ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1476 สวัสดีปีใหม่

บทที่ 1476 สวัสดีปีใหม่

การติดตั้งของบ้านกระเบื้องเหล็กสีเป็นไปอย่างว่องไว วิลและทีมงานของเขาใช้เวลา 1 วันในการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ และใช้เวลาวันครึ่งก็สามารถติดตั้งบ้านสำเร็จเรียบร้อย

โครงหลักของบ้านหลังนี้ใช้เหล็กรูปตัว H และเหล็กรางน้ำ ใช้ผนังแซนวิชเป็นวัสดุผนังกำแพง แล้วทำการผสมผสานเชิงพื้นที่ตามซีรีส์แบบจำลองมาตรฐาน ส่วนประกอบแต่ละส่วนใช้เกลียวหรือเชื่อมโลหะในการยึด ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งง่ายดายสำหรับทีมก่อสร้างขนาดใหญ่

แต่ที่ใช้เวลา 4 วันกว่ากว่าจะสร้างเสร็จ นั่นก็เพราะว่าฉินสือโอวไม่ได้เลือกกระเบื้องหลังคาแบบลวกๆ ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนบ้านพักคนงาน ดูไม่มีระดับ

เขาขอให้วิลเปลี่ยนผนังสองด้านของบ้านกระเบื้องเหล็กสีเป็นกระจกนิรภัย แล้วทาสีบนผนังด้านหลังที่มีสีขาว ส่วนด้านหน้าแขวนด้วยพริกแดงและข้าวโพดสีเหลืองอร่ามเป็นช่อๆ คู่กับข้าวฟ่างสีแดง เมื่อมองไปแล้วดูมีระดับขึ้นมาก

ท้ายสุดแล้วครอบครัวที่ลงชื่อว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้คืนเลี้ยงส่งปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีทั้งหมด 28 ครอบครัว ทั้งหมดมี 155 คน เกินจากที่คาดไว้ 180% รวมกับคนงานในฟาร์มปลาอีก ก็เกือบ 200 คนแล้ว!

หลังจากที่พ่อฉินแม่ฉินเข้ามาแล้วเห็นคนจำนวนมากมายขนาดนี้มาฉลองคืนส่งท้ายปีด้วยกัน แน่นอนว่าพวกเขามีความสุขมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักใคร แต่ก็เป็นคนจีนทั้งหมด พูดอะไรก็ฟังออก อยู่ต่างประเทศแล้วเจอคนบ้านเดียวกันแบบนี้ก็สุขใจเพียงพอแล้ว

วินนี่เมื่อพูดแล้วก็ต้องทำได้ เชอร์ลี่ย์จึงถูกจัดให้เล่นไวโอลินด้วย

ตรงกลางห้องมีเวทีตั้งอยู่ เชอร์ลี่ย์สวมชุดกระโปรงยาว พวงหรีดดอกไม้สวมอยู่บนศีรษะของเธอ ผมสีบลอนด์ของเธอราวกับแสงอาทิตย์กระจายอย่างนุ่มสลวยอยู่บนชุดสีขาวสะอาดตา เธอสวมถุงมือสีขาว หลังจากที่ยกไวโอลินขึ้นมา มันไม่ใช่แค่ความงดงามธรรมดา แต่ยังแฝงไว้ถึงความสง่า ราวกับนางฟ้าน้อยๆ ตกลงมาสู่โลกมนุษย์

ในบรรดาครอบครัวที่มามีหลายครอบครัวที่พาลูกเด็กเล็กแดงมาด้วย พวกเขาต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเชอร์ลี่ย์ พวกเด็กผู้ชายต่างคิดไม่ซื่อ ส่วนเด็กผู้หญิงก็รู้สึกอับอายว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ ความแตกต่างมีมากอย่างเห็นได้ชัดเจนยากที่จะไล่ล่า

เชอร์ลี่ย์ก้มโค้งคำนับ ผมนุ่มสลวยลื่นไหลลงมาราวกับน้ำตก เธอไม่ได้หวีผม ผมที่ปกคลุมลงมาปิดใบหน้าส่วนหนึ่งให้ความรู้สึกถึงความงดงามอันลี้ลับ แค่ยืนต่อหน้าผู้คนยังไม่ทันเล่นไวโอลินก็สามารถดึงดูดทุกคนได้ขนาดนี้แล้ว

หลังจากที่ไวส์เห็นก็คิดไม่ซื่อเช่นกัน เขาเอามือทั้งสองลูบคางไปมาแล้วพูดอย่างโง่เขลาว่า “อาจารย์ ผมอยากจะพาเชอร์ลี่ย์ไปเที่ยวรอบโลก ขี่ม้าด้วยกันอย่างสนุกสนาน…”

ฉินสือโอวดีดนิ้ว พูดด้วยความโมโหว่า “เราเจ้าเด็กน้อย รู้ว่าอะไรคือเที่ยวรอบโลกไหม? เรียนให้ดี ฝึกวิชาการต่อสู้ให้เก่งก่อน ฝึกให้ร่างกายแข็งแรงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

กอร์ดอนก็พูดอย่างจริงใจว่า “ไวส์ นายอย่าได้เคลิ้มไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของเชอร์ลี่ย์เชียวนะ เธอเป็นแม่มด ส่วนนายก็เป็นผู้นำด้านศิลปะการต่อสู้ หรือว่านายอยากจะจมไปกับแม่มดด้วยกัน? นายอยากจะเสียสละอนาคตที่ดีของตัวเองเพื่อแม่มดคนหนึ่งอย่างนั้นเหรอ?”

ไวส์กล่าวอย่างเศร้าๆ ว่า “โชคชะตาเล่นตลกจริงๆ ด้านหนึ่งก็คือความภักดีของพี่น้อง อีกด้านหนึ่งก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริง อาจารย์ ผมทรมานเหลือเกิน!”

ฉินสือโอวทรมานกว่า เขารู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นเอาศิลปะการต่อสู้มาหลอกไวส์ เขามีลางสังหรณ์ว่า ชีวิตที่เหลือของเขาคงต้องรับความทรมานจากวีรบุรุษไวส์ผู้นี้ไปตลอด

บนเวทีมีลำโพงตั้งอยู่ เชอร์ลี่ย์เริ่มสีไวโอลิน เสียงเพลงจากไวโอลินที่ไพเราะและคมชัดก็ดังไปทั่วงานผ่านลำโพงขยายเสียง เพียงชั่วพริบตาเดียว ผู้คนเกือบ 200 คนเงียบสงัด ไม่ใช่เพราะเสียงเพลงที่งดงาม หลักๆ แล้วก็ยังคงเป็นเพราะเชอร์ลี่ย์ช่างงดงามเสียเหลือเกิน

เมื่อเชอร์ลี่ย์บรรเลงจบ จอขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่กลางอากาศก็เริ่มฉายภาพคืนวันในฤดูใบไม้ผลิที่อัดไว้เรียบร้อยแล้ว ยังมีความแตกต่างของเวลาอยู่ มื้ออาหารส่งท้ายปีนี้จัดในช่วงค่ำคืน ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วที่ประเทศจีนตอนนี้วันปีใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไร เพราะคนทั้งอเมริกาเหนือก็ฉลองกันแบบนี้ บ้างก็ทำตามพวกเขา

มื้อหลักของอาหารเย็นวันนี้เน้นผักและอาหารทะเล ซึ่งแตกต่างจากสองสามวันก่อน กุ้งล็อบสเตอร์ขนาดยาวเท่าแขนถูกยกออกมาทีละตัวๆ ทำให้พวกนักท่องเที่ยวมีความสุขมากๆ

โต๊ะของฉินสือโอวไม่ได้มีการรับประทานอาหาร เพราะช่วงสองสามวันมานี้กินข้าวขาหมูมากเกินไป ไขมันที่อยู่เต็มท้อง กินผลไม้ลงไปนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว

เกิงจุนเจี๋ยพานายทหารทั้งเก้านั่งลงที่โต๊ะ พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ยังคงกินอย่างมูมมาม ถึงแม้ว่าปกติแล้วพวกเขาก็มีกินอาหารทะเลเช่นกัน แต่ไม่ได้ทำออกมาพิถีพิถันขนาดนี้

หลังจากที่ฉินสือโอวทานผลไม้ไปหนึ่งจานก็ไม่ได้ทานอย่างอื่นอีกเลย ส่วนเหมาเหว่ยหลงก็ยังคงกินผลไม้แห้งหนุบหนึบอยู่ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกชื่นชม

”โคโกโร่ แกมีท้องใหญ่เหมือนหมาแล้วเนี่ย กินเก่งชะมัด พ่อแม่แกต้องเสียเงินไปไม่น้อยเลยนะในการเลี้ยงแกให้โต”

เหมาเหว่ยหลงกลอกตามองบนบอกให้เขาไสหัวไป ฉินสือโอวบอกว่ากินอิ่มแล้วพวกเรากลับไปเล่นไพ่นกกระจอกกัน

เหมาเหว่ยหลงชอบความคิดนี้ พวกทหารก็ชอบเช่นกัน พวกเขาจึงรีบกินให้อิ่มโดยไว ออกจากงานโดยมีฉินสือโอวนำไป กางโต๊ะอยู่ในห้องนั่งเล่น คนที่เล่นไพ่นกกระจอกเป็นก็เรียงไพ่เป็นแถว ส่วนคนที่เล่นไม่เป็นก็หันไปเล่นโต้วตี้จู่แทน

วินนี่จัดงานปาร์ตี้จนถึงห้าทุ่มกว่า หลังจากที่พวกเธอกลับมา พวกฉินสือโอวยังคงเล่นกันดุเดือด เธอรู้ว่าคนพวกนี้คืนนี้คงไม่ได้หลับไม่ได้นอน จึงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วพาเสี่ยวเถียนกวาเข้านอน

โลลิต้าของฉงต้าตามติดวินนี่เป็นขบวนราวกับหนอน วินนี่ไปไหนมันก็ไปที่นั่น ตอนที่ขึ้นไปบนตึก เสี่ยวเถียนกวาอาศัยจังหวะที่หม่าม๊าไปทันสังเกต หันหลังกลับไปผลักโลลิต้าของฉงต้า อยากให้มันไสหัวไป

วินนี่รีบอุ้มมันขึ้นมา ทะเลาะกันตรงบันไดก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร

ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ไม่เพียงแค่เล่นไพ่ป็อก เล่นไพ่นกกระจอก พอเลยเที่ยงคืน พวกเขาก็เริ่มห่อเกี๊ยว

ทหารทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำเกี๊ยว ซึ่งก็เป็นอานิสงส์จากตอนที่พวกเขาฝึกอยู่ในกรมทหาร เกิงจุนเจี๋ยทอดถอนใจ “เมื่อก่อนตอนปีใหม่ แต่ละชั้นจะมีจัดการแข่งขันห่อเกี๊ยว ชั้นเรียนที่ผมนำมักจะได้ที่หนึ่งจากกองทัพเรือเป่ยไห่เสมอๆ”

พวกทหารหัวเราะขึ้นมา แล้วก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “นายอะ ไม่ต้องโม้แล้ว ทุกคนก็มาจากกองทัพเรือ สหายในกองทัพเรือก็มี แต่พวกเรากลับไม่เคยได้ยินชั้นเรียนที่เก่งกาจของนายเลย”

ทหารฆ่าได้หยามไม่ได้ สีหน้าของเกิงจุนเจี๋ยเปลี่ยนทันใด พูดขึ้น “มา แบ่งกลุ่มแข่งกัน มาดูว่าใครห่อได้เยอะและสวยด้วย ให้บอสเป็นกรรมการ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

พวกทหารหงุดหงิด จึงต่างร้องเสียงดังว่าจะแข่ง เกิงจุนเจี๋ยแบ่งกลุ่มแล้วขยิบตาให้ฉินสือโอว พูดขึ้น “เรื่องง่ายขนาดนี้ เกี๊ยวต้มของเช้าพรุ่งนี้ ครึ่งชั่วโมงก็ทำให้คุณเสร็จเรียบร้อยแน่”

ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม สมแล้วที่เกิงจุนเจี๋ยเป็นหัวหน้าชั้นมานาน จัดกิจกรรมแบบนี้เขาเรียกว่างานถนัดเลย

ยามรุ่งเช้าตอนตีสี่ครึ่ง ข้างนอกยังมืดสนิท ฉินสือโอวพาคนออกไปแขวนประทัดแต่ละพวงบนต้นเมเปิลใหญ่สองต้น คนหนึ่งจุดไฟประทัดหนึ่งพวง ค่ำคืนอันเงียบสงบจึงเสียงดังอึกทึกขึ้นมาดังเปาะแปะด้วยเสียงประทัด

ฉินสือโอวโบกมือแล้วพูดว่า “ไปกัน เตรียมกินเกี๊ยว มาดูกันว่าใครจะโชคดีที่สุดในปีนี้!”

ที่บ้านเกิดของพวกเขา เมื่อเป็นวันแรกของปีใหม่เกี๊ยวต้มที่ห่อเป็นรูปร่างทองตำลึง ด้านในจะมีเหรียญอยู่ ใครกินแล้วเจอเหรียญเยอะ ปีนี้ก็จะโชคดียิ่งๆ ขึ้นไป

หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและหลัวปอถือเอาชามข้าวมาจะกินเกี๊ยวต้ม ฉินสือโอวใช้น้ำซุปที่ต้มกับเนื้อสัตว์ให้พวกมันกินคู่กับข้าว ไม่ได้ให้เกี๊ยวพวกมัน

เหมาเหว่ยหลงถามว่าทำไมไม่ให้เกี๊ยวต้มกับพวกมัน เพราะอย่างไรเกี๊ยวที่ต้มวันนี้ก็เยอะมากพอ

ฉินสือโอวทอดถอนใจ “แม่ง ปีที่แล้วฉันก็คิดแบบนี้ แต่ผลปรากฎว่าตอนที่พวกมันกิน กินอย่างมีความสุข แต่ตอนที่จะถ่ายออกมาปวดหัวน่าดู ยังไงก็แล้วแต่ ปีนี้ฉันจะไม่หาเหรียญจากในอุจจาระของพวกมันแล้ว”

เหมาเหว่ยหลง “…”

ขณะที่กำลังกินอย่างมีความสุข หู่จือและเป้าจือกระดิกหูไปมา ทันใดนั้นก็วิ่งออกไปด้านนอก หันหน้าออกไปแล้วหอนขึ้นมา

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท