ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1482 ฝึกแมวน้ำ

บทที่ 1482 ฝึกแมวน้ำ

บังเอิญว่าฉินสือโอวกำลังจะไปออตตาวาเพื่อเข้าร่วมประชุมการจัดตั้งพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์พอดี เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะมีโอกาสคุยส่วนตัวกับแมทธิว จิน คิดว่าจะพูดกับเขาตรงๆ ขอสิทธิ์ในการปลูกสาหร่ายเขียวใบเล็กนี้ก่อนใครกับท่านรัฐมนตรีอาวุโส

ฉินสือโอวนายใหญ่เป็นคนหนุ่มและสุภาพบุรุษที่พูดแล้วต้องทำ ในเมื่อรับปากแมทธิว จิน แล้วว่าจะเป็นประธานพันธมิตร ก็ต้องทำงานที่เกี่ยวข้องให้ดี ไม่ใช่ทำให้ผ่านไปวันๆ หนึ่ง

ดังนั้นเมื่อวินนี่กลับมา จึงเห็นฉินสือโอวที่ปกติไม่มีอะไรทำแล้วเล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือหรือไม่ก็เล่นกับพวกเด็กๆ นั่งอ่านหนังสือ

งานสำคัญในการเล่นและแกล้งเด็กๆ จึงตกไปอยู่กับเหมาเหว่ยหลง แต่ถ้าเสียดายที่เขาเล่นได้ไม่สนุก หู่จือ เป้าจือ ฉงต้า หลัวปอ จึงต่างใช้สายตาดูถูกมองไปที่เขา ในมือของเขาถ้าไม่ใช่จานบินก็เป็นกระดูกไม่ก็สลัดผลไม้ ผลปรากฏว่าพวกเด็กๆ จึงไม่เล่นด้วยกับเขา

เหมาเหว่ยหลงไม่อยากจะเชื่อ หลัวปอไม่สนใจเขายังพอเข้าใจได้ เพราะพวกจิ้งจอกขาวก็มักมีนิสัยเย่อหยิ่ง หู่จือและเป้าจือไม่สนใจเขา เขาก็ยังพอเข้าใจเช่นกัน เพราะหมาสองตัวนี้เป็นฉินสือโอวที่เลี้ยงโตขึ้นมา จึงให้แค่ความสนใจกับเขาเท่านั้น

แต่ว่า ทำไมฉงต้าถึงไม่สนใจเขานะ? ในมือเขาคือสลัดผลไม้ของโปรดฉงต้าเลยนะ

จริงๆ แล้วฉงต้าอยากกินมาก มันมองไปที่ผลไม้กลิ่นหอมเป็นมันวาวกับน้ำหวานที่ใสราวกับคริสตัลนั่นตาปริบๆ แต่เขาไม่สามารถเล่นกับเหมาเหว่ยหลงได้เพราะมีโลลิต้าน้อยในอ้อมแขนมันอยู่ ตราบใดที่มันจากไป หู่จือ เป้าจือและหลัวปอต้องทำร้ายฉงเอ้อโลลิต้าน้อยแน่ๆ

เพื่อความสุขในอนาคต ฉงต้าแทบจะทนไม่ได้กับความอยากกินของตัวเอง ต้องบอกเลยว่าพลังของความรักช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

เมื่อวินนี่กลับมา พวกเด็กๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักวิ่งไปห้อมล้อมวินนี่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโลลิต้าน้อยของฉงต้าที่วิ่งมาเร็วมาก ก้าวทีหนึ่งก็กระโดดหนึ่งที ชนไปที่ขาสวยของวินนี่ราวกับชนต้นไม้ หลังจากนั้นง้างอุ้งมือเกาะไปที่ขาของเธอกลายเป็นหมีโคอาล่า

ฉงต้าถอนใจโล่งอก หลังจากนั้นลุกขึ้นยืนส่ายไขมันที่อยู่ตามตัวของมันไปมา แล้วแสดงท่าทางที่เหมือนเสือจะตะครุบเหยื่อพุ่งไปหาเหมาเหว่ยหลง แย่งกระดูกและสลัดผลไม้จากมือเขาไป อ้าปากกว้างและเริ่มกลืนกินทุกอย่างเข้าไป

วินนี่วางเสี่ยวเถียนกวาในอ้อมอกลง แล้วเปลี่ยนมาอุ้มโลลิต้าของฉงต้าแทน เธอถามด้วยความสงสัยว่า “ที่รัก คุณอ่านอะไรอยู่เหรอคะ ไม่ละสายตาเลย?”

ฉินสือโอวกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “คุณกลับมาแล้วเหรอ? พักผ่อนเยอะๆ นะ ผมกำลังดูรายงานการผลิตของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ในช่วงสองสามปีมานี้ สถานการณ์ไม่ดีเลย”

เมื่อเห็นว่าหม่าม๊าทิ้งตัวเองแล้วไปกอดฝ่ายตรงข้ามแน่น เถียนกวาจึงไม่มีความสุขเลย เอานิ้วอ้วนๆ ชี้ไปที่โลลิต้าของฉงต้าแล้วตะโกนขึ้นว่า “หม่าม๊า วางลง อุ้มๆ!”

วินนี่ปลอบเธอ “เถียนกวาไม่ดื้อนะ หม่าม๊าอุ้มเรามาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้หม่าม๊าเหนื่อยแล้ว ให้หม่าม๊าพักหน่อยดีไหม?”

ในเวลานี้เองแมวน้ำลายพิณน้อยที่มีขนสีขาวสองตัวค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนบันไดอย่างงุ่มง่าม พวกมันเห็นเถียนกวากลับมาถึงได้ปีนขึ้นมาบนนี้ ยื่นหัวไปตรงประตู แล้วร้องเสียง ‘บุ๋ง บุ๋ง’ ขึ้นมา

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เถียนกวาที่กำลังจ้องมองโลลิต้าของฉงต้าด้วยดวงตาเข้มหันศีรษะกลับไปด้วยความตื่นเต้น พอเห็นเจ้าสองตัว ก็รีบวิ่งกระโจนเข้าไปหาพวกมัน มือสั้นๆ หนึ่งข้างโอบรอบคอเจ้าแมวน้ำน้อยไว้ แล้วลากพวกมันเข้าไปในห้อง

เจ้าแมวน้ำน้อยสองตัวถูกเถียนกวาลากไปมาจนแลบลิ้นปลิ้นตาออกมา เหมาเหว่ยหลงสังเกตเห็นก็ดีใจ “โอ้โห เจ้าสองตัวนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ ยังแลบลิ้นทำหน้าผีได้ด้วย”

เมื่อฉินสือโอวเห็นรีบกระโดดขึ้นมาด้วยความตกใจ รีบเข้าไปช่วยสองตัวนั้นเอามันออกจากแขนของเถียนกวา ถ้ายังรัดแน่นต่อพวกมันก็คงตาลอยใกล้ตายแล้ว

เจ้าแมวน้ำน้อยโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ เอาหัวของมันถูน่องของฉินสือโอวด้วยความรู้สึกขอบคุณ แต่ทว่าผ่านไปได้สักพัก พวกมันก็ปีนอย่างงุ่มง่ามเข้าไปหาเสี่ยวเถียนกวาอีก เจ้าเด็กน้อยสามตัวเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน

เหมาเหว่ยหลงเห็นแมวน้ำน้อยสองตัวชอบเอาหัวไปถูน่องของผู้คน จึงถามขึ้นด้วยความสนใจว่า “ฉิน เจ้าสองตัวนี้เกิดมาก็เลี้ยงลูกบอลได้เลย ตอนฉันยังเด็ก ถ้าไปสวนสัตว์แน่นอนว่าต้องไปดูแมวน้ำเลี้ยงลูกบอล เป็นความทรงจำที่งดงามจริงๆ”

ฉินสือโอวกลอกตามองบนแล้วพูดขึ้น “มันไม่ใช่พวกเมสซี่ เฟอร์โรสักหน่อย ถ้าไม่ฝึกจะเลี้ยงลูกบนปากเป็นได้ยังไง ถ้าแกชอบ แกก็ลองฝึกให้มันเลี้ยงลูกบอลดู”

ยามค่ำคืนที่เงียบสงบ ฉินสือโอวยังคงพยายามนั่งอ่านหนังสือต่ออย่างหนักหลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ เหมาเหว่ยหลงกลับนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เริ่มที่จะวิเคราะห์อะไรบางอย่างแล้ว

ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เหมาเหว่ยหลงขับรถไปรอบๆ เมือง เขาเอาลูกบอลกลับมาจำนวนหนึ่ง มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทั้งลูกบอลหนัง ลูกโป่ง ลูกบอลนุ่มๆ มีทุกประเภท

ย่างเข้าเดือนมีนาคมแล้ว ดวงอาทิตย์จึงเริ่มส่องแสง ลมทะเลพัดอ่อน ตอนเช้าฉินสือโอวนั่งตากแดดอยู่ด้านนอกในขณะที่ดูเอกสารไปด้วย ดังนั้นเขาจึงเห็นเหมาเหว่ยหลงตอนที่ลงรถแล้วหอบเอาพวกลูกบอลมา

”แกจะฝึกพวกมันเลี้ยงลูกบอลจริงเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ “ว่างไม่มีอะไรทำจริงๆ นะแก”

เหมาเหว่ยหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ไง ฉันว่างมากไม่มีอะไรทำ ก็เลยจะลองฝึกดู”

ตั๋วตั่วที่กำลังดูเด็กน้อยกับหลิวซูเหยียนวิ่งเข้ามาหาราวกับเป็นกวางน้อย อุ้มเอาลูกบอลหนังขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วลากเหมาเหว่ยหลงไปที่ริมทะเลด้วยความตื่นเต้น

ช่วงสองสามวันนี้ วินนี่พาเถียนกวาไปทำงานด้วยกันตลอด เจ้าเด็กน้อยเข้าใจมากขึ้นแล้ว รู้จักครอบครองความรักของพ่อแม่เพียงลำพัง ไม่ชอบเห็นฉากที่วินนี่อยู่กับโลลิต้าของฉงต้าเลยสักนิด

ดังนั้น วินนี่จึงแบ่งเวลาโดยเล่นกับเถียนกวาตอนกลางวัน แต่พอตอนเย็นกลับมาก็จะเล่นกับฉงต้าโลลิต้า

ฉินสือโอวดูเอกสารจนเหนื่อยล้า จึงผิวปากขึ้นมา แล้วพา หู่จือ เป้าจือ ฉงต้า หลัวปอ แมวป่า และกวางมูสเดินไปที่ริมชายหาดอย่างน่าเกรงขาม ไปดูเหมาเหว่ยหลงฝึกแมวน้ำเลี้ยงลูกบอล

แมวน้ำที่เอากลับมาที่ฟาร์มปลาทั้งหมดมีอยู่ 164 ตัว โดยปกติแล้วแมวน้ำลายพิณจะชอบแหวกว่ายไปมาอยู่ในทะเล แต่พอกินอิ่มแล้วก็จะปีนขึ้นมาริมหาดเพื่อพักผ่อน

ซึ่งจุดนี้แตกต่างกับนิสัยของพวกมันตอนที่อยู่ที่วงกลมอาร์กติก พวกมันแทบจะไม่ขึ้นมาบนฝั่งเลยถ้าอยู่ในทะเลน้ำแข็ง เพราะโดยปกติเมื่อมันจะพักผ่อนก็จะปีนขึ้นไปอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง เพราะว่าแผ่นน้ำแข็งปลอดภัยกว่าบนฝั่ง

ไม่มีภัยคุกคามในทะเล แต่พวกมันกลับเจอฉลามขาวและเฮยป้าหวัง ในทะเล แต่เฮยป้าหวังได้รับคำสั่งว่าห้ามทำร้ายพวกมัน แม้แต่จะมองยังไม่มองเลย แค่นานๆ ทีที่บอลหิมะและเจ้าสามเกลอจะเล่นกับพวกมัน

ด้วยเหตุนี้พวกขี้เกียจพวกนี้จึงเคยชินกับการพักผ่อนบนชายหาดแล้ว

ตั้งแต่พาพวกแมวน้ำกลับมา ฉินสือโอวก็มักจะพาพวกแมวน้ำน้อยไปเล่นกับเถียนกวา เหมาเหว่ยหลงก็เคยไปกับพวกเขาหลายครั้ง เห็นฉินสือโอวเมื่อเดินไปถึงริมชายหาดก็เดินเข้าไปในฝูงแมวน้ำแล้วอุ้มลูกๆ ของมันขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงทำตามแบบนี้เช่นกัน

เหมาเหว่ยหลงเดินเข้าไปในฝูงแมวน้ำโดยไม่คิดอะไร และมองหาเจ้าสองตัวนั้นที่มักจะไปเล่นกับเสี่ยวเถียนกวาอย่างถี่ถ้วน ตั๋วตั่วอยากตามเข้าไปแต่ถูกฉินสือโอวดึงห้ามไว้ และกะพริบตาส่งซิกให้เธอ ส่งสัญญาณว่าให้เธอรออยู่ตรงนี้

เขากำลังรอดูเรื่องฮาๆ จากเหมาเหว่ยหลง แต่เหมาเหว่ยหลงไม่ทันสังเกต หลังจากเขาเดินเข้าไปในฝูงแมวน้ำ พวกอ้วนที่ปกติจะตากแดดอย่างขี้เกียจบนริมหาดต่างขยับตัวกันขึ้นมา แต่ละตัวจ้องไปที่ด้านหลังของเขา

เจ้าแมวน้ำน้อยสองตัวที่ปกติต้องเล่นกับเถียนกวา ฉินสือโอวจึงป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมันมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้พวกมันเลยร่าเริงเป็นพิเศษ ซึ่งต่างจากแมวน้ำตัวอื่นๆ

ความแตกต่างนี้อาจจะไม่เห็นชัดนัก แต่เพียงแค่มองไป จะมีความรู้สึกอยู่ความรู้สึกหนึ่ง ความรู้สึกที่ว่าเจ้าสองตัวนี้ต่างจากตัวอื่นๆ พูดง่ายๆ ก็คือเจ้าแมวน้ำน้อยสองตัวนี้มีลักษณะพิเศษที่แมวน้ำตัวอื่นไม่มี

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท