไม่สามารถมายุ่งกับเกาะแฟร์เวลได้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่กลัวที่จะทำผิดต่อเขา มีอะไรก็พูดไปตรงๆ ไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น

การใช้ชีวิตที่แคนาดาก็มีข้อดีตรงนี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับความกดดันจากรัฐบาล โดยเฉพาะคนที่มีอนาคตรุ่งโรจน์อย่างฉินสือโอว ถ้าหากรัฐบาลกล้าใช้วิธีสกปรกอะไรมาเล่นงานเขา ถ้าเช่นนั้นทุกคนก็เจอกันบนหน้าหนังสือพิมพ์ได้เลย หลังจากนั้นก็ให้ทางศาลเป็นคนตัดสิน

ความเป็นธรรมของกฎหมายในแคนาดายังถือว่ามีความแข็งแกร่งมาก กฎหมายของประเทศที่มีการอพยพคนเข้าออก ถ้าไม่แข็งแกร่งก็ถือว่าอันตรายมากเช่นกัน

สุดท้ายเมื่อเห็นว่าฉินสือโอวไม่ยอมถอยให้ เอลวินจึงทำได้เพียงยอมถอยเอง “ฉิน พวกเรารู้ว่าพันธมิตรนี้ในเมื่อมีชื่อว่าพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ มันก็ควรจะให้บริการกับการประมงของนิวฟันด์แลนด์ของเรา ใช่ไหม?”

ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ ถึงจะชื่อนี้ แต่จริงๆ แล้วพันธมิตรนี้ก็ให้บริการกับกรมประมงและการประมงทั่วทั้งแคนาดา แต่หน่วยงานหลักในการสนับสนุนคือน่านน้ำนิวฟันด์แลนด์โดยมีเป้าหมายคือฟื้นฟูความรุ่งเรืองของฟาร์มปลาใหญ่ๆ ในนิวฟันด์แลนด์

หรือพูดได้ว่า สิ่งที่ฉินสือโอวต้องทำก็คือจัดการความสัมพันธ์ของเจ้าของฟาร์มปลาส่วนบุคคลในแคนาดาอย่างเหมาะสม ทำให้ข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้ และพยายามรับประกันว่าจะร่ำรวยไปด้วยกัน

สิ่งที่เอลวินต้องการสื่อจากคำพูดพวกนี้กลับคือทำให้การประมงในนิวฟันด์แลนด์เกิดการพัฒนาหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ทำให้การแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ระดับชาติเกิดขึ้นจริง พยายามที่จะรับประกันให้เจ้าของฟาร์มปลาร่ำรวยขึ้นมาก่อน

พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เอลวินอยากให้เขาใช้เส้นสาย ใช้ทรัพยากรของกรมประมงในการพัฒนาการประมงของนิวฟันด์แลนด์ ซึ่งก็เป็นการช่วยเขาในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

ฉินสือโอวแอบพูดในใจ ผมมันโง่เง่าเหรอถึงได้ทำแบบนั้น คุณคิดว่าผมยังเด็กเลยไม่มีสมองเรื่องการเมืองพวกนี้หรือไง? ผมน่ะสมองก็คิดอะไรเรียบง่ายจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าผมมีภรรยาคนเก่ง ภรรยาผมอธิบายอย่างชัดเจนถึงข้อดีและข้อเสียตั้งแต่ตอนที่ผมตัดสินใจจะเป็นผู้นำพันธมิตรนานแล้ว

พันธมิตรการประมงนี้คิดขึ้นโดยกรมประมง ฉินสือโอวไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ให้เกียรติกับแค่กรมการประมงก็เพียงพอแล้ว เขาเป็นประธานพันธมิตรที่แมทธิว จินเป็นคนแต่งตั้งขึ้นมา นับประสาอะไรกับคนอื่น แม้แต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธก็ไม่มีผลผูกมัดอะไรตัวเขาได้

แน่นอนว่านี่คือจรรยาบรรณ ทำน่ะทำได้ แต่พูดแบบนี้ไม่ได้ ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมยังยืนยันคำเดิมครับคุณผู้ว่าการ นี่คือบ้านเกิดของผม ใครจะไม่อยากให้บ้านเกิดของตัวเองไม่ดีล่ะครับ?”

เอลวินคิดว่านี่คือคำมั่นสัญญา คนอื่นๆ ก็คิดว่านี่คือคำมั่นสัญญา ดังนั้นทุกคนจึงยิ้มออกมา

ฉินสือโอวก็ยิ้มเช่นกัน ใช่ ใครจะไม่หวังให้บ้านเกิดตัวเองดีขึ้น? แต่น่าเสียดายที่นิวฟันด์แลนด์ไม่ใช่บ้านเกิดของเขา อย่างน้อยๆ เขาก็ยังไม่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านเกิด

ตั้งแต่วันที่ทำเรื่องอพยพมาวันนั้น เขาก็เข้าใจว่าตัวเองเป็นเหมือนแหน ไม่มีบ้านเกิดอีกต่อไป ดังนั้นเขาถึงให้ความสำคัญกับฟาร์มปลา ให้ความสําคัญกับเกาะแฟร์เวลมาก เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่เขามี!

เอลวินและคนอื่นๆ ไม่ได้มาอวยพรปีใหม่เขา แต่มาเจรจาเกี่ยวกับพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์และการลงทุนทางเศรษฐกิจ พอพูดคุยเรื่องเหล่านี้เสร็จ พวกเขาจึงโบกไม้โบกมือเตรียมจากลาไป

ฉินสือโอวส่งพวกเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์ รอจนเรือยอชต์ของพวกเขาจากไปแล้ว เขารีบเปิดแชมเปญขวดหนึ่งทันทีฉลองที่ส่งคนเหล่านี้กลับไปได้

พวกเด็กวัยรุ่นก็เฉลิมฉลองการจากไปของพวกเขา วันแรกของเทศกาลปีใหม่ต้องมีให้ซองแดงอั่งเปา แต่เพราะการมาของพวกเขาทำให้ฉินสือโอวต้องเลื่อนกิจกรรมนี้ออกไป แต่นี่กลับเป็นกิจกรรมที่พวกเขารอคอยมากที่สุด

เด็กๆ สองสามคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ เงยหน้ามองฉินสือโอว ราวกับท่าทางของโลลิต้าของฉงต้าที่มองหน้าวินนี่อยากให้เธอให้นมมัน

ซองแดงอั่งเปาถูกเตรียมไว้นานแล้ว ฉินสือโอวหยิบออกมา พวกเด็กๆ ต่างก็ถูมือไปมาเตรียมรับซอง แต่ฉินสือโอวกลับถอยห่างออกไป แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนเอาซองแดงนะ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก? มาพวกเด็กๆ เอากระดาษมาหนึ่งแผ่น เขียนเป้าหมายปีนี้ของตัวเอง พอปีหน้าตอนที่แจกซองแดง ฉันจะดูว่าใครทำไม่ถึงเป้า ก็อดได้ซองแดง!”

“ต้องเขียนอะไรเหรอครับ?” กอร์ดอนถามอย่างกังวล

“วางใจได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเรียน” ฉินสือโอวชี้ไปที่มิเชล แล้วพูดขึ้น “เช่น นำทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนคว้ารางวัลมาสักรางวัล หรือเพิ่มการยิงสามแต้มได้เป็นเท่าไร แบบนี้ก็ได้แล้ว”

พวกเด็กๆ เข้าใจแจ่มแจ้ง ต่างหยิบกระดาษมาคนละแผ่นและลงมือเขียนอย่างมีความสุข

ของมิเชลมีสองข้อ นำทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนชนะการแข่งขันระดับรัฐระดับ 7 ถึง 9 และยิงสามแต้มเพิ่มขึ้นถึง 90% ฉินสือโอวดูแล้วรู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจมาก จึงให้ซองแดงเขาหนึ่งซองใหญ่

มิเชลเปิดซองดู ตาหรี่ลงจนเหมือนเส้นเส้นหนึ่ง แนบซองแดงไว้กับหน้าอกแล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ขอบคุณมากครับฉิน พระเจ้า นี่เป็นเงินที่ผมได้เยอะมากที่สุดตั้งแต่เล็กจนโตเลย”

เป้าหมายของเชอร์ลี่ย์ก็มีสองข้อ เข้าร่วมการแข่งขันขี่ม้าสมัครเล่นในกลุ่มสตรีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐนิวฟันด์แลนด์ และคว้าเหรียญรางวัล อีกอย่างคือเรียนรู้เพลงไวโอลินใหม่ได้ 12 เพลง

ฉินสือโอวก็ให้เธอซองแดงหนึ่งซองใหญ่เช่นกัน จนได้เห็นของไวส์ ฉินสือโอวนิ่งไป ชายผู้กล้าหาญต่อสู้อย่างเป็นธรรม 12 ครั้ง…

“อาจารย์ครับ ยิ่งความสามารถมากความรับผิดชอบก็มีมากตาม ผมคิดว่าผม…” ไวส์กำหมัดแน่นอย่างมั่นใจและเริ่มแสดงความคิดเห็น

“อันนี้ไม่ได้ เปลี่ยนอันใหม่” ฉินสือโอวตัดบทไวส์ผู้กล้าอย่างไร้ความปรานีโดยไม่ปล่อยให้เขาพูดจบแสดงความมุ่งมั่นของเขา

ร่างกายของไวส์ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแล้ว แต่ไวส์ก็ยังป่วยอยู่ ฉินสือโอวจึงไม่สามารถปล่อยให้เขาเสี่ยงสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ความสามารถในการสร้างเม็ดเลือดของเขาเป็นปัญหามาโดยตลอด แล้วถ้าหากปล่อยให้เขาไปเป็นผู้กล้าต่อสู้อย่างเป็นธรรม แล้วถูกคนทำร้ายอย่างแรงจนเลือดออกจะทำอย่างไร?

เขารู้สึกว่า จำเป็นต้องสอนไวส์ให้ปกป้องตัวเองได้แล้ว

ไวส์ส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง แต่ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเป้าหมาย เรียนรู้สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร!

ปากของฉินสือโอวกระตุกสามครั้ง แล้วเขาก็จับไหล่ของไวส์ พูดขึ้นว่า “มานี่ลูกศิษย์ตัวน้อย อาจารย์จะคุยเรื่องผู้กล้าในการต่อสู้หน่อย 12 ครั้งน่ะไม่ได้นะ เปลี่ยนเป็น 6 ครั้งละกัน…”

“แต่ผมคิดว่าเรียนสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรก็ดีเหมือนกันนะครับ” ไวส์เปลี่ยนใจแล้ว

ฉินสือโอวพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไร ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!”

………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท