ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1480 ของขวัญของผู้ช่วย

บทที่ 1480 ของขวัญของผู้ช่วย

ทิญายิ้มแล้วมองไปที่ฉินสือโอว หลังจากนั้นก็ทำท่านึกขึ้นได้ด้วยความตกใจ เธอยื่นมือเรียวขาวของเธอออกไป ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ไฮ บอส ลืมทักทายบอสไปเลย สวัสดีปีใหม่ค่ะ!”

นีลเซ็นยื่นมือออกไปก่อนพร้อมเสียงหัวเราะ แล้วพูดว่า “สวัสดีปีใหม่ครับ ทิญา ขอให้คุณมีความสุขเช่นกัน…”

มือของทิญาและเขาสัมผัสกันเบาๆ แล้วมือก็ถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็ว เธอทำท่าทางน่าเสียดายแล้วพูดขึ้นว่า “ขอโทษด้วยค่ะ นีลเซ็น แม่ฉันไม่ให้ฉันเป็นเพื่อนกับคนจน ดังนั้นพวกเรารักษาระยะห่างไว้ดีแล้วค่ะ”

นีลเซ็นเกือบจะสำลักตายด้วยคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็มองด้วยสายตาดูหมิ่น “พ่อหนุ่ม นายเป็นผู้ชายที่มีแฟนแล้ว แสร้งทำดีต่อหน้าทิญาหมายความว่ายังไง? ฉันจะบอกแฮมเล็ต ฉันกล้าพนันเลยว่า ถ้าเขารู้ว่าด้านหนึ่งนายแค่เล่นๆ กับน้องสาวเขา อีกด้านหนึ่งก็จีบผู้หญิงข้างนอกไปเรื่อย เขาจะต้องใช้ปืนลูกซองทุบหัวของนายแตกแน่!”

ทิญาและนีลเซ็นต่างร้องขึ้นมาพร้อมกันด้วยความไม่พอใจ ผู้ช่วยคนสวยขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “อะไรคือจีบไปเรื่อยๆ คะ? ฉันกับเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน โอเคไหมคะ?”

นีลเซ็นพูดด้วยความเสียใจ “ผมก็แค่จับมือกับเพื่อนร่วมงานเท่านั้น นี่เป็นการจับมือเพื่อมิตรภาพ คุณอย่าคิดมั่วสิ!”

หลังจากล้อเล่นกันสักพัก ฉินสือโอวก็พาทิญาเข้าไปในวิลล่า เขามองซ้ายมองขวาแล้วก็ทอดถอนใจว่า “ดูท่าแล้วผมต้องเก็บห้องหนึ่งแล้วจัดเป็นห้องหนังสือแล้ว พระเจ้า แค่คิดว่าวันหลังผมต้องดูหนังสือราชการทุกวัน ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจมากๆ แล้ว”

ทิญายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อยค่ะ จริงๆ แล้วงานของพันธมิตรไม่ได้มีมากหรอกค่ะ หลักๆ คือการกำหนดข้อมูลพื้นฐานและจัดการประชุมภายในเดือนละครั้งเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมาก”

เมื่อพูดถึงงาน ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจว่า “เธอไม่ได้เรียนต่อปริญญาโทกับศาสตราจารย์แซนเดอร์สเหรอ? ทำไมถึงมาสมัครเป็นผู้ช่วยประธานพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ได้ล่ะ?”

ทิญาอธิบายว่า “เรื่องนี้ง่ายมากเลยค่ะ ฉันเป็นนักเรียนปริญญาโทที่กำลังศึกษาอยู่ แต่ศาสตราจารย์แซนเดอร์ส อนุญาตให้ฉันทำงานก่อน แล้วเวลาที่เหลือจากการทำงานมาเรียนกับเขาก็โอเคแล้ว ถ้าพูดตามจริงแล้ว งานนี้ก็เป็นศาสตราจารย์แซนเดอร์สที่เป็นคนแนะนำให้ฉันทำ ฉันต้องขอบคุณบุญคุณที่เขาสนับสนุนฉัน”

ฉินสือโอวเกาหัว มองไปที่เธออย่างแปลกใจแล้วพูดว่า “เธอแน่ใจเหรอ? ศาสตราจารย์แซนเดอร์สมองเธอเป็นสาวใช้สาวสวยในห้องเดียวกัน ฉันหมายถึงว่าเขามองเธอเป็นผู้ช่วยในชีวิตเขา ถ้าไม่มีเธอชีวิตเขาคงวุ่นวายน่าดูใช่ไหม?”

ทิญายักไหล่อีกครั้งและแสดงท่าทางช่วยไม่ได้ “ยังไงเขาก็ต้องเติบโตขึ้นสักวันไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่สามารถดูแลเขาทั้งชีวิตได้ ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องอยู่ด้วยตัวเองได้แล้ว”

ฉินสือโอวรู้สึกขบขันกับสำเนียงของเธอ ยัยเด็กนี่ก็เป็นคนเก่งจริงๆ โดยเฉพาะส่วนที่ดูสง่างาม…ช่างเถอะ นี่เป็นผู้ช่วยไม่ใช่เลขานุการ

เขาจำคำพูดของแมทธิว จินได้ ทิญาพกเอกสารมาจำนวนหนึ่ง ดังนั้นจึงเก็บกวาดมุมหนึ่งในห้องรับแขก แล้วให้เกิงจุนเจี๋ยย้ายโต๊ะตัวหนึ่งเข้ามา เอามาใช้เป็นของใช้สำนักงานชั่วคราว

ทิญาเอาเอกสารเหล่านี้ส่งให้เขา หลังจากนั้นก็หยิบโฟลเดอร์หนึ่งขึ้นมา ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “เฮ้ บอส ปีใหม่ก็ต้องให้ของขวัญกันใช่ไหมคะ? คุณมีเตรียมของขวัญให้ฉันไหมคะ?”

ฉินสือโอวรู้สึกทำตัวไม่ถูก “อืม อืม จริงๆ ฉันเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ แต่น่าเสียดายเธอไม่ได้ใช้หรอก”

“คืออะไรเหรอคะ?” ทิญาถามขึ้นต่อด้วยความร้อนใจ

สมองของฉินสือโอวนายใหญ่วิ่งอย่างรวดเร็ว เขาพะงึมพะงัม “อืม เอ่อ คืออะไรน่ะเหรอ? เป็นของที่สุดยอดเลย…”

คืออะไรน่ะเหรอ? ฉินสือโอวร้อนใจทำตัวไม่ถูก เมื่อกี้เขาแค่ตอบรับไปอย่างนั้น แล้วเขาก็เชื่อว่าด้วยสติปัญญาของทิญาเธอจะต้องดูออกแน่ จึงคิดว่ายัยเด็กนี่น่าจะมีทางให้เขาลงได้บ้าง ใครจะไปรู้ว่ากลับยิ่งไม่ปล่อย ไม่เหมือนใครจริงๆ!

ความคิดแวบเข้ามา เขาหาทางลงได้แล้ว “ทิญา คืออย่างนี้นะ แมทธิว จินไม่ได้บอกว่าเธอจะมาเป็นผู้ช่วยฉัน ฉันก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชาย เธอก็รู้ ปกติผู้ช่วยก็มักจะเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เหรอ? ท่านรัฐมนตรีแมทธิวบอกแค่ว่ายังไม่แต่งงาน ดังนั้นของขวัญที่ฉันเตรียมให้เขาก็คือสาวสวยหนึ่งคน”

ทิญาชี้ไปที่จมูกตัวเอง ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่าบอกเด็ดขาดนะว่า ผู้หญิงที่คุณเตรียมไว้ก็คือฉัน!”

ฉินสือโอวคิดในใจอยากจะตอบแบบนี้ไปเหมือนกัน เธอไม่ใช่แค่ไม่เหมือนใครทั่วไป แต่ส่วนที่เหมือนคนทั่วไปก็ทำเอาเขาติดแหง่กไร้ทางไป ตัวเองไม่ทำ แล้วยังไม่ให้คนอื่นทำอีก ร้ายเกินไปจริงๆ

ช่วยไม่ได้ เขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนคนสวมบทบาท พูดขึ้น “ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่เธอ ฉันพูดว่า ‘สาวสวย’ หนึ่งคน จริงๆ แล้วเป็นคุณครูเชอริล แฮรี่ ที่โรงเรียนประถมแกรนท์เธอรู้จักใช่ไหม? คุณครูเขาเป็นสาวสวยมากคนหนึ่งเลยล่ะ ว่าไหม?”

ทิญายิ้มออกมา แล้วพูดว่า “คุณพูดถูก แต่ทำไมของขวัญชิ้นนี้ทำไมฉันถึงใช้ไม่ได้ล่ะ?”

แววตาระยิบระยับ มุมปากของสาวสวยมหาวิทยาลัยยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “จริงๆ แล้ว บอสที่รักของฉัน ความสนใจของฉันที่มีต่อผู้หญิงก็ไม่น้อยไปกว่าคุณเลยนะ”

ฉินสือโอวพูดด้วยความประหลาดใจ “เธอไม่ได้ล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม?”

ความหมายที่ทิญาสื่อชัดเจนมาก คือบอกว่าเธอเป็นลาลา ซึ่งลาลานี้ก็ไม่ใช่สุนัขพันธุ์แลบราดอร์[1]ว่าอย่างหู่จือและเป้าจือที่บ้าน แต่คือเลสเบียน

แคนาดาได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ ปัญหาชายรักชาย หญิงรักหญิงพบเห็นได้ทั่วไป ในช่วงเลือกตั้งรัฐมนตรีครั้งก่อน สหายร่วมกันเดินขบวน คำขวัญตอนขึ้นต้นเลยก็คือ ‘ฉันรักใครก็ได้ที่ฉันอยากจะรัก รัฐบาลไม่ต้องพูดมากเรื่อง ‘สามัคคี’ ใครพูดเพื่อเกย์กับเลสเบี้ยน ฉันก็จะโหวตให้คนนั้น’

แต่ส่วนใหญ่ฉินสือโอวจะเก็บตัวอยู่ในฟาร์มปลา ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกน้อย จึงไม่ได้คลุกคลีกับเรื่องนี้มาก อย่างไรก็ตามไม่มีคนประเภทนี้ในหมู่บ้านนี้ แต่ตอนนี้ดูจากความหมายของทิญาแล้ว ดูเหมือนจะ…

ฉินสือโอวมองทิญาด้วยสายตาหวาดกลัว ถ้าสาวคนนี้มีแนวโน้มมาทางนี้จริงๆ เขาจะต้องเปลี่ยนผู้ช่วยของเขาให้จงได้ ไม่ใช่เพราะว่าเขามีอคติกับสิ่งเหล่านี้ แต่เพราะวินนี่สวยเกินไป เขากล้าพนันได้เลยว่าความเย้ายวนของวินนี่ที่มีต่อพวกเลสเบียนยังมากกว่าผู้ชายทั่วไปด้วยซ้ำ!

ทิญาเห็นสีหน้าของฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา กะพริบตาโตของเธอแล้วพูดว่า “โอเคน่ะ บอส ฉันล้อเล่นแค่นั้นเอง แต่ว่าคุณต้องจำไว้นะ คุณค้างของขวัญฉันหนึ่งชิ้น เพราะฉันเตรียมของขวัญปีใหม่ไว้ให้คุณแล้ว”

พูดไป ทิญาก็เปิดแฟ้มในมือแล้วยื่นให้ฉินสือโอว บอกเป็นนัยว่าให้เขาดูเนื้อหาข้างใน

ฉินสือโอวอ่านเนื้อหาด้านในอย่างละเอียด สิ่งที่สะดุดตาสิ่งแรกคือพวกสาหร่ายทะเลสีเขียว ข้างๆ มีชื่ออยู่ เรียกว่า ‘สาหร่ายหิมะน้ำแข็ง’ ตามมาด้วยคำอธิบาย สาหร่ายทะเลที่มีการใช้อัตราแสงแดดมากที่สุดในบรรดาสาหร่ายที่ค้นพบบนโลกใบนี้

เมื่อเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “สาหร่ายหิมะน้ำแข็ง? เธอจะบอกว่าฟาร์มปลาสามารถเอาสาหร่ายประเภทนี้เข้ามาได้ใช่ไหม?”

ทิญาบอกให้เขาอ่านด้านล่างต่อ ในขณะเดียวกันก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน บอส ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกได้ไงว่านี่เป็นของขวัญที่ฉันเตรียมไว้ให้?”

ที่ขั้วโลกใต้มีแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่และธารน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรรอบๆ ตั้งตระหง่าน มีน้ำแข็งลอยตัวจับกันเป็นกลุ่ม

เนื่องจากประโยชน์ร่วมกันระหว่างแผ่นน้ำแข็งบนผืนแผ่นดินกับแผ่นน้ำแข็งในทะเล ตรงนี้จึงกลายเป็นโลกสีขาวที่แยกไม่ออกระหว่างพื้นดินกับน้ำและน้ำแข็งกับหิมะ ในโลกสีขาวที่มีหิมะบนดินและแผ่นน้ำแข็งในทะเล สิ่งมีชีวิตจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ อย่างแรกคือ สิ่งมีชีวิตในหิมะบนพื้นดิน และอย่างที่สองคือสิ่งมีชีวิตในแผ่นน้ำแข็งในทะเล

สิ่งมีชีวิตแบบแรกคือสิ่งมีชีวิตน้ำจืด ส่วนอย่างหลังคือสิ่งมีชีวิตในทะเล พวกมันสามารถอาศัยอยู่ในช่องว่างของน้ำแข็งด้วยสไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร และครอบครองพื้นที่โลกหิมะน้ำแข็งอันขาวโพลนนี้ ใช้ความอุตสาหะที่น่าทึ่งพยายามเติบโตและขยายพันธุ์

สาหร่ายหิมะน้ำแข็งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ทรงพลังอาศัยอยู่ในทะเลน้ำแข็ง ซึ่งเป็นแหล่งเสบียงของทะเลน้ำแข็งในขั้วโลกใต้

……………………………………….

[1] ภาษาจีนคำว่าลาลา หมายถึงเลสเบียน ซึ่งคล้ายกับคำอ่านในภาษาจีนของคำว่าสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ว่า ‘ลาลาหวัง’

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท